หลังจากที่ฉันเรียนจบและตระเวนหางานทำอยู่เป็นเดือน
ก็ได้งานทำที่นครปฐม เป็นโรงงานทำกะทิ
ฉันต้องตื่นตั้งแต่ตี5ครึ่งเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน
เข้างานแปดโมงเช้าเลิกงานห้าโมงเย็น
เนื่องจากพักที่ปิ่นเกล้าแต่นั่งรถเมลล์ไปทำงาน
ไม่ยอมนั่งรถตู้ เพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย
จึงทำให้กว่าจะไปถึงที่ทำงานกว่าเกือบ ๆ แปดโมง
และเลิกงานกว่าจะกลับถึงที่พักก็มืดแล้ว
และขากลับนี่เองฉันต้องฟันฝ่ามรสุม
ขอเรียกเป็นมรสุมเถอะ เพราะมันน่ากลัว
ตามความคิดของเด็กบ้านนอกอย่างฉัน
ที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน
ทุกวันฉันจะต้องนั่งรถเมลล์ไปกับพวกเด็กเทคนิค
บางคนถือมีดขึ้นรถมาด้วยไม่ใช่มีดสั้น ๆ เล็ก ๆ ด้วยสิ
ยาวคม นึกถึงตอนที่ฟันลงกับผิวเนื้อ
บรื้อ ๆๆๆๆๆๆๆ แค่คิดก็เสียวแล้ว
บางวันรถเมลล์ที่ฉันนั่งก็โดนปาด้วยก้อนหิน
กระจกท้ายรถร้าว บางวันก็ปาด้วยขวดหรือไม้
ตอนแรกกลัวมาก แต่นานวันเข้าก็เริ่มชิน
บอกตัวเองว่าไม่เป็นไรหรอกมั้ง คงแค่นี้แหละ
แต่วันนึงเมื่อรถเมลล์จอดรับเด็กนักเรียนเทคนิค
โรงเรียนนึง ทั้งป้ายก็มีแต่เด็กพวกนี้ด้วยสิ
เสียงพวกเค้าโวกเวกโวยวาย เสียงด่าทอฟังไม่ได้ศัพท์
พอรถเมลล์เคลื่อนไปได้สัก ฉันก็ได้ยินเสียงกระจกท้าย
ดังเปรี๊ยะพอหันไปมองกระจกก็ร้าวซะแล้ว
ฉันสะดุ้งสุดตัว แต่ก็พยายามเฉยไว้
จนกระทั่งเด็กเทคนิคผู้ชายบางคน
โผล่หน้าออกนอกกระจกแล้วตะโกนด่า
พวกเด็กเทคนิคอีกกลุ่ม น่าจะคนละโรงเรียน
เพราะใส่เสื้อไม่เหมือนกัน สักพักก็พากัน
เฮลั่น แล้วตามมาด้วยเสียงดัง ตูม!
หัวใจฉันหล่นวูบลงไปที่ตาตุ่มพอมองตามเสียง
ก็เห็นควันลอยฟุ้งตรงเกาะกลางถนน แล้วตามมาด้วย
เสียงตูมอีกครั้ง ระเบิดแต่อานุภาพไม่รุนแรน
คงเป็นระเบิดขวดธรรมดา ที่พวกนี้ทำขึ้นมาเองละมั้ง
แต่ละคนที่อยู่บนรถหน้าถอดสีทั้งสิ้น ยกเว้นพวกเด็ก
พวกนั้นพากันเฮโลตบมือพออกพอใจ ที่ฝ่ายตรงข้าม
ทำอะไรพวกตัวไม่ได้ ดีนะที่ตรงที่ระเบิดไม่มีรถ
วิ่งใกล้ ๆ กับเกาะกลางถนนจุดนั้น
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ฉันเปลี่ยนเส้นทาง
การเดินทางโดยหันมาให้บริการรถตู้แทน
แต่ก็เสียดายเงินค่ารถอยู่ดี จึงใช้บริการเพียงอาทิตย์เดียว
ก็กลับไปใช้บริการรถเมลล์เช่นเดิม
และเหตุการณ์ครั้งที่จะเกิดขึ้นนี้หละ
ที่เป็นสาเหตุทำให้ฉันถึงกับต้องลาออก
วันนั้นฉันยืนรอรถเมลล์ป้ายที่ฉันรอ
ก็จะมีเด็กเทคนิคกลุ่มใหญ่มารออยู่ด้วย
พอรถเมลล์สายที่ฉันจะนั่งมาถึง
พวกเด็กพวกนั้นก็พากันขึ้นจนเกือบเต็มคันรถ
แต่ฉันไม่ยอมขึ้นคันนี้ บอกกับตัวเองว่า
กลับช้าหน่อยไม่เป็นไรน่า
ฉันรอรถเมลล์อยู่พักใหญ่ พอขึ้นไปนั่ง
แหมตัดสินใจถูกจริง ๆ ดู ๆแล้วไม่มี
พวกเด็กพวกนั้นแน่ ๆ
พอรถเคลื่อนไปได้สักพัก ในขณะที่
กำลังชะลอเพื่อรับผู้โดยสารป้ายหนึ่งอยู่
ก็ได้ยินเสียงวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมา
จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้อง โอ๊ย! ๆ พร้อมกับ
เสียงเตะดังพลัก ๆ ข้าง ๆ ที่ฉันนั่งเลย แค่นั้นยังไม่พอ
ไอ้คนที่เตะมันที่มีดยาวคม น่ากลัวจริง ๆ
ผู้ชายที่โดนเตะ ก็กระเสือกกระสนวิ่งไปด้านหน้า
เผื่อจะไปลงประตูหน้าแต่ไม่ทันเสียแล้ว
ไอ้มือมีดกระชากคอเสื้อเตะซ้ำ
หลายรอบ มิหนำซ้ำมันยังเอามีดฟันลงไปด้วย
แต่ฟันตรงจุดไหนฉันไม่กล้าจะมองชัด ๆ กลัวมาก
สักพักก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด แล้วพูดว่า
" พอแล้วน้องพอแล้วสงสารเค้า พอแล้ว
พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ "
ไอ้บ้านั่นไม่ยอมคงยังเตะจนหนำใจมัน
รถเมลล์ก็ยังวิ่งเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ยอมจอดป้ายเลย
เพราะโดนไอ้มือมีดขู่ไม่ให้จอด จนกระทั่งมันทำร้าย
เหยื่อจนหนำใจ
" เฮ้ย ! จอดหน่อยจะลง "
รถเมลล์ยังไม่จอดสนิทด้วยซ้ำ มันก็รีบวิ่งลงไป
จากนั้นเสียงที่เงียบ ๆ อยู่ก็ฮือขึ้น
" นี่ ๆ ดูซิ ตายไหม เฮ้ย! นิ้วก้อยจะขาดแล้ว"
ฉันมาได้สติเมื่อพี่คนที่นั่งข้างๆ สะกิด
"น้อง ๆ มันไปแล้ว " ฉันกลัวซะจนเบียดพี่เค้า
จนชิดหน้าต่างรถเมลล์
สักพักนึงเด็กเก็บตั๋วก็พูดขึ้น
" จอด ๆ สายตรวจวิ่งตามรถเมลล์เราว่ะ "
คงมีใครสักคนโทรแจ้ง 191 ในขณะที่เหตุการณ์
ชุลมุน ช่างกล้าและน่ายกย่องมาก
ส่วนฉันตอนนั้นสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย
เมื่อรถเมลล์จอดพลเมืองดีผู้ชายสองท่าน
จึงพยุงน้องคนนั้นลงไปหาตำรวจ
หลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อ
จากเหตุการณ์นี้ฉันเล่าให้แม่ฟัง
แม่ไม่ยอมให้ทำงานที่นั่นต่อ
แม้ฉันบอกว่าจะไม่นั่งรถเมลล์แล้วจะนั่งรถตู้แทน
แต่แม่ก็ไม่ยอม เพื่อความสบายใจของท่าน
ฉันจึงลาออก.........
ภาพเหล่านั้นยังติดตาฉันอยู่แม้มันจะผ่านมาหลายปี
แล้วก็ตาม.....
จากคุณ :
ตติตา
- [
18 ม.ค. 51 19:50:21
]