เสียงเพลงอะคูสติกเบาๆ ในห้องอาหารกึ่งผับเล็กๆ ริมถนนพระอาทิตย์ ทำให้อารมณ์ของฉันปลอดโปร่งกว่าที่เคย เมื่อกวาดสายตาไล่ไปตามเมนูเล่มเล็กๆ เป็นสีส้มสด เข้ากับการตกแต่งภายในร้าน
"เอาแค่นี้ก่อนละกันครับ"
เสียงนั้นทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นจากเมนูในมือ ถามคนตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจนัก เมื่อเห็นเขาปิดเมนูอาหารลง พยักหน้าให้พนักงานเสิร์ฟ
"สั่งน้อยจัง แค่นี้จะอิ่มเหรอ"
"ค่อยๆ ละเลียดไง จะได้นั่งนานๆ" เขามีคำตอบที่ฉันคาดไม่ถึงเสมอ รอยยิ้มเรื่อยๆ ยังประดับอยู่ที่ริมฝีปากเมื่อเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นสบตากับฉันตรงๆ
"ไม่ได้เจอกันจังๆ อย่างนี้กี่ปีแล้ว"
ฉันหัวเราะกับวิธีพูดนั้น ตอบด้วยด้วยความรู้สึกสดใส
"พูดยังกับเจอผีแน่ะ เจอจังๆ"
"ก็จริงนี่นา เฉียดกันไปเฉียดกันมา จะเจอก็ไม่ได้เจอซะที เหมือนใครจงใจแกล้งอย่างนั้นแหละ"
"ใครจะมาแกล้ง" ฉันจงใจถอนหายใจยืดยาวให้เขาได้ยิน "นัชนั่นแหละ กี่ปีๆ ก็ไม่เห็นจะว่างซักที"
"ตัวเองก็ไม่ว่างเหมือนกันแหละน่า" เขาทำหูทวนลมกับเสียงถอนใจของฉัน "ตอนนัชไปเรียนที่ปักษ์ใต้ วามก็อยู่กรุงเทพ พอนัชกลับมาทำงานที่กรุงเทพ วามก็ไปอยู่เชียงใหม่"
"แล้วพอวามกลับมากรุงเทพ นัชก็ไปเมืองนอกซะอีก" ฉันต่อให้ "กลับมาเมืองไทยแต่ละทีก็หาตัวยากเย็น ติดต่อไม่เคยได้เลย"
"สรุปว่ากี่ปี" เขาคงคร้านจะเถียง จึงเสก้มลงจิบเครื่องดื่มสีสวยในแก้ว
"เก้า เกือบสิบ"
คราวนี้นัชห่อปาก พ่นลมหวือ
"ถ้าเป็นในนิยายละก็ ป่านนี้เราสองคนมีลูกกันไปคนละสองสามคนแล้วแหงๆ"
"เพิ่งรู้ว่านัชอ่านนิยายด้วย" ฉันขัดยิ้มๆ และนัชก็ยิ้มตอบอย่างกว้างขวาง
"ยังมีอะไรอีกเยอะที่วามจะได้รู้ นัชไม่เหมือนคนเดิมซะทีเดียวหรอก"
"วามก็ไม่ได้คิดว่าจะเหมือน"
อาหารจานแรกมาคั่นบทสนทนาระหว่างเราเอาไว้เสียก่อน ฉันจึงมีโอกาสได้พินิจดูคนตรงหน้าเงียบๆ เมื่อเขาก้มลงตักอาหารใส่ปากโดยไม่พูดไม่จา
อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากทัก
"นัชกินผักเก่งแล้วนี่ เมื่อก่อนเขี่ยทิ้งลูกเดียว"
คนถูกทักเงยหน้าขึ้นยิ้ม บอกเสียงหัวเราะทั้งที่ข้าวเต็มปาก
"จำได้ด้วย ความลับสุดยอดเลยนะเนี่ย เพื่อนๆ ตอนนี้ไม่มีใครรู้เลยว่านัชเกลียดผัก เพราะนัชพยายามฝืนกินๆ มันเข้าไป"
"ก็วามไม่ใช่เพื่อนตอนนี้ของนัชไง" คำพูดบ้าๆ นี้หลุดปากออกไปก่อนที่ฉันจะทันได้คิด
นัชเงียบไปนาน สีหน้าเรียบสนิทจนฉันนึกว่าเขาจะโกรธ แต่สุดท้ายเขาก็แค่ยักไหล่ ถามเรียบๆ
"ใครบอกล่ะว่าวามไม่ใช่"
"เรื่องแค่นี้ไม่ต้องมีใครบอกหรอก" ฉันพยายามทำเสียงให้ร่าเริงขึ้น แม้จะรู้ว่าทำได้ไม่ดีนัก
"วามโกรธอะไรนัชน่ะ" เสียงเขางุนงง
"บ้า โกรธอะไร อย่างนี้เรียกว่าแซว ไม่เก็ตเหรอ" ฉันตักข้าวเข้าปากบ้าง เพื่อจะได้ไม่ต้องพูด
นัชเปลี่ยนเรื่องได้ทันใจเหมือนกัน
"รู้มั้ย จริงๆ นัชอยากกลับมาอยู่เมืองไทยแล้วละ แต่ก็ยังติดหลายๆ อย่าง.." เขาทอดเสียงยาวอย่างที่รู้ว่าฉันจะต้องถาม
"เรื่องครอบครัว?" ฉันถามยิ้มๆ
"เฮ่ย ยังไม่ใช่ครอบครัว" ท่าทางนัชตกใจหน่อยๆ "ยังไม่ได้หมั้นกันด้วยซ้ำ แค่ดูๆ อยู่ อันนี้จริงๆ"
"แต่ก็อยู่ด้วยกันแล้วนี่.."
ฉันนึกโมโหตัวเอง ที่เถียงเขาอีกแล้ว แถมทำไมจะต้องทำเสียงเรียบจนเกือบจะเย็นชาอย่างนั้นด้วยก็ไม่รู้
นัชชำเลืองมองฉันแวบหนึ่งอย่างรู้ทัน แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
"เรื่องงานมากกว่า งานที่โน่นกำลังไปได้ดี ถ้าจะกลับมาเริ่มใหม่ก็ยังไม่รู้จะเริ่มตรงไหน"
"อืม" ฉันทำเสียงบางอย่างในลำคอเป็นเชิงว่ารับรู้ "ก็จริงนะ น้ำขึ้นต้องรีบตัก ตักตรงที่มันขึ้นแหละ จะเปลี่ยนที่ตักไปทำไม"
นัชยิ้มกว้างเป็นคำตอบ รอยยิ้มนั้นเจิดจ้าจนฉันตาพร่าไปแวบหนึ่ง เกือบจะไม่ได้ยินคำถามของเขา
"วามล่ะ ทำไมกลับมาอยู่กรุงเทพ ไหนว่าหลงรักเชียงใหม่ไปแล้วไง" นัชหลิ่วตาล้อๆ เมื่อเดา
"เรื่องครอบครัวเหมือนกันรึเปล่า"
ฉันอดหัวเราะไม่ได้ แม้ว่าความรู้สึกในใจจะไม่สดใสเหมือนทีแรก
"ก็ยังไม่ใช่ครอบครัวเหมือนกันละน่า ถึงจะหมั้นแล้วก็เถอะ" ฉันชูมือซ้ายให้เขาเห็นแหวนเพชรวงเล็กๆ ที่นิ้วนาง
"อ้าว" คราวนี้เสียงนัชตกใจจริงๆ "หมั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย"
"เร็วๆ นี้เอง" ฉันตอบสั้นๆ บอกไม่ถูกว่าทำไมจึงไม่อยากขยายความไปมากกว่านี้
"ต้องแสดงความยินดีกันหน่อยแล้ว" เขายกแก้วเครื่องดื่มของตัวเองขึ้น "แด่วาม กับ..ใครนะ ใช่คนที่เคยเล่าให้นัชฟังรึเปล่า"
"นัชไม่รู้จักหรอก" เสียงฉันเกือบจะหงุดหงิด
เวลาของฉันกับนัชไม่ควรจะถูกเบียดบังด้วยอะไรหรือใครทั้งสิ้น ไม่ว่าอะไรหรือใครคนนั้นจะเป็นคู่หมั้นของฉันเอง
ฉันคิดแล้วก็ตกใจ ที่พบว่า..ไม่ว่าจะหาคำแก้ตัวอย่างไร ความคิดที่เลวร้ายนั้น..มันยังคงเป็นความคิดของฉันจริงๆ..
ดูเหมือนนัชจะเข้าใจ หรือไม่ก็ไม่อยากจะทำให้ฉันหงุดหงิดไปมากกว่านั้น เขาจึงไม่เซ้าซี้เรื่องนี้อีก
"วามเจอเพื่อนเก่าๆ มั่งรึเปล่า นัชไม่ได้ติดต่อใครเลย ป่านนี้คงโดนแช่งน่าดู"
"แช่งจริงๆ แหละ รู้ได้ไง" ฉันฝืนตัวเองให้ยิ้มได้อีกครั้ง
นัชหัวเราะรื่นเริงโดยไม่ตอบ หากหยิบเมนูมาพลิกดูผ่านๆ
"สั่งอะไรเพิ่มมั้ย"
"อิ่มแล้ว" ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ทั้งที่ก็อยากจะนั่งอยู่กับนัชอย่างนี้นานๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลืนอะไรไม่ลงเอาเสียเลย
"งั้นนั่งเป็นเพื่อนหน่อยนะ" เขาหันไปสั่งอาหาร คล่องแคล่วและไม่มีความลังเล เหมือนที่เขาเคยเป็น
ฉันนั่งมองเขากินอาหารต่อไปอย่างนั้น โดยที่นัชก็ไม่มีทีท่าว่าจะตะขิดตะขวงใจที่นั่งกินเอาๆ ให้ฉันมองอยู่ฝ่ายเดียว เหมือนเขาเองก็รู้ว่าระหว่างเรา ช่องว่างที่เกิดขึ้นนั้นมันเกินคำว่าตะขิดตะขวงใจไปมากมายแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะเพียรพยายามเติมเต็มหรือปกปิดช่องว่างอันนั้น เพราะเราเองต่างก็รู้พอๆ กันว่า มันไม่เคยสำเร็จ
นัชคงทำได้ดีที่สุดแค่นี้เอง ฉันรู้ ที่เขามานั่งกินข้าวกับฉันในวันนี้จนได้ ก็ไม่ใช่เพราะความพยายามที่จะนัดเขาครั้งแล้วครั้งเล่าของฉันหรอกหรือ
ระยะเวลาหนึ่งปีที่เคยเรียนห้องเดียวกันสมัยมัธยมปลาย ไม่ได้ทำให้ฉันกับนัชสนิทกันเป็นพิเศษ พูดง่ายๆ ก็คือฉันยังสนิทกับเพื่อนผู้ชายอีกเกือบทั้งห้องมากกว่านัช
แต่ก็ฉันเองนั่นแหละ..ที่ห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกพิเศษกับนัชไม่ได้ ทั้งที่รู้ดีว่านัชไม่ได้รู้สึกอย่างเดียวกัน และฉันเองก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นอะไรมากไปกว่าความประทับใจของเด็กวัยรุ่น
คงเพราะฉันเห็นนัชเป็นคนแปลก ที่น่าค้นหาเสียเหลือเกิน ในเมื่อนัชเป็นเพื่อนที่ฉันไม่เคยเดาความรู้สึกของเขาได้เลยจริงๆ ไม่ว่านัชจะทำอะไร คิดอะไร ล้วนอยู่เหนือความคาดหมายของฉันเสมอ
ฉันจึงไม่เคยเข้าใจเลยว่า เมื่อเราสองคน -นัชและฉัน สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ในปีแรกเหมือนๆ กัน และตัดสินใจยอมเรียนพิเศษอีกปีเพื่อที่จะสอบให้ได้คณะที่ตัวเองต้องการเหมือนๆ กัน เวลาหนึ่งปีที่เราต่างมีอีกฝ่ายเป็นที่ปรึกษา เป็นที่ระบายความรู้สึกทั้งหลายนั้น จะทำให้เรากลายเป็นคนรักกันไปได้อย่างไร แต่มันก็เป็นไปแล้วจริงๆ..
ฉันไม่เคยเข้าใจ..
เหมือนที่ไม่เคยเข้าใจว่าเมื่อนัชจากไปเรียนในจังหวัดห่างไกล เหตุใดเขาจึงกลายเป็นคนแปลกหน้าของฉันไปในชั่วข้ามคืน ขณะที่สำหรับฉัน เขายังคงเป็นนัช เป็นคนเดิมที่ฉันเคยคิดถึงอยู่ทุกนาที..
แม้แต่ในวันนี้.. ในวันที่ฉันกับเขา กลายเป็นเพียงเพื่อนเก่าที่ห่างเหินกันไปแล้ว..
"นัชจะอยู่เมืองไทยอีกกี่วัน" ฉันถามเบาๆ เมื่อเราเดินอยู่ด้วยกันริมแม่น้ำเจ้าพระยา ภายใต้แสงนวลของพระจันทร์ข้างขึ้น และแสงสลัวของโคมไฟริมทางเดิน ลมกลางคืนที่โชยแผ่วๆ ทำให้บรรยากาศรอบตัวโปร่งสบาย จนความรู้สึกหนักๆ ในใจฉันดีขึ้นบ้าง
"คงอีกอาทิตย์นึง" นัชนั่งลงบนเขื่อนคอนกรีตริมน้ำ ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงฉันให้นั่งลงข้างเขา
"นั่งดูแม่น้ำกัน" เขาบอกเป็นเชิงสั่ง
"เดินดูก็ได้นี่" ฉันอดเถียงไม่ได้ เพราะแท้จริงคือไม่อยากนั่งอยู่กับเขาในระยะใกล้อย่างนี้นานนัก
นัชหัวเราะ ทั้งๆ ที่ฉันไม่เห็นจะมีอะไรน่าขัน
"ไม่เถียงซักเรื่องจะได้มั้ย" ประโยคนั้นทำให้ฉันเงียบกริบ
นานมาแล้ว ตั้งแต่นัชกลายเป็นคนแปลกหน้าของฉันได้ไม่กี่ปี จู่ๆ ค่ำวันหนึ่งของช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนของมหาวิทยาลัย ฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากเขา เสียงที่แล่นมาตามสายนั้นร่าเริง คล้ายกับคนพูดไม่รู้สึกผิดแปลกใดๆ ทั้งสิ้น ราวกับเวลาทั้งหมดที่ฉันพยายามติดต่อไป แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมาเลยนั้นเป็นเพียงความฝันเท่านั้นเอง
"นัชเพิ่งขึ้นมาจากปักษ์ใต้ วามอยู่บ้านมั้ย จะแวะไปหา"
ฉันจำได้ว่าต้องใช้เวลารวบรวมสติและข่มความรู้สึกอยู่นาน ไม่ให้ทั้งร้องไห้และกรีดร้องใส่เขาไปพร้อมๆ กัน
"วามกำลังจะไปหัวหิน" ฉันบอกทั้งที่ความจริงคือจะไปวันรุ่งขึ้น "จะออกจากบ้านแล้ว แค่นี้ก่อนนะ"
แล้วเมื่อฉันไปถึงชายหาดหัวหินในบ่ายวันต่อมา ก็ต้องตกใจ..แทบจะเรียกได้ว่าที่สุดในชีวิตอีกครั้ง เมื่อรถคันเล็กคันหนึ่งวิ่งมาจอดลงตรงหน้า ก่อนที่คนขับจะเปิดประตูออกมายิ้มกว้างขวาง
"ขับวนอยู่ตั้งนาน คิดว่าจะไม่เจอกันซะแล้ว"
นัชไม่ตอบคำถามของฉันว่าเขามาทำไม และมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ยังคงใช้วิธียิ้มและพูดจาเฉไฉไปมาอย่างที่เขาถนัด ฉันไม่อยากจะคิดว่าเขามารอฉันตั้งแต่เมื่อคืน แม้ว่าเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ มีกลิ่นบุหรี่กรุ่นของเขาจะฟ้องเช่นนั้น นัชทำราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินที่คนสองคน-ที่ไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน-จะสามารถมาเจอกันที่ริมหาดหัวหินได้อย่างง่ายๆ เช่นนี้
นัชชวนฉันเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ตามร่มเงาของต้นไม้ริมชายหาด และเมื่อตะวันคล้อยต่ำลง เขาก็ดึงมือฉันให้นั่งลงอย่างไม่มีพิธีรีตองอะไรบนพื้นทราย ไม่ต่างจากวันนี้
"เดินคุยกันก็ได้" ฉันแย้งเบาๆ ด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากจะนั่งอยู่กับเขาในระยะใกล้อย่างนี้นานนัก
"ไม่เถียงซักเรื่องจะได้มั้ย" ประโยคเดียวกับที่นัชใช้กับฉันในวันนี้นั่นเอง..
ฉันจำไม่ได้แล้วว่าในวันนั้นเราคุยอะไรกันบ้าง แต่เราก็นั่งอยู่ด้วยกันอย่างนั้นจนดึกดื่น ไม่หิว ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกอยากจะลุกจากตรงนั้นไป ฉันไม่ได้สนใจกลุ่มเพื่อนที่มาด้วย และดูนัชก็จะไม่ใส่ใจกับรถที่เขาจอดทิ้งไว้ริมหาดเช่นกัน
หากเมื่อเราสองคนลุกขึ้น เดินจากพื้นทรายที่ช่วยกันใช้ไม้ขีดเป็นรูปต่างๆ ไร้แก่นสารนั้นมา
และเมื่อคลื่นลูกเล็กๆ สาดซัดขึ้นมาลบร่องรอยที่เราเคยนั่งอยู่ด้วยกันนั้นจนหายไปหมด..
นัชก็กลายมาเป็นคนแปลกหน้าของฉันอีกครั้งหนึ่ง กระทั่งวันนี้..
จากคุณ :
โยษิตา
- [
31 ม.ค. 51 06:40:39
]