ผมรู้สึกเหนื่อยหลังจากปั่นจักรยานกลับจากร้านเกมเมื่อตอนบ่าย บางอย่างบอกผมว่าสิ่งที่ผมกำลังทำมันช่างไร้ค่าและไร้สาระ เป็นการผลาญเวลาและกำลังไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์
ผมรู้ อย่างที่คนมีสติ และปัญญาดีคนหนึ่งจะพึงรู้ได้ ว่าอันที่จริงผมควรจะทำอะไร ควรจะทุ่มเทให้กับอะไร หรืออันที่จริงแล้ว และจริง ๆ แล้ว ผมอาจจะยังไม่รู้ว่าตนไม่รู้อะไรเลยก็เป็นได้
ชีวิตที่ไร้สาระ ไร้แก่นสาร ไร้เป้าหมายที่มุ่งหวัง มันจะดำเนินต่อไปอีกนานเท่าไหร่ มีหลายคนที่อิจฉาผมสำหรับตำแหน่งอันยอมรับกลาย ๆ ว่าผมเป็นคนที่เรียนดีที่สุดในรุ่น เกรดเฉลี่ยที่ขาดไปอีก 0.2 จะขึ้นหลัก 3.8 ไม่ได้ช่วยเติมเต็มอะไรให้กับชีวิตของผมเลย เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเอามันไปทำไม
มีคนทักผมที่ทางเข้าโรงอาหาร เขาถามผมเรื่องการเรียน ผมไม่ค่อยอยากตอบแต่ก็ตอบ เขาทำหน้าสลดและพูดเบา ๆ ซึ่งดูเหมือนจะบ่นกับตัวเขาเองว่าเขายังพยายามไม่พอ ผมเสียใจกับเขา แต่ลึก ๆ ก็อยากจะบอกว่าเขาโชคดีแค่ไหนที่สามารถหาความสุขจากชีวิตได้มากกว่าผมหลายเท่า แต่อันที่จริงใครจะรู้ได้ว่าเขามีความสุขหรือเปล่า ผมกับเขาใครมีความสุขมากกว่ากัน
ผมเกือบจะลืมว่าวันนี้เป็นวันลอยกระทงถ้าเขาไม่ทัก แน่นอนว่าผมยังไม่มีคนลอยด้วยและยังไม่มีคนชวนผมไป บางทีผมอาจจะลืมว่ามีใครชวนหรือเปล่า ซึ่งคนชวนก็คงจะไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะผมเองก็หายตัวไปจากกลุ่มได้เก่งจนเพื่อน ๆ ระอา
ผมยิ้มรับและหยอกล้อเขาเกี่ยวกับเรื่องกระทง มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติยามเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่น ผมจะกลายเป็นคนอัธยาศัยดี พูดจาดี ฉลาดเจรจา และมีอารมณ์ขัน มันก็น่าแปลกดีที่ลับหลังผู้คนผมต้องมานั่งเหงา น้ำตาซึม หรือแม้แต่คิดเรื่องบ้าร้อยแปดพันประการในหัว
มีใครอีกคนเรียกผมที่โต๊ะอาหาร สาว ๆ สองคนในภาควิชาเดียวกัน หนึ่งในนั้นเป็นดาวเอกแม้จะไม่ถึงขั้นดาวมหาลัย แต่ก็ดังพอสมควรในเรื่องหน้าตา จะว่าไปผมก็ชอบเธอไม่น้อยเหมือนกัน ตรงความฉลาดเฉลียวทั้งด้านความรู้ความสามารถ และการวางตัวรวมทั้งบุคลิกนิสัยที่จัดได้ว่าดีเยี่ยม
ทั้งคู่เรียกผมให้นั่งร่วมโต๊ะ ผมนั่งตามคำเชิญและออกปากทักดาวเอกว่าไปย้อมผมกลับมาเป็นสีดำแล้วหรือ เธอทำหน้างอน ๆ แล้วบอกว่าย้อมได้สามสี่วันแล้วไม่สังเกตเห็นบ้างหรือไง ผมถึงได้ตระหนักว่าผมขาดความใส่ใจในบุคคลอื่นมากแค่ไหน ตัวอย่างง่าย ๆ ที่เกิดขึ้นก็เช่นเพื่อนทุกคนจำชื่อผมได้ แต่บางทีผมก็จำคนอื่นไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเรียนด้วยกันหรือเปล่า ผมรู้สึกเจ็บปวดเล็ก ๆ เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต แม้แต่คนที่ผมเรียกได้ว่าเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียว ผมก็ยังไม่รู้วันเกิดของเขา ไม่รู้ว่าเขาชอบอะไรหรือเกลียดอะไร กระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคิดยังไงกับผม
ผมเป็นเช่นนี้เสมอ ผมไม่เคยเรียนรู้ผู้อื่น และปฏิเสธการเรียนรู้ตัวผมจากผู้อื่น กำแพงที่ผมสร้างอย่างไม่รู้ตัว คำพูดที่ผมออมไว้อย่างระมัดระวัง มันอาจจะกันผมไว้จากการรู้จักใครบางคนที่จะสามารถแบ่งปันความรู้สึกนึกคิดได้
ผมปรารถนา ..นับตั้งแต่ใครยื่นไม้ขีดก้านเล็ก ๆ เปลวไฟที่ลุกฟู่ชั่วครู่ แล้วก็หรี่ลงจนดับ คนที่หนาวจนชาชินเมื่อถูกเปลวไฟเล็ก ๆ หลอกล่อให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความไว้เนื้อเชื่อใจ เขาถูกหลอกซ้ำสองให้เดินกำก้านไม้ขีดไร้เชื้อหากองไฟกองอื่นเรื่อยไป
ใครบางคนที่ผมไม่รู้จักมานั่งร่วมโต๊ะ อีกสองคนคุยกับเขาและดูเหมือนจะพยายามบอกเป็นนัยให้ผมรู้ว่าควรจะร่วมวงสนทนาด้วย แต่ผมก้มหน้าเงียบ ผมกลัวเขา อีกสองคนหน้าเจื่อน คนมาใหม่เองก็รู้สึกแปลก ๆ ผมลอบสังเกตว่าเขาเองก็กำลังไม่สบายใจ สุดท้ายผมเลยชวนเขาคุย ด้วยคำถามง่าย ๆ ธรรมดา น้ำเสียงเป็นมิตร มีมุกตลกยิงพอไม่ให้ตึงเครียด เขาสบายใจมากขึ้นและหัวเราะ แต่ผมหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
หลังจากแยกย้ายกันกลับหอ ผมเดินตามลำพังบนทางปูอิฐตัวหนอน ภายใต้ร่มไม้ระหว่างอาคารยามบ่ายแก่ ๆ ลมหนาวที่พัดในร่มทำเอาผมเย็นเยือก มันแปลบปลาบเข้าหัวอก ผมยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าผมอยู่เพื่ออะไร
ผมควรจะหลับ หลับไปชั่วนิรันดร์ตามคติคริสต์ ให้ตายสิผมไม่คิดว่าความคิดแบบนี้จะพลุ่งพล่านขึ้นมาในวันที่เป็นเทศกาลฉลองรื่นเริง ผมกลับมานอนพัก ข่มตาให้หลับและบอกตัวเองเป็นพัน ๆ รอบให้เลิกคิด เลิกหมกมุ่น งี่เง่า โง่สิ้นดี ผมเกลียดคนโง่ แต่ผมกำลังจะเป็นคนโง่เสียเอง
คำถามที่คุณหาคำตอบไม่ได้มีอยู่มากมายในโลก ยิ่งคุณดึงดันที่จะรู้ คุณจะยิ่งเศร้าเพราะความเบาปัญญาของตน
ผมนอนพลิกไปพลิกมา และคิดอยู่ว่าคงจะไม่ไปงานคืนนี้หรอก ผมจะไปได้อย่างไรในเมื่อผมล้าไปหมดทั้งกายใจ เสียงภายในหอเงียบลงทุกขณะ ผมรู้ว่าพวกเขารอเวลานี้อย่างตื่นเต้นและพากันทยอยออกไปเรื่อย ๆ ผมคิดถึงปีใหม่เมื่อสองปีก่อนที่ผมฉลองอยู่คนเดียวด้วยคราบน้ำตา และโทรบอกแม่ว่าผมอยากกลับบ้าน
คนเยอะ ๆ ยิ่งทำให้เราเหงา ผู้คนเดินขวักไขว่สับสน แต่ไม่มีใครสักคนที่รู้จักเราหรือเรารู้จักเขาอย่างแท้จริง
คุณรู้จักผมใช่ไหม? คุณบอกได้ไหมว่าผมเป็นใคร? ผมกำลังทำอะไร? ผมกำลังไปที่ไหน?
จากคุณ :
ปฤษณะ
- [
25 พ.ย. 50 02:29:26
]