Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    Beyond the destination - เมื่อการเดินทางไม่ใช่แค่การเดินทาง

    กระดาษแผ่นหนึ่งร่วงจากมือของผมลงสู่พื้น…

    มันเป็นกระดาษสีขาวซีดและบางกรอบจนแทบจะขาดยุ่ยเป็นผงเนื่องด้วยคุณภาพของกระดาษหรือกาลเวลาของมันก็สุดที่จะคาดเดา…ภายในนั้นเป็นลายมือของใครบางคนที่ผมเองก็เกือบจะจำไม่ได้ว่าเป็นลายมือของใคร…

    แต่เมื่อผมเห็นชื่อของใครบางคนท้ายกระดาษ…ผมก็หวนระลึกภาพอันแสนงดงามที่ผมเคยได้สัมผัสแม้จะเป็นเวลาสั้น ๆ แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงสิ่งนี้…ที่แม้จะผ่านไปนานแล้วแต่มันก็ยังคงจับใจผมเสมอมา…

    เธอคนนั้น…คนเดียวกับที่เป็นเจ้าของกระดาษแผ่นนี้…ทำให้ผมรู้ว่าการเดินทางนั้นมีความหมายกับผมเหลือเกิน…

    ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่ผมพบกับเธอ…วันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสในรอบหลายวันที่ผมได้เดินทางมายังดินแดนเกาะเล็ก ๆ แต่เต็มไปด้วยระเบียบวินัยและความสะอาดเอี่ยมอย่างสิงคโปร์ และผมก็ตัดสินใจออกไปเดินเที่ยวเล่นบริเวณสัญลักษณ์อันโด่งดังนั่นก็คือตัวสิงโตทะเลเมอร์ไลอ้อนที่กำลังพ่นน้ำอยู่ริมอ่าว…ผมคิดว่าเมื่อมาถึงที่แห่งนี้แล้วก็ขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึกไว้เสียหน่อย แต่สิ่งที่ผมสะดุดใจคือการที่ผมได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเกาะรั้วและทอดสายตาออดไปเสมือนว่าเธอกำลังจะเพ่งมองขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปโดยที่ไม่สนใจต่อละอองน้ำจากปากของเจ้าสิงโตทะเลตัวนั้นแม้แต่น้อย…

    เธอน่าจะเข้าใจเช่นเดียวกับผม…ว่าขอบฟ้าที่เธอพยายามมองหามันไม่เคยมีจริงเลยสักนิดเดียว…!

    คงเป็นเพราะผมกำลังจมอยู่ในกระแสวังวนของเมืองใหญ่ที่แสนจะวุ่นวายและไม่ทำให้ผมรู้สึกดีที่จาก ‘บ้าน’ มาสักเท่าใดนัก…เป็นเพราะผมคิดว่าเธอมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับชนชาติเดียวกับผมหรือเป็นเพราะผมสนใจอะไรบางอย่างในตัวเธอก็ไม่อาจทราบได้…ผมจึงเดินเข้าไปทักทายกับเธอด้วยน้ำเสียงสดใสว่า…

    “มาคนเดียวหรือครับมิส”

    “ค่ะ” หล่อนปาดน้ำตาแรง ๆ พลางหันจากภาพตรงหน้ามาตามเสียงของผม…เล่นเอาผมตกใจว่าผมทำเธอร้องไห้เสียแล้ว…ผมคิด

    “ฉันบังมุมถ่ายรูปคุณหรือเปล่าคะ”

    “ปะ…เปล่าเลยครับ” ผมโบกไม้โบกมือพลางพูดละล่ำละลัก “ผมแค่อยากคุยกับมิสด้วยเฉย ๆ เห็นยืนมองไปทางขอบฟ้าตรงนั้นแถมยังร้องไห้อีก”

    “ฉันมองขอบฟ้าค่ะ…พยายามภาวนาถึงคำพูดที่คนบอกกันว่า ‘สักวันเราจะพบกันที่เส้นขอบฟ้า’ มันจะกลายเป็นความจริงขึ้นมาสักครั้ง…”

    “มิสครับ…” ผมเห็นเธอร้องไห้ก็สงสารก็เลยอดปลอบใจเธอไม่ได้ “ขอบฟ้าไม่เคยมีจริงหรอกครับ…มันเป็นแค่เส้นสมมุติที่คนเราเชื่อว่ามันมีจริงเท่านั้นเอง”

    “ที่คุณพูดคงจะจริง” เธอนิ่งไปนิดก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “คุณเชื่อเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกันคะ”

    “ผมไม่ใช่คนช่างฝันครับ…แค่มองโลกอย่างที่มันเป็นเท่านั้นเอง”

    “เห็นทีฉันคงต้องขอบคุณคุณที่ไม่ทำให้ฉันต้องคิดมาก…” เธอยิ้มให้ผมนิดนึง…ราวกับจะทำให้ใบหน้าเศร้าของเธอจางหายไปได้เล็กน้อยในสายตาผมก่อนที่เธอจะตัดบท “ฉันขอตัวก่อนนะคะ…มีธุระต้องกลับไปที่โรงแรมก่อน”

    “ได้สิครับ…ผมเองก็ต้องกลับไปออร์ชาร์ดเหมือนกัน…เพราะว่าผมนัดเพื่อนเอาไว้ตอนเย็น…นี่ก็ใกล้เวลาแล้ว”

    “เกือบจะลืม” เหมือนเธอจะนึกได้…เธอจึงแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงที่สดชื่นขึ้น “ฉันชาร์ล็อตต์ค่ะ”

    “ผมคริสครับ…” ผมบอกชื่อของตัวเองก่อนที่จะเป็นฝ่ายโบกมือลาเธอก่อน “โชคดีกับขอบฟ้าของคุณนะครับ”
    ผมโบกมือลาเธอก่อนที่จะขึ้นแท็กซี่จากเธอไป…ผมมองเธอค่อย ๆ ข้ามถนนกลับไปที่โรงแรมอันโอ่อ่าอลังการที่ตั้งตรงข้าม…

    เธอมีอะไรเศร้าใจกันหนอ…ผมแอบคิดเมื่อลับสายตาของเธอไป

    ผมมาถึงทาคาชิมาย่าที่เป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดของถนนนี้พร้อมกับความจริงที่ว่าเพื่อนของผมนั้นต้องเดินทางไปทำธุระที่กรุงเทพฯ ก่อนและไม่สามารถอยู่รอพบผมได้ ผมรู้สึกผิดหวังและอารมณ์เสียเอามากที่แผนซึ่งผมได้คิดคำนวณมาเป็นอย่างดีต้องถูกทำลายไปหมด…โปรแกรมที่วางเอาไว้เพื่อที่ผมจะได้ไม่ว่างต้องยกเลิกจนผมไม่รู้ว่าผมควรจะทำอะไรต่อไป ผมคิดว่าบางครั้ง…กระแสเมืองใหญ่และความไม่คุ้นเคยกับวิถีชีวิตทำให้ผมรู้สึกอ้างว้างในโลกที่ไม่มีใครเข้าใจผมเลยแม้แต่น้อย…สิ่งที่ผมทำได้จึงเป็นแค่การปล่อยตัวไปตามกระแสฝูงชนที่แห่กันออกมาซื้อของอย่างคับคั่งราวกับกรวดก้อนเล็ก ๆ ที่ไหลไปตามน้ำ…จนเมื่อผมเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังนั่งร้องไห้ท่ามกลางผู้คนบริเวณม้านั่งหน้าห้างสรรพสินค้าอันใหญ่โต…ผมก็ระลึกได้ว่าเธอคือคนคนเดียวกับที่เชื่อในเรื่องขอบฟ้าคนนั้น…ด้วยความเป็นห่วงและความดีใจที่ได้พบเธออีกครั้ง…ผมจึงตรงเข้าไปหาเธออย่างไม่รอช้า…

    “มิสชาร์ล็อตต์”

    “คริส…” สิ่งที่เธอทำเป็นอย่างแรกเมื่อเธอเจอกับผม…ก็คือปาดน้ำตาพร้อมกับอุทานด้วยความประหลาดใจ “ไหนว่าคุณมีนัดไงคะ”

    ผมบอกสาเหตุให้เธอฟัง…เธอพยักหน้าและถามผมต่อไปว่า…

    “คุณเจอฉันได้อย่างไรกันคะเนี่ย…”

    “ผมเห็นสาวน้อยนั่งปิดตาร้องไห้อยู่ฝั่งพารากอนเลยวิ่งมาดู…มิสร้องไห้ทำไมกัน…ผมเห็นที่นี่มิสก็ร้อง…ที่เมอร์ไลอ้อนมิสก็ร้อง”

    “มาร์ฟ…แฟนฉันเขาไม่รอฉันที่ขอบฟ้าค่ะ…” เธอตอบผมอย่างไม่เต็มใจ…”เพราะเขาคิดว่าฉันไม่มีเวลาให้เขาเลย”

    “โธ่ ! คุณ…” ผมแทบอยากจะตบปากตัวเองเมื่อได้ยินเธอตอบ…เพราะคำตอบมันคงจะทำร้ายจิตใจเธอจนเอาแต่ร้องไห้อย่างเดียวเป็นแน่…ผมคิด

    “เราต่างกันเกินไป…ฉันเป็นนักเดินทาง…เขาทำงานแบบ ‘ไนน์ทูไฟว์’ ทุกวันแถมไม่มีวันหยุดด้วยซ้ำ…”
    เธอเล่าให้ผมฟังถึงสาเหตุที่ต้องจากกันก่อนที่เธอจะจากมายังดินแดนที่ไกลจากบ้านของเธอมากขนาดนี้…ผมสังเกตว่าเธอคงจะเห็นผมเป็นที่พึ่งเดียวในดินแดนที่ผู้คนขวักไขว่แต่ร้างไร้ความสัมพันธ์แห่งนี้…เธอจึงได้ยอมเล่าให้ผมฟังอย่างไม่ปิดบัง…

    “คุณเสียใจได้…เหงาได้…แต่อย่าให้มันมาทำลายคุณ” ผมพยายามจะปลอบเธอด้วยเธอก็เจอภาวะที่คล้าย ๆ กับผมหรืออาจจะเบากว่าผมด้วยซ้ำ “ไม่ใช่คุณคนเดียวที่เป็น…ผมเองก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกันตอนที่ลิเดียตาย…ผมเกือบจะได้แต่งงานกับเธอแต่ก็เกิดไนน์วันวันเสียก่อน…”

    “ฉันเสียใจด้วยนะคะ…” น้ำตาของชาร์ล็อตต์แห้งเหือดไปจากใบหน้าแล้ว…แต่รอยแห่งความเศร้าโศกยังคงทิ้งไว้บนดวงหน้านั้นอยู่

    “ผมไม่โทษพระเจ้าหรอกครับ…และเพราะอย่างนี้แหละครับผมถึงได้บอกว่าขอบฟ้ามันไม่มีจริงเพราะเธอเคยบอกผมว่าที่ปลายทางของขอบฟ้าจะมีเราสองคนอยู่…แล้วเธอก็จากไป”

    “ฉันเข้าใจแล้วล่ะค่ะ…”

    “เอาเป็นว่า…ผมจะพามิสเที่ยวออร์ชาร์ดดีกว่า…ไปหาอะไรกินกันด้วย…นาน ๆ ทีผมจะเจอนักท่องเที่ยวที่เป็นอเมริกันเหมือนเราสองคน…อีกอย่างผมไม่อยากให้มิสเศร้าไปกว่านี้ด้วย…ผมเป็นห่วง”

    “ฉันยินดีค่ะ”

    ตลอดค่ำคืนนั้นผมกับเธอได้เดินชมแสงไฟที่ประดับประดาทั่วถนนช็อปปิ้งอย่างเพลิดเพลิน…ผมได้แลกเปลี่ยนความคิดกับเธอและผมก็ทราบว่าชาร์ล็อตต์มีลักษณะนิสัยคล้ายกับผมหลายอย่าง…ชาร์ล็อตต์เป็นแดโมแครตและเกลียดท่านผู้นำของเราจับใจ…เธอชอบฟังเพลงเกือบทุกประเภทแต่เธอชอบดนตรีแนวคลาสสิคเป็นพิเศษโดยเฉพาะโมสาร์ทที่เธอบอกว่าถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ เธอจะยอมแต่งงานกับเขาโดยไม่สนใจว่าเขาจะมีหน้าตายังไง…เมื่อพูดถึงการอ่าน…เธอบอกว่าเธอไม่อ่านงานของแดน บราวน์แต่เธอเลือกที่จะอ่านงานของเวอร์จิเนีย วูลฟ์ นักเขียนแนวกระแสสำนึกคนดังที่ผมสนใจในวิถีชีวิตที่ซับซ้อนของเธอมากกว่า…เธอเกลียดหนังซุปเปอร์ฮีโร่พอ ๆ กับหนังวัยรุ่นไร้สาระ…เธอเคยเล่นฮาร์ปได้แต่เธอก็เลิกไปเพราะเธออยากเป็นนักเขียนสารคดีมากกว่าและสิ่งนี้ทำให้เธอเดินทางตลอดเวลาจนกระทั่งวันนี้ก็เป็นเวลาสามปีแล้ว…

    “ขอบคุณค่ะ…ที่ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น…” ชาร์ล็อตต์เอ่ยขึ้นกับผมเมื่อผมพาเธอมาส่งที่ฟูลเลอร์ตัน…เวลานี้ผมกับเธอต่างก็รู้สึกเหมือนรู้จักกันมานานแสนนานเหลือเกิน…

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ…ผมชอบเห็นหน้าคนมีความสุข” ผมเอ่ยอย่างติดตลกซึ่งเธอก็ยิ้มให้ผมด้วยใบหน้าที่แช่มชื่น “มิสมีความสุขผมว่าดีกว่าทานมื้อเย็นวันนี้เสียอีก”

    “งั้นก็ดีสิคะ…”

    “ผมต้องไปก่อนนะครับ…วันนี้ก็ดึกมากแล้ว” ผมตัดบทพลางกล่าวลาเธอ…”ขอบคุณสำหรับคืนนี้…ราตรีสวัสดิ์ครับ”

    “เช่นกันค่ะ”

    ถ้ามิตรภาพมันคือต้นไม้…หลังจากคืนนั้นมันก็แบ่งบานขึ้นจนกลายเป็นต้นไม้ที่แสนจะสวยสดงดงามยิ่งในสายตาผม…และไม่ใช่มิตรภาพเพียงอย่างเดียวหรอก…บางสิ่งบางอย่างที่ทำให้ผมอยากจะก้าวต่อไปข้างหน้าอีกครั้งหนึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น…

    หลังจากวันนั้นผมไปพบเธอที่ฟูลเลอร์ตันทุกเช้าเพื่อชวนเธอไปเที่ยวด้วยกัน…บางครั้งเธอก็มาพบผมที่ออร์ชาร์ด…เราออกไปทานอาหารอร่อย ๆ และพูดคุยกันหลายต่อหลายเรื่องซึ่งเธอดูมีความสุขมากทีเดียวเวลาที่ได้เดินทางไปกับผม…เราได้แลกเปลี่ยนความสนใจกันหลายเรื่องและแบ่งปันเสียงหัวเราะซึ่งจากสิ่งนี้เองทำให้ผมพบตัวตนของชาร์ล็อตต์…แม้เธอจะยังคงจมอยู่กับความเศร้าในยามที่อยู่คนเดียวลำพังแต่เนื้อแท้ของเธอเป็นคนที่รุ่มรวยด้วยอารมณ์ขันและน้ำใจไมตรีดีทีเดียว…

    จนกระทั่งเข้าเย็นวันที่สี่นี่เองที่ผมต้องตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง…

    จากคุณ : northstar - [ 25 พ.ย. 50 22:23:37 A:124.120.17.192 X: TicketID:152251 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom