เป็นการบ้านของผมอีกแล้วครับ ทำส่งวิชามนุษย์ เหตุผล และจริยธรรม ในหัวข้อว่าด้วย
ชีวิตคืออะไร ความเป็นมาและเป็นไปของชีวิตในทรรศนะของฉัน
นำเสนอแง่คิดเก่า ๆ ที่คนเสนอมาเยอะแล้ว ^ ^
(ถ้าเบื่อการบ้านผมเมื่อไหร่ก็บอกนะครับ พอดีไม่มีเรื่องลงขัดตาทัพ 555+)
------------------------------------------------
จากชั่วโมงที่แล้วของการเรียน มน. มีผู้เสนอความเห็นว่า ชีวิต คือ Ability to breath ซึ่งเป็นความหมายเชิงวิทยาศาสตร์ที่กว้างมาก หมายถึงการแลกเปลี่ยนก๊าซจากภายในระบบและนอกระบบของสิ่งมีชีวิตนั้น ๆ อันถือได้ว่าเป็นคำตอบที่ทรงคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ได้บอกถึงความสัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์ เหตุผล และจริยธรรม
แล้วชีวิตคืออะไร? คำตอบแบบไหนที่จะสามารถพัฒนาให้เราสูงขึ้น? ทำไมเราถึงต้องเรียนรู้เรื่องชีวิต?
ในทรรศนะของข้าพเจ้านั้น หากคำว่าชีวิตระบุไปยังคนแล้ว ก็ต้องไปดูนิยามของคำว่าคน เพราะคนก็ถือว่าต่างจากสัตว์มากพอดู เนื่องจากสัตว์ต่าง ๆ คงไม่มีเวลามาสงสัยใน ความเป็น ของตนเอง สัตว์ถูกขับเคลื่อนไปตามสัญชาติญาณ ความต้องการพื้นฐานของมันคือกิน นอน ขับถ่าย สืบพันธุ์ ขณะที่คนพัฒนาความอยากของมาเป็นปัจจัยสี่ เป็นกิน กาม เกียรติ ลาภ ยศ สรรเสริญ กระทั่งความต้องการที่ละเอียดที่สุด คือการต้องการหลุดพ้นไปจากความต้องการอื่น ๆ ทั้งปวง
ในที่นี่จะเห็นว่า คนมี ความอยาก อย่างมากมายมหาศาล และเจ้าสิ่งนี้ที่ขับเคลื่อนให้ชีวิตไปสู่สภาวะที่แท้จริง ซึ่งสภาวะที่แท้จริงของชีวิต ก็คือความทุกข์ เพื่อตอบสนองความต้องการ ชีวิตต้องดิ้นรน ตอบสนองได้แล้วก็เกิดความอยากใหม่ ๆ ขึ้นมาอีก ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ
ชีวิตจึงตกอยู่ในห้วงทุกข์ไร้ที่สิ้นสุด บางคนอาจจะกล่าวว่ามันก็ยังมีความสุข แต่ข้าพเจ้าคิดว่านั่นคือการทุเลาลงของความทุกข์ เกิดการเปรียบเทียบระหว่างทุกข์น้อยและทุกข์มาก ผู้คนก็นิยามทุกข์น้อยว่าความสุข โดยหารู้ไม่ว่ามันก็ยังทุกข์อยู่ดี เพราะยังถูกจำกัด คับแคบ ดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา
ในทางพุทธศาสนา มีหัวข้อธรรมบทหนึ่งกล่าวว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ความชราเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจพิไรรำพัน ความเคียดแค้นริษยา การพลัดพรากจากของที่พึงใจ การประสบกับของที่ไม่พึงใจ แม้การปรารถนาสิ่งใดที่ไม่อาจได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ทั้งสิ้น*
ซึ่งข้าพเจ้าก็เห็นพ้องว่า ชีวิตนั้นนับตั้งแต่เกิดจนตายเป็นความทุกข์ ที่มาของชีวิตจึงเกิดจากความทุกข์ และที่ที่ไปก็เป็นความทุกข์
เราพักความเห็นด้านทุกขนิยมเสียครู่หนึ่ง มีความน่าอัศจรรย์ใจประการหนึ่งของชีวิตที่เกี่ยวพันกับโลก ว่าโลกปรากฏขึ้นต่อชีวิตได้อย่างไร หรือชีวิตปรากฏขึ้นต่อโลกได้อย่างไร หากเราเข้าใจความนี้อาจจะเข้าใจที่มาของชีวิต
ในทางวิทยาศาสตร์ มนุษย์ประกอบด้วยประสาทสัมผัสห้าประการ คือการมองเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การฟังเสียง และการสัมผัส ซึ่งจะมีเครื่องมือหรืออวัยวะ ทำหน้าที่รับพลังงานจากแหล่งกำเนิดซึ่งส่งผ่านตัวกลาง เช่นแสงกำเนิดจากดวงอาทิตย์เดินทางผ่านตัวกลางมายังดวงตาของเรา กระทบจอประสาทตาและแปลงเป็นคลื่นสัญญาณไฟฟ้าอย่างอ่อน ๆ หรือที่เรียกว่ากระแสประสาท ส่งไปยังสมองเพื่อประมวลผล และสร้างภาพที่เรา เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น ขึ้นมา
ดังนั้นโลกที่ปรากฏต่อชีวิตจึงมีลักษณะคล้ายมายาการที่แต่ละชีวิตสร้างขึ้นโดยอาศัยข้อมูลอันรับรู้ผ่านระบบประสาท ทั้งนี้เราจึงไม่ทราบว่าโลกของเราเหมือนกับโลกของคนอื่น ๆ หรือไม่ เช่นเมื่อเรามองเห็นสีแดง เราเพียงแต่จดจำได้ว่ามันถูกเรียกว่าสีแดงโดยคนรุ่นก่อน แต่เราอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสีแดงของเขากับสีแดงของเรามีลักษณะแบบเดียวกันหรือไม่
ในแง่ที่ว่าชีวิตปรากฏแก่โลกได้อย่างไร โลกในที่นี้หมายถึงโลกของผู้อื่น หรือการมองของชีวิตหนึ่งไปยังอีกชีวิตหนึ่ง เพื่อตระหนักรู้และเข้าใจว่านั่นคือชีวิต ดังนั้นการปรากฏของชีวิตหนึ่งต่ออีกชีวิตหนึ่ง ก็เป็นมายาการของประสาทสัมผัสเช่นเดียวกัน ในที่นี้การตระหนักรู้ว่าเราก็คือชีวิต ย่อมอาศัยความรับรู้และเข้าใจแบบเดียวกัน ดังนั้นที่มาของชีวิตจึงเกิดขึ้นจากการสมมุติ การปรุงแต่ง และสร้างสรรค์ขึ้นของดวงจิต
*บทสวดทำวัตรเช้า จำบ่ได้ว่าบทไหน
**บทความชิ้นต่อไปลงวันอังคารครับ งานวิชานี้สำหรับอาทิตย์ถัดไปนั่นเอง ให้ฟังบรรยายหรืออภิปรายอะไรสักหัวข้อ แล้วสรุปเป็นรายงานสั้น ๆ ผมเล็งการบรรยายหนึ่ง ๆ ไว้ล่ะ หัวข้อค่อนข้างน่าสนใจ เดี๋ยวจะนำมาให้ชมครับ
***ขึ้นปีหนึ่งเทอมสองนี่งานหนักจริง ๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นงานอ่านหรือไม่ก็ขีด ๆ เขียน ๆ ^ ^
แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 50 01:24:44
จากคุณ :
ปฤษณะ
- [
25 พ.ย. 50 01:18:31
]