ฉากชีวิต
ครูของผม
เพทาย
เมื่อถึงเดือนมกราคม นอกจากวันเด็กแล้วก็มีวันครู ที่ทุกคนจะต้องระลึกถึงครู และพระคุณของครูที่เคยสอนวิชาความรู้ และอบรมบ่มนิสัยให้เราเป็นคนดี เพราะทุกคนต้องมีครูด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่ผู้ที่กำลังเป็นครูอยู่ก็ตาม ผมนั้นมีอาชีพหลักเป็นทหาร แต่ก็เคยเป็นครูเหมือนกัน คือครูฝึกทหารใหม่ และต่อมาก็ได้เป็นครูฝึกนักเรียนนายสิบ แม้จะไม่นานก็ได้ชื่อว่าเป็นครูคนหนึ่ง
ในสมัยสงครามที่โรงเรียนปิดหมดทั้งกรุงเทพ แม่ผมซึ่งมีอาชีพเป็นครูโรงเรียนราษฎร์ ก็เปิดโรงเรียนเด็กเล็กขึ้นที่ใต้ถุนบ้าน สอนเด็กเพื่อนบ้านที่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียน ทำนองชั้นอนุบาลเดี๋ยวนี้ มีลูกเล็ก ๆ ของเพื่อนบ้านมาสมัครเรียนร่วมสิบคน ขณะนั้นผมอยู่ชั้นมัธยมต้นแล้ว โรงเรียนก็ปิดเหมือนกัน จึงช่วยแม่สอน ก.ขอ ก.กา เด็กที่ผมเคยจับมือเขียน ก.ไก่ ในสมัยนั้น ต่อมาก็แยกย้ายกันไปเข้าโรงเรียนเจริญเติบโต ไปในสาขาต่าง ๆ
แต่คนที่เผอิญยังอยู่ใกล้กัน ได้คบหาสมาคมกันต่อมา คนหนึ่งเป็นคุณหญิงของแม่ทัพภาค แต่เสียชีวิตด้วยโรคภัยก่อนที่จะแก่ อีกคนหนึ่งเป็นทหารเรือ ตอนเกษียณอายุราชการมียศพลเรือตรี ยังเห็นนั่งซดกาแฟอยู่เกือบทุกเช้า อีกคนหนึ่งเป็นอดีตหัวหน้าแผนก ก็ยังซดเบียร์กับผมอยู่บ่อย ๆ นับว่าผมก็ประสบความสำเร็จในชีวิตการเป็นครูเหมือนกัน
ส่วนครูของผมที่มีความสำคัญมากที่สุดนั้น ผมเกิดที่บ้านของท่านที่จังหวัดกระบี่ โดยไม่ได้เป็นคนใต้ทั้งครูและผม เพราะพ่อผมซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ฝั่งธนบุรี แต่มีอาชีพเป็นครูได้ย้ายไปเป็นศึกษาธิการจังหวัดนั้น และครูก็เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนประจำจังหวัด
ท่านมีบ้านพักอยู่ใกล้กัน ภรรยาของครูจึงเป็นคนทำคลอดผม ให้ออกมาดูโลก แต่อีกไม่นานต่อมา ก็ได้กลับมาอยู่ในสวนฝั่งธนบุรี เพราะพ่อต้องพ้นจากราชการ ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง
สิบปีผ่านไปผมจึงได้มาพบกับคุณครูอีกครั้งหนึ่ง เมื่อแม่พาผมมาฝากเข้าโรงเรียนวัดสมอราย ที่คุณครูเป็นครูผู้ปกครองอยู่ ท่านรับภาระในเรื่องต่าง ๆ ของตัวผม โดยแม่ไม่ต้องห่วง ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การอบรมบ่มนิสัย ตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่สอง จนถึงมัธยมปีที่สาม จึงปล่อยให้ผมไปอยู่ในความดูแลของครูท่านอื่น ตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่สี่ ถึงมัธยมปีที่หก ซึ่งอยู่ในระหว่างสงครามพอดี
และเมื่อสงครามสงบ ผมก็ลาออกจากโรงเรียนนี้ เพื่อไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเองและแม่ โดยไม่จบชั้นมัธยมปีที่หก ทั้ง ๆ ที่มีอายุเพียงสิบห้าหยกสิบหกหย่อนหย่อน
เมื่อผมกับเพื่อนที่จบชั้นมัธยมปีที่หกจากโรงเรียนนี้ ได้ไปประกอบอาชีพเป็นปึกแผ่นแน่นหนากันพอสมควรแล้ว ก็กลับมารวมตัวกันเป็นกลุ่ม และรับผมเข้าไว้ในกลุ่มด้วยนั้น เมื่อมีการพบปะสังสรรค์ประจำทุกเดือน ก็จะต้องเชิญคุณครูมาเป็นประธานด้วยทุกครั้ง ถือว่าเป็นการกินเหล้าให้ครูดูว่างั้นเถอะ ท่านก็มาบ้างไม่มาบ้างตามโอกาส
จนเมื่อท่านมีอายุมากขึ้นกว่าแปดสิบปี ก็มีการเอารถไปรับมาและเอารถกลับไปส่งบ้าน ท่านก็ยังมาดูพวกเรากินเหล้ากันอยู่ตามความเหมาะสม
แต่เมื่อถึงวันเกิดของท่านทุกปีที่เราไปอวยพร ท่านก็จะอบรมสั่งสอนเหมือนเมื่อเราเป็นเด็ก โดยเฉพาะเรื่องกินเหล้า ท่านว่ากินมันเข้าไปทำไม ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ดูครูซิอายุเกือบจะเก้าสิบแล้ว ไม่ต้องกินเหล้าเลยก็อยู่ได้
เราก็รับฟังด้วยความเคารพ บางครั้งท่านก็เลี้ยงเครื่องดื่ม บางครั้งก็เลี้ยงข้าว ท่านก็บอกว่าที่นี่ไม่มีการเลี้ยงเหล้า พวกเราก็ฝืนยิ้มแย้มกินกันไปแกน ๆ โดยไม่มีใครโต้แย้ง แต่ในครั้งหลัง ๆ เราก็กินกันมาเสียก่อน ก็ไม่เห็นท่านว่าอะไร
เมื่อท่านอายุครบเจ็ดรอบแปดสิบสี่ปี พ.ศ.๒๕๒๗ ท่านดำริจะจัดทำ หนังสือแจกในงานที่ลูกหลานจัดฉลอง ผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งก็ช่วยกันรับภาระรวบรวมข้อเขียนของท่าน มาจัดรูปแบบ ตรวจพิสูจน์อักษร และตรวจตราความเรียบร้อยจนเป็นเล่มสมบูรณ์ โดยท่านไม่ได้ใช้ลูกชายคนเดียวของท่านเลย
พี่ผู้หญิงลูกสาวคนโตยังเคยออกปากว่า คุณครูรักลูกศิษย์มากกว่าลูกตัว เราก็รับฟังด้วยความภูมิใจ และหนาว ๆ ร้อน ๆ ไปพร้อมกัน
ในงานซึ่งจัดที่โรงแรมรอแยล หรือรัตนโกสินทร์ นั้น ท่านก็ขอบอกขอบใจให้ศีลให้พรพวกเราเป็นพิเศษ
เมื่อท่านป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล เราก็รวบรวมกันไปเยี่ยมหลายครั้ง ซึ่งท่านก็ไม่ได้เป็นโรคอะไรเลยนอกจากความชรา จนท่านกลับไปอยู่ที่บ้าน
ในวัยเก้าสิบเศษ เราก็ยังไปเยี่ยมท่านในวันเกิดทุกปี แม้ว่าจำนวนเพื่อนจะลดลงบ้าง ท่านก็ยังคุยและสั่งสอนเราเหมือนเดิม
จนถึงวันหนึ่งลูกสาวคนเล็กที่ท่านรักมาก แต่มีนิวาสสถานอยู่ต่างจังหวัด กลับมาเยี่ยมบ้านทำให้ท่านดีใจมาก แล้วท่านก็จากไปอย่างกะทันหัน ยังความเศร้าโศกเสียใจให้แก่ครอบครัวของท่าน รวมถึงพวกเราที่เป็นลูกศิษย์ด้วย
ผมกับเพื่อนก็ได้เข้าไปร่วมการจัดทำหนังสือที่ระลึกงานศพ กับลูกชายของท่านอีก ด้วยการเที่ยวไปขอคำไว้อาลัยจากลูกศิษย์รุ่นต่าง ๆ ที่ท่านเคยสอนมา จนสำเร็จเรียบร้อย
นั่นเป็นความผูกพันระหว่างครูท่านนี้ กับคณะศิษย์ซึ่งมีผมรวมอยู่ด้วยเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๕๓๗ ซึ่งท่านมีอายุประมาณเก้าสิบสี่ปี
หลังจากนั้นตั้งแต่ท่านมีอายุครบร้อยปี พวกเราก็คิดทำบุญถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลให้แก่เพื่อนร่วมรุ่นที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว โดยมีชื่อคุณครูท่านนี้เป็นชื่อแรก และได้ทำมาเป็นประจำจนถึงปีนี้ ซึ่งผมคงจะได้ร่วมการกุศลนี้ต่อไป จนกว่าตนเองจะสิ้นชีวิต
ความจริงท่านเป็นครูประจำชั้นมัธยมต้นหลายปี สอนลูกศิษย์มาหลายรุ่น แต่ท่านรักและสนิทสนมกับกลุ่มของเราเป็นพิเศษ
ซึ่งน่าจะเป็นเพราะมีผม ซึ่งเป็นเสมือนลูกของท่านรวมอยู่ด้วยก็เป็นได้.
############
๑๖ มกราคม ๒๕๕๑
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
19 ม.ค. 51 06:54:00
]