หมากล้อม หมากชีวิต
ผมยังจำวันแรกที่จับเม็ดหมาก 2 สีนี้ได้ พ่อเป็นคนชวนผมเล่นในวันที่ผมกำลังท้อแท้และหมดหวังกับผลการสอบที่ดำดิ่งลงอย่างต่อเนื่องหลังเข้ามหาวิทยาลัย พ่อบอกว่าหมากล้อมจะทำให้ชีวิตผมดีขึ้น พ่อสอนผมว่าชีวิตคนเราทุกคนล้วนต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก เราจำเป็นต้องนำเอาประสบการณ์ต่าง ๆ มาเรียนรู้ เพื่อประยุกต์ใช้เป็นแนวคิดที่ถูกต้องและเหมาะสมกับตัวเองต่อไป
... ผมไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถามว่าสิ่งที่พ่อพูดหมายถึงอะไร ผมไม่สนใจที่พ่อสอนหรอก อย่างไรผมก็เก่ง ผมพิสูจน์ตัวเองโดยการสอบเอนทรานซ์เข้าเรียนแพทย์ได้แล้ว ...
วันนั้นผมชวนพ่อเล่นหมากรุก เวลาผมเครียดหรือมีความทุกข์ การเล่นหมากรุกกับพ่อคือการระบายอารมณ์ที่ดีมาก การได้ใช้ความคิดอย่างสงบสักพักกับคนที่เรารักสำหรับคนที่กำพร้าแม่อย่างผมนั้นถือเป็นเรื่องที่มีความสุขที่สุด ... แต่แล้วผมก็ต้องผิดหวัง พ่อไม่ยอมเล่นหมากรุกกับผม ผมสงสัยว่าพ่ออาจโกรธที่ผมสอบตก ??? แต่ไม่ใช่ ... ที่พ่อปฏิเสธการเล่นหมากรุกกับผมในวันนั้น เหตุผลเดียวของพ่อก็คือจะสอนให้ผมได้รู้จักกับหมากล้อม
เม็ดหมากสีขาวกับดำที่มีไว้ให้ผู้เล่นแต่ละคนผลัดกันลงบนจุดตัดที่มีอยู่ทั้งหมด 361 จุด ท้ายสุดจะมีผู้ชนะเพียงคนเดียว คือ ผู้ที่สามารถวางล้อมกั้นเอาพื้นที่ได้มากกว่า ตรงไปตรงมาแต่แฝงด้วยแง่คิดที่สำคัญ คือในเมื่อต่างฝ่ายต่างมีโอกาสลงหมากเท่ากัน หรือผลัดกันลง แต่ทำไมกลับมีผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว
อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างผู้แพ้และผู้ชนะ ???
ความแตกต่างที่ว่า อยู่ที่การใช้ทรัพยากร ( เม็ดหมาก ) ของแต่ละฝ่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุด เม็ดหมากแต่ละเม็ดที่ผู้แข่งขันได้เลื่อนผ่านนิ้วออกไปตามจุดต่าง ๆ สามารถบ่งบอกถึงเรื่องราวความคิด จินตนาการ และความสามารถในการวางแผน ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกประมวลขึ้นผ่านแนวความคิด หรือทัศนคติของผู้เล่นแต่ละคนนั่นเอง นี่คงเป็นเหตุผลที่สำคัญประการหนี่งที่นักเล่นหมากล้อมที่ดีเกือบร้อยทั้งร้อยสามารถจัดการกับชีวิต หรืออย่างน้อยก็หาทางออกในยามวิกฤติให้กับตัวเองได้ในท้ายที่สุด
ทุกอย่างฟังดูเหมือนง่ายและเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว แต่กว่าผมจะรู้ซึ้งถึงจุดประสงค์ที่พ่อต้องการจะถ่ายทอดให้ผ่านทางเม็ดหมากเหล่านั้น ดูเหมือนจะใช้เวลานานกว่าที่พ่อคาดหวัง ..... ผมขอโทษครับพ่อ ...
คุณพ่อเป็นลูกคนสุดท้องจากจำนวนพี่น้องทั้งหมด 7 คน และเป็นคนเดียวที่ได้เรียนหนังสือ พ่อเป็นคนเรียนเก่ง สามารถเรียนจบแพทยศาสตรบัณฑิตจากโรงพยาบาลรามาธิบดีด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจสำหรับคนที่ต้องเรียนไปทำงานไปอย่างพ่อ พ่อแต่งงานกับแม่ตอนอายุ 35 ปี แม่ผมเสียเพราะตกเลือดจากการคลอดผม ดังนั้นถ้ามีคนถามผมว่ารักและสนิทกับใครมากที่สุด ผมไม่ลังเลเลยที่จะตอบว่า พ่อ และผมก็รู้ด้วยว่าพ่อก็รักผมมากที่สุดเช่นกัน
ตอนเป็นเด็กผมกับพ่ออยู่ด้วยกันตลอดและมีความสุขมาก เป็นความสุขแบบอบอุ่นทางใจ ซึ่งต่างจากความสุขทางวัตถุนิยมอย่างที่หลาย ๆ คนในสมัยนี้ปรารถนา ...
ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้จักคำว่า วัตถุนิยม ดีพอหรือเปล่า เพราะจะว่าไปเศรษฐานะของครอบครัวเราก็เพียงแค่พออยู่พอกิน ไม่ได้มีโอกาสจะได้ไปเที่ยว ใช้จ่ายอย่างฟุ้งเฟ้อมากนัก เป็นหมอไม่ได้ต้องรวยเสมอไปอย่างที่คนเขามอง โดยเฉพาะกับหมอที่ปักหลักทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับชุมชนเล็ก ๆ ที่ทุรกันดารดังเช่นพ่อของผม
ครั้งหนึ่งผมเคยโกรธพ่อหลังจากที่ผมได้ไปร่วมงานสังสรรค์เพื่อนร่วมรุ่นของพ่อที่กรุงเทพฯ ผมต่อว่าพ่อเพราะเสียใจที่พ่อไม่ยอมมาทำงานที่กรุงเทพฯ จะได้รวยเหมือนหมอคนอื่น ๆ
พ่อทำหน้านิ่งสักพักจึงยิ้มและพูดว่า สักวันหนึ่งลูกจะต้องทำแบบพ่อแน่ ๆ .....
พ่อคงไม่รู้ว่าตอนที่ผมเลือกที่จะสอบเอนทรานซ์เข้าคณะแพทย์นั้น ในหัวมีแต่คำว่า เงิน กับความมุ่งมั่นในใจว่าผมจะไม่เป็นเพียงแค่หมอจน ๆ ที่ถูกโลกลืมอย่างพ่อ
จะไม่ให้ตอนนั้นผมคิดถึงแต่เรื่องเงินได้อย่างไร ผมไม่เคยเห็นพ่อทำงานสบาย ๆ เลย และถึงแม้จะใช้จ่ายอย่างประหยัด พวกเราก็อยู่ในฐานะที่ค่อนข้างอัตคัด มากกว่านั้นบางครั้งที่ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายเข้าสู่ภาวะวิกฤติไปเลย อย่างเช่นในช่วงที่ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย หรือที่เรียกกันว่า Extern ผมมีปัญหาเรื่องค้างชำระค่าเทอม ตอนนั้นผมไม่ได้ขอทุนการศึกษาเพราะอายเพื่อน กลัวว่าเวลามีการประกาศเรียกชื่อไปสอบสัมภาษณ์ผู้รับทุน คนอื่นจะรู้ว่าผมจน ซึ่งครั้งนั้นทางมหาวิทยาลัยจะไม่ผ่อนผันให้แล้ว ก็เท่ากับว่าผมจะไม่ได้เรียนในเทอมสุดท้ายและก็จะไม่จบการศึกษา
ที่ตอนนั้นครอบครัวเรามีปัญหาเรื่องเงินกันมาก ไม่ใช่เพราะผมหรือพ่อหันไปติดการพนัน หรือติดยาเสพติด และก็ไม่ได้เป็นเพราะพ่อไม่มีความสามารถในเรื่องการวางแผนควบคุมค่าใช้จ่าย แต่ช่วงสองสามปีนั้น พ่อต้องใช้เงินส่วนตัวเป็นจำนวนมากรณรงค์เรื่องการป้องกันโรคติดต่อ อย่างเช่น โรคไข้เลือดออก อหิวาตกโรค เป็นต้น รวมถึงการสั่งซื้อเครื่องมือแพทย์และยาที่จำเป็นอีกด้วย
งบประมาณจากรัฐบาลนั้นหรือ ... ?
ลงมาไม่ถึงดินแดนอันแร้นแค้น ยากจนแห่งนี้หรอก ...
... เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวเงินเก็บอันน้อยนิดของครอบครัวเราก็หมดไป โดยมีหนี้สินมหาศาลเข้ามาแทน
อนาคตทางการศึกษาของผมถูกยืดออกไปและสามารถเรียนต่อจนจบได้ ก็ด้วยบุญคุณของพี่น้องชาวบ้านในชุมชนซึ่งรักพ่อกันทั้งนั้น พวกเขาช่วยกันเรี่ยไรได้เงินมาก้อนหนึ่งทันทีที่รู้เรื่องปัญหาของผม .....
..... ประโยคที่ผ่านมาคือสิ่งที่พ่อบอกกับผม ...
แต่ความจริงเงินที่ชาวบ้านได้เรี่ยไรกันมานั้น ไม่ใช่เพื่อผม แต่เพื่อพ่อซึ่งขณะนั้นป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ( Acute Myocardial Infarct ) และจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อขยายหลอดเลือด และใส่หลอดเลือดเทียม ( Coronary Artery Bypass Graft ) ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินก้อนหนึ่งเพื่อเดินทางไปรักษาที่กรุงเทพฯ แต่พ่อเลือกที่จะไม่ผ่าตัด โดยใช้วิธีกินยาประคับประคองอาการไปแทน ซึ่งถ้าประเมินจากสุขภาพของพ่อในตอนนั้น พ่อซึ่งจบเฉพาะทางด้านอายุรกรรมโรคหลอดเลือดและหัวใจ ( Cardiovascular Medicine ) ต้องรู้แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด จะว่าไปมันเป็นทางเลือกที่เสี่ยงที่สุดสำหรับคนทำงานอย่างพ่อก็ว่าได้
ในวันรับปริญญาของผม ขณะที่เรากำลังเดินไปหาที่ถ่ายรูปด้วยกัน คุณพ่อล้มลงมือข้างหนึ่งกุมหน้าอก ผมรู้เรื่องของพ่อจากผู้ใหญ่บ้านและเพื่อนบ้านที่มาในงานของผมขณะที่อยู่บนรถฉุกเฉิน ผมได้แต่ร้องไห้และตะโกนถามพ่อว่าทำไมพ่อทำแบบนี้ พ่อไม่รู้หรืออย่าไรว่าผมจะเรียนจบช้าไปอีกสักปีสองปี หรือแม้จะไม่ได้เรียนจนจบก็ได้ ขอเพียงให้มีพ่ออยู่สักคนหนึ่งข้าง ๆ ผมก็พอ พ่อไม่ได้ตอบผมเหมือนเช่นทุกครั้ง ..... พ่อเสียชีวิตที่ห้องฉุกเฉิน โลกของผมมืดสนิทจริง ๆ มืดที่สุดตั้งแต่ชีวิตผมเกิดมา ...
พ่อครับ ..... ผมขอให้พ่อให้แสงสว่างกับชีวิตผมอีกสักครั้งได้ไหมครับ ..... ???
สมบัติมีค่าชิ้นเดียวที่พ่อพกมาในวันนั้นถูกส่งมาที่ผม มันเป็นกล่องกำมะหยี่เล็ก ๆ พอเปิดออกมามีเม็ดหินหยกขัดทรงกลมแบนอยู่ 2 เม็ด เม็ดหนึ่งสีขาว อีกเม็ดหนึ่งออกสีดำ ดูก็รู้ทันทีว่ามันถูกสั่งทำขึ้นตามลักษณะของเม็ดหมากล้อม เมื่อหยิบขึ้นมาแล้วพลิกด้านดูจะพบรอยแกะสลักข้อความ เม็ดหนึ่งสลักเป็นชื่อของผม อีกเม็ดหนึ่งสลักคำว่า ...
... คนไข้ ...
แม้ทุกวันนี้พ่อไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผม แต่คำสอนของพ่อยังอยู่เคียงข้างผมทุกลมหายใจ
ในช่วงสุดท้ายของชีวิต พ่อตัดสินใจทิ้งหมากกลุ่มหนึ่ง เพื่อให้อีกกลุ่มหนึ่งรอด แน่นอนที่สุด ... พ่อต้องคาดหวังว่าหมากกลุ่มที่รอดนั้นจะต้องมีประโยชน์ต่อผลลัพธ์โดยรวม คุ้มค่าต่อการเสียไปของหมากกลุ่มแรก ... พ่อซึ่งเป็นคนที่รู้จักผมดีที่สุด มองออกอย่างทะลุปรุโปร่งว่าความมุ่งมั่นที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของคนอ่อนแออย่างผมนั้น คงจะมอดดับไปชนิดจุดไม่ติดหากตอนนั้นมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนอีกครั้ง จึงตัดสินใจทำทุกอย่างเพื่อแลกกับสิ่งที่พ่อคิดว่ามีค่ามากที่สุดในชีวิต สิ่งมีค่าที่พ่อคาดหวังเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งเม็ดหมากเม็ดนี้จะให้ผลตอบแทนที่มีประโยชน์ที่สุดต่อหมากทั้งกระดาน
แนวคิดของพ่อที่ผสมผสานเข้ากับศาสตร์แห่งหมากล้อม แลถ่ายทอดลงมาในทุกย่างก้าวของชีวิต เปรียบได้กับการวางเม็ดหมากในช่วงต้นเกมที่มุ่งเน้นไปในการวางโครงสร้างตามจุดต่าง ๆ ที่สำคัญ อันจะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่ง ที่จะสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อไปในอนาคต ตราบเท่าที่เกมกระดานนั้นจบลง และแม้แต่ในเกมหมากกระดานใด ๆ ที่เดินจบไป ประโยชน์ของมันก็ยังคงอยู่ ผ่านทางแผ่นบันทึกหมาก ให้โอกาสกับคนชั่วลูกชั่วหลานได้เก็บไว้ศึกษา เป็นการคงอยู่เฉกเช่นเดียวกับบรรยากาศความรัก ความอบอุ่นที่คนในชุมชนได้มอบให้กับพ่อ รวมถึงความสำเร็จของพ่อในการวางรากฐานพัฒนาความเป็นอยู่ ความเจริญให้กับถิ่นฐานบ้านเกิดของตัวเอง
ในวันนี้จังหวัดของเรามีระบบสุขาภิบาล และมีระบบการบริการทางด้านสุขภาพที่ดีที่สุดในภูมิภาค ชาวบ้านมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมากภายใต้แนวคิดการบริหารเศรษฐศาสตร์แบบ พออยู่ พอกิน ...
ผมในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลจังหวัดและเป็นสมาชิกคนหนึ่งของชุมชน ขอกราบขอบพระคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อได้มอบให้กับผมและสังคมแห่งนี้ ผมสัญญาว่าจะนำความรู้ความสามารถที่มีทั้งหมด มาสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวม เพื่อให้สมกับที่ผมเป็นกลุ่มหมากที่พ่อคาดหวัง และต่อลมหายใจให้ในวันนั้น
น.พ. วสวัตติ์
จากคุณ :
มังมหานรธา
- [
25 ธ.ค. 50 00:00:59
]