ภาพถ่ายใบนี้ คงเป็นถ่ายในร้านนี้ ช่างภาพคงมือสั่น แถบใบหน้าของเธอจึงค่อนข้างสั่นไหว
ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น เธอก็สวยจนฉันรู้สึกอิจฉาอยู่ดี องค์ประกอบของภาพจัดวางอย่างมือสมัครเล่น
ดูไม่มีอะไรตอบรับ สอดคล้อง หรือ กลมกลืน เหมือน กองหนังสือบนโต๊ะ ถ้วยกาแฟ จานขนมบราวนี่
ต่างคนต่างอยู่ แม้แต่ตัวเธอก็ไม่อยู่ในร้าน ณ โต๊ะที่เธอนั่ง เส้นผมยาวๆดูแห้งนิดหน่อย สวมหูฟังสีชมพูอ่อน
ดวงตาที่ดูเหม่อลอย เบี่ยงตัวทางหน้าต่างที่แสงจ้าจนมองด้านนอกไม่เห็น ชวนให้อดคิดไม่ได้ว่า
เธอกำลังรอคอยใครสักคน ..
ฉันไม่ทราบว่า เธอได้พบใครคนนั้นหรือไม่ แน่ล่ะ..ฉันรู้จักเธอเพียงแค่ภาพถ่ายที่สอดเอาไว้ในหนังสือเก่าๆที่เคยอยู่บนหิ้งไม้ข้างๆโต๊ะที่นั่งอยู่ประจำและไม่เคยสนใจอ่านหนังสือตอนกินกาแฟ ก่อนจะหมกมุ่นกับการจัดระเบียบฟิล์ม จดบันทึกการถ่ายภาพ และ แอบมองเจ้าของร้านกาแฟร้านกาแฟร่างท้วม ไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่
รู้สึกว่าเขาจะผอมลงนิดหน่อย ยังชอบอมยิ้มกับเครื่องชงกาแฟเหมือนเดิม
" อ่าน เดอะ ทราเวลเลอร์ อีกแล้ว ไม่เบื่อเลยนะ " เขาจดข้อความนั้น ด้านหลังใบออร์เดอร์ วางใต้ถ้วยกาแฟที่นำมาเสิร์ฟให้ ฉันเหลือบมองส่งสายตาบอกว่าไม่ได้สั่ง เขายิ้มแล้วพึมพำว่าแถมให้
เอสเปรซโซร้อน สีดำเข้มกลิ่นข้นแตะจมูก จนแถบรู้สึกว่าดื่มได้ทางจมูก ไม่ยกโหลน้ำตาลและครีมมาให้ เขาจำได้ด้วยว่าฉันชอบกินกาแฟดำบริสุทธิ์ มั่นใจว่าตัวเองชงเอสเปรซโซอร่อยที่สุด น่ารักดี แต่จะน่ารักมากกว่านี้ ถ้าจะช่วยจำอีกสักนิดว่า ฉันชอบกินบลูเมาเท่น และไม่ลืมว่า เป็นคนแนะนำให้ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ ตอนนั้น เขาบอกว่า ลองเอาโลกออกมาจากดินแดนของฮารุกิ มุราคามิดูบ้าง แล้วก็คว้าเดอะ ทราเวลเลอร์ ของไมเคิ่ล ไครชตัน โยนให้ ไม่แน่ใจว่าเขาตั้งใจเลือก หรือ หยิบเล่มไหนได้ก็โยนลงมา สารภาพตามตรงว่า ตอนนั้น ฉันไม่มีใจเผื่อให้หนังสือเล่มไหน นอกจาก แดนซฺ์ แดนซ์ แดนซ์ และหนังสือการใช้ชีวิตในออสเตรเลีย เขาไม่ใช่คนชอบอ่านหนังสือ จึงคิดว่าคงหยิบโดยไม่ได้เลือก
ตลกนะ...ฉันหยิบ เดอะ ทราเวลเลอร์ เก็บลงกระเป๋าสลับกับ แดนซ์ แดนซ์ แดนซ์ ที่อ่านค้างอยู่ รู้ตัวตอนอยู่บนเครื่องบินไปออสเตรเลีย นาทีนั้นแสนหงุดหงิด จำใจต้องพลิกอ่านเรื่องเล่าเชิงชีวประวัติของนักเขียนที่โด่งดังมาจากเรื่องจูราสสิก ปาร์ค ฉันเกลียดไดโนเสาร์ อยากตะโกนออกมาแบบนั้น แต่นิโกรข้างๆกำลังหลับสบาย
ตาบ้า...ฉันนึกด่าเจ้าของร้านกาแฟ
ในที่สุด ฉันก็ได้รู้จักกับเธอเป็นครั้งแรก เธอร่วงผลอยลงบนตัก ฉันรู้สึกเป็นฟืนเป็นไฟ เลือดขึ้นหน้า ถามตนเองในใจว่า ใครเนี่ย แล้วหัวเสียกับเจ้าของร้านกาแฟ อ้วนขนาดนั้น ยังแอบมีคนอื่น
..ลืมบอกไปเจ้าของร้านกาแฟเป็นคนรักของฉันเอง คบกันมานานแล้ว..จริงๆนะ
เธอสวยจริงๆ แม้ว่าภาพจะไม่ค่อยชัดก็ตาม ที่จริงว่าจะฉีกเป็นชิ้น นึกดูอีกที เก็บไว้เป็นหลักฐานคุยกับตาบ้าตอนกลับไปดีกว่า ฉันสอดเธอไว้ในหนังสือเหมือนเดิม อาจไม่ใช่ที่เดิม แต่คิดว่าอาจจะชอบอยู่แบบหลบๆซ่อนๆตามหน้าหนังสือ
หรือว่าเป็นการบอกให้รู้ทางอ้อมว่า คนรักมีคนอื่นอยู่ ฉันคิดแบบนั้นตลอดเวลาขณะที่ทำงานในซิดนี่ย์ งานช่างภาพสารคดีเชิงท่องเที่ยงทำให้ฉันต้องเดินทางบ่อยๆ บรรณาธิการไม่เคยให้ฉันกลับมาถ่ายภาพในประเทศบ้านเกิดสักครั้ง จึงไม่ได้กลับไปพบเขานานมาก ว่าจะโทรไปถามหรืออีเมลไปคุยเรื่องของสาวสวยในหนังสือ แต่ส่วนใหญ่ฉันจะถ่ายภาพหน้าตาบูดๆ บึ้งๆหรือถ่ายรูปเป็นหมู่คณะส่งไป ฉันอยากให้เขารู้ว่ ฉันยังเหมือนเดิม ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนไหน ฉันยังขี้หงุดหงิด ขี้โมโห และ ไม่เหงา จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง เคยคิดว่าจะออกปากชวนเขาให้มาอยู่ด้วยกันที่นี่ แต่ฉันรู้ว่า เขารักร้านกาแฟร้านนั้นมาก แทบไม่เคยเห็นปิดร้าน ฉันทราบดีว่าเขารักฉันมากเหมือนกัน ดังนั้น จึงไม่อยากให้ลำบากใจเลือกเอาฝั่งใดฝั่งหนึ่ง อีกอย่างฉันคิดว่า ถ้าเอาชีวิตของเขาพ้นร้านกาแฟ เขาจะไม่ใช่เขาคนที่ฉันรักอีกต่อไป ..ซึ่งไม่อยากให้เป็นแบบนั้น แต่กรณีมีหญิงอื่น เป็นคนละเรื่อง
กระเป๋ากล้องถ่ายรูปคู่ชีพเป็นของขวัญแสดงความยินดีที่ได้งาน มีช่องใส่ของเยอะดี นอกจากกล้องและอุปกรณ์อื่นๆ ยังพอใส่หนังสือได้สองเล่ม ฉันยังชอบฮารุกิ มุราคามิ จึงต้องพกติดตัวไปด้วยทุกครั้ง หมุนเวียนหัวเรื่องไปเรื่อยๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่า อีกเล่มต้องเป็น เดอะ ทราเวลเลอร์ อ่านจบไปแล้วรอบหนึ่ง ไม่ได้ดีมากจนต้องอ่านซ้ำอีกรอบ ระหว่างนั่งเครื่องบิน ฉันไม่ชอบทำความรู้จักกับใคร ไม่ชอบผูกพันแบบที่รู้ดีว่าอาจไม่ได้พบกันอีก จึงเอาแต่ก้มหน้าจดจ่อกับหนังสือ บางเวลา ฉันหยิบภาพของหญิงสาวในร้านกาแฟมามองดู พร้อมกับคำถามที่ค้างคาในหัวใจว่า " เธอสวยเหลือเกิน..เธอเป็นใครกันนะ ? "
ในที่สุด เธอจึงกลายเป็นเพื่อนเดินทางของฉัน มีความรู้สึกผูกพันแบบที่ทราบว่าจะได้พบกันทุกครั้งบนเครื่องบิน ไม่ใช่เพียงเพื่อนเที่ยวเดียว ฉันเลื่อนเวลาถามเขาว่าเธอเป็นใครไว้ก่อน รอให้มีโอกาสกลับประเทศไทยค่อยนั่งคุยกันดีๆ บางช่วงก็คิดว่าดีเหมือนกัน เขาจะได้มีเพื่อน และถ้าเพื่อนคนนั้น เป็นคนที่นิสัยดีกว่าคนเอาแต่ใจตัวเองจะเปลี่ยนใจไปก็คงไม่ถือโทษโกรธกันแล้ว ฉันเองก็เห็นแก่ตัวที่เลือกงานที่ต้องอยู่ห่างกันขนาดนี้
วันที่ฉันบอกทางเลือกของชีวิต เขาเพียงยิ้ม ชงกาแฟมาให้ และบอกว่า
" ว่างจากกล้อง ก็แวะมาจิบกาแฟรสเดิมๆบ้างนะ ผมคงไม่ย้ายร้านไปไหนและคงไม่ได้ไปปิดร้านไปไหน"
เพียงแค่นั้น แล้วเขาก็นั่งลงข้างๆ โอบศีรษะของฉันแนบบนอ้อมอกของเขา ฟังเพลงที่เปิดทิ้งไว้จนหมดแผ่น ระหว่างเรามีเพียงความเงียบ พอหมดเพลง กาแฟก็เย็นชืด เขาไปชงถ้วยใหม่มาให้และไม่ใช่บลูเมาเท่น
ในที่สุด ฉันก็ได้กลับมาประเทศไทยเมื่อสองวันก่อน ขอพักผ่อน ก่อนต่อสัญญาเป็นช่างภาพประจำสำนักพิมพ์ถาวร เลื่อนจากสัญญาชั่วคราว มีความก้าวหน้าเกิดขึ้นและคงมีโอกาสถอยหลังกลับมาน้อยเต็มที ฉันแวะมาหาเขาที่ร้านทันทีที่ลงจากเครื่อง
เขาปิดร้าน เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ ฉันซ่อนความผิดหวังไว้ใต้แว่นกันแดด ยิ้มทักกับเด็กสาวที่นั่งบนม้านั่งเก่าๆหน้าร้าน อายุคงราวๆสิบแปดสิบเก้า หน้าตาน่ารัก แต่ไม่ใช่ผู้หญิงในภาพถ่าย คงเป็นลูกค้าขาประจำ
" ชอบมุราคามิเหรอคะ ? " เด็กสาวถามฉัน คงเพราะเห็น เดอะ วิน-อัพ เบิร์ด โครนิเคิล ที่เสียบในกระเป๋า
จากคุณ :
กาแฟสอง
- [
18 ม.ค. 51 17:07:37
]