Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เรื่องสั้น : บนภูสูงในคืนเหงา

    บนยอดภูสูง อากาศเย็นยะเยือกจับขั้วใจ บนฟ้า ดวงดาวพราวแสงพร่างระยิบระยับตา จันทร์เสี้ยวเกี่ยวแขวนกิ่งฟ้า มองดูเหมือนอยู่ใกล้ฟ้าแค่เพียงนิดเดียว แต่พอลองเอื้อมมือออกไปกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ดาวบนฟ้าอยู่ไกลเกินกว่าจะคว้าลงมาได้

    ...ลมภูเขาพัดปะทะผิวกาย แจ๊คเก็ตที่สวมอยู่ไม่อาจทานความหนาวเย็นของอากาศยามนี้ได้ มือเล็กๆ ซุนฟืนเข้าไปในกองไฟ ความเงียบงันครอบคลุมไกลออกไปแสงไฟวอมแวม ได้ยินเสียงร้องเพลงและเสียงกีตาร์แว่วมาจากกลุ่มวัยรุ่น นึกในใจ เข้าป่าเพื่อหาความสงบและธรรมชาติของป่ายังอุตส่าห์หอบเอากีตาร์มาร้องรำทำเพลงให้เสียบรรยากาศ

    เจ้าของร่างบางนั่งกอดเข้าเกยคางไว้กับเข่าข้างหนึ่ง ดวงตาเหม่อลอย ความเหงาเข้าครอบคลุมทุกอณูใจ แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายในเมืองหลวงหรือท่ามกลางความว่างเปล่าบนภูสูงแห่งนี้ ความเหงายังเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ ไม่เคยเลยแม้สักครั้งที่ความเหงาจะห่างไกล แม้บางทีมีเพื่อนพ้องข้างกายหรือใครสักคนในใจ ความเหงาก็เพียงไปเที่ยวเล่นที่อื่น พักเดียวเท่านั้นเมื่อทุกคนจากไปบนหนทางของตัวเองความเหงาก็จะเข้ามาแทนที่ทันทีเหมือนในเวลานี้

    เสียงดังเหมือนใครแหวกกอหญ้าดังเข้ามาใกล้ หญิงสาวเพียงชำเลืองมองด้วยหางตาแล้วเอาสองมืออังไฟเรียกความอบอุ่น คนที่แหวกป่าหญ้าคาออกมานั่งลงตรงขอนไม้ตรงข้ามกับเธอ พลางถูมือไปมาแล้วเอามืออังไฟ หักกิ่งไม้โยนเข้าไปในกองไฟ

    “ไม่ไหว คืนนี้หนาวจริงๆ” เขาเปรยขึ้นโดยไม่หันมองหน้าเธอสักนิดแต่กลับล้วงลงไปในย่ามหยิบสิ่งหนึ่งโยนเข้าไปในกองไฟ มันเป็นนกตัวขนาดย่อมที่ตายแล้วและขนปีกที่กำลังไหม้ไฟกลิ่นฉุนจนหญิงสาวต้องเบือนหน้าหนีควัน

    “ขอโทษที กลิ่นมันแรงไปนิด หลบไปอยู่เหนือลมสิจะได้ไม่เหม็น” เขาออกคำสั่งฉอดๆ จนเธอต้องหลบออกมาให้ห่างแต่โดยดี

    “นึกยังไงปีนภูคนเดียว” เขาถามขึ้นลอยๆ จนเธอไม่รู้ว่าเขาพูดเฉยๆ หรือถามเธอ หญิงสาวชี้มือเข้าหาตัวเองแล้วเลิกคิ้ว สงสัย

    “ก็เรานั่นแหละ” เขาพูดขึ้นอีก

    “ทำไมรู้” เธอเพิ่งพูดเป็นประโยคแรก

    “เห็น” เขาตอบสั้นแล้วเขี่ยนกเผาไฟที่เหลือแต่ตัวกระดำกระด่างไร้แม้ขนเพียงสักเส้น พลางจัดแจงย่างนกตัวนั้น ไม่นานกลิ่นหอมฉุยของนกย่างก็โชยมาเข้าจมูก

    “ฆ่าสัตว์บนป่าสงวน ผิดกฎหมาย”

    “ไม่มีหลักฐาน เจ้าตัวนี้มันเซ่อ บินมาชนรังมดแดงเข้า จะรอดเหรอ” เธอทำตาโตราวกับเห็นอภินิหารอะไรสักอย่างเมื่อรู้ว่านกตัวนั้นถูกมดแดงกัดตาย เขาแบ่งนกย่างมาให้แล้วล้วงขวดเหล้าในย่ามมานั่งจิบไปด้วย

    “เอาหน่อยไหม” เธอส่ายหน้า

    “รังมดแดง รังเบ้อเร่อ ชนเข้าไปด๊าย” เขายังกล่าวโทษนกตัวที่เขาเคี้ยวหยับๆ อยู่ในปาก

    “นกมันคงตาไม่ค่อยดี อาจจะแก่แล้วเลยตาฝ้าฟาง” หญิงสาวผสมโรง

    “เออนะ ท่าจะจริง” แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปตั้งเต็นท์ไม่ห่างจากเธอนัก

    “นี่นาย ที่ออกกว้างทำไมเจาะจงตรงนี้ด้วย”

    “อุ่นดี” แล้วเขาก็ไม่ใส่ใจอะไรอีก

    “เฮ้ นั่งเฉยเลยมาช่วยกันหน่อยสิ” เขาร้องสั่งเหมือนรู้จักกันมาแรมปีทั้งๆ ที่เพิ่งนั่งก้นยังไม่ทันร้อน คุยกันหรือก็ยังไม่ทันถึงสิบคำด้วยซ้ำ

    “เออ รู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์บ้าง ไม่ใช่นั่งเหม่อถึงแฟนชาวบ้าน” คราวนี้เองที่เธอทำตาขวางและทิ้งสมอบกที่ถืออยู่ลงไปเฉยๆ แล้วเดินไปนั่งผิงไฟเสีย พลางบ่นอุบ ตานี่ปากไม่มีหูรูดเอาเสียเลย

    หลังจากที่เขากางเต็นท์เสร็จก็มานั่งแหมะลงตรงข้ามกับเธอ

    “ชื่ออะไร” เขาถาม

    “ถามทำไม” เธอย้อน

    “อ๊าว ถามชื่อเสียงเรียงนามเขาถามกันไปทำไมล่ะ เออ ประหลาดคน” เขายังมีหน้ามาว่าเธออีก

    “ทิม ทับทิม”

    “โบราณ” ร่ำๆ จะโยนท่อนฟืนใส่หน้าอยู่แล้ว ผู้ชายอะไรปากยังกับตะไกร

    ดวงดาวเต็มผืนฟ้า นานๆ ก้อนเมฆสีดำจะลอยปกคลุมเสียทีหนึ่งแล้วไม่นานนักก็ลอยห่างออกไป ยิ่งดึกอากาศก็ยิ่งเย็นจัดลง เสียงกีตาร์เงียบลงและแมลงกลางคืนแข่งขันกันส่งเสียง นานๆ จะได้ยินเสียงนกเค้าโมงร้องแว่วมา

    “ไปนอนไป” เขาออกคำสั่งหน้าตาเฉย และก็แปลกที่เธอเองก็ทำตามอย่างว่าง่าย เพียงล้มตัวลงนอนก็หลับสนิทเป็นตาย อาจจะเพราะความอ่อนเพลียจากการเดินขึ้นภูเมื่อกลางวัน

    “ตื่นได้แล้ว นอนเอาบ้านเอาเมืองหรือไง” ว่าแล้วก็ใช้กิ่งไม้ฟาดลงเต็นท์ของเธอ หญิงสาวงัวเงียออกมาจากเต็นท์ก็เห็นเขานั่งเสนอหน้าในชุดเตรียมพร้อมออกเดินทางอยู่หน้าเต็นท์

    “ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นกัน” ทิมดูนาฬิกาข้อมือ เพิ่งตีสี่

    “กว่าจะไปถึงก็หกโมงเช้าพอดี ไปเร็วล้างหน้าแปรงฟัน จะอาบน้ำเลยก็ได้นะ” ประโยคหลังนั่นดูเหมือนจะเป็นการประชดประชันเสียมากว่า อากาศปลายธันว์บนยอดภูสูง ใครอาบน้ำได้ก็เก่งล่ะ

    ไม่นานนักทั้งคู่ก็ออกเดินทางจากที่ทำการอุทยานไปยังจุดหมายคือผานกแอ่นเพื่อที่จะดูพระอาทิตย์ขึ้น ชายหนุ่มเดินนำหน้าซึ่งจนเดี๋ยวนี้เธอก็ยังไม่รู้จักชื่อเขาเลย

    “นี่ นี่รอด้วยสิจะรีบไปตอนหมูหรือยังไง” เธอกึ่งวิ่งกึ่งเดินให้ทันเขา

    “อ๊ะ รู้ได้ยังไงว่าเราเป็นหมอสัตว์ แล้วเราก็ไม่ได้ชื่อนี่ นี่ เลิกเรียกนี่ นี่ได้แล้ว ได้ยินทีไรใจสั่น นึกว่าเจ้าหนี้ตามมาถึงบนนี้”

    “ก็ไม่บอกชื่อ จะให้เรียกว่ายังไงล่ะ”

    “ภูวา ชื่อภูวา”

    “เรียกภูเฉยๆ ได้ไหม”

    “จะเรียกพงษ์ศักดิ์ก็ไม่ว่า”

    “ชื่อนายหรือ”

    “เปล่า ชื่อพระบิดา ที่มหา’ลัยเขาเรียกกันอย่างนี้ สะดุ้งไหวสะเทือนอกดีนักแล”

    “เอาบรรพบุรุษมาล้อเล่น ตกนรกไปสิบชาติ”

    จุดหมายเห็นอยู่ลิบๆ ฟ้าเริ่มแจ้ง ถ้าหากมาช้ากว่านี้เพียงไม่กี่นาทีบางทีอาจไม่มีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประเทศไทยก็ได้ สายหมอกลอยเอื่อยเหมือนขี้เกียจ ปกคลุมพื้นภูเหมือนเดินอยู่บนก้อนเมฆ เกล็ดน้ำค้างจับตามเส้นผม หน้าชาเพราะความเย็น เมื่อถึงผานกแอ่นทั้งคู่ถึงกับตะลึง

    “อุแม่เจ้า คนหรือนี่ แล้วมากันตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า เต็มพรืด” เขาอุทานเสียงดัง เสียงกดชัตเตอร์ แสงแฟลตดังแข่งกันเหมือนนางงามจักรวาลปรากฏโฉมเมื่อพระอาทิตย์เคลื่อนกายโผล่พ้นทิวไม้

    “ทิม ทางนี้” เขาดึงแขนเธอไปยังอีกมุมหนึ่งที่มองเห็นตะวันขึ้นชัดเจนโดยไม่ต้องเบียดเสียดกับคนอื่นให้เสี่ยงตกภูตาย เธอกดชัตเตอร์เอาบ้างขณะที่เขานั่งมองตะวันดวงกลมโตเคลื่อนกายช้าๆ

    “ไม่ถ่ายรูปหรือ” ทิมถาม

    “กล้องตัวไหนจะเก็บภาพได้คมชัดเท่าสมองกับสองตา” ว่าแล้วก็ใช้นิ้วชี้เคาะที่ขมับขวาของตัวเอง ไม่นานนักก็ออกเดินทางจากผานกแอ่น

    “ไปกินข้าวที่น้ำตกเพ็ญพบ” เขาวางโครงการแล้วนำทางเธอ ทับทิมเองยังงง นี่เธอกลายเป็นเพื่อนร่วมทางเขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เอาเถอะไหนๆ ก็ไหนๆ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าเดินคนเดียวแหละน่า ในตอนนี้เจ้าตัวความเหงาที่แสนจะซุกซนไม่รู้ว่าหลบลี้หนีหน้าหายไปไหน บางทีอาจจะไปอยู่เป็นเพื่อนคนเดียวดายสักคนก็เป็นได้

    “ทิม” เขาเรียกชื่อเธอ

    “มาคนเดียวไม่กลัวหรือ” เขาถามไถ่ ชวนพูดคุย

    “เกิดหนเดียวก็ตายหนเดียว” คงเป็นคำตอบที่เพียงพอสำหรับเขาเพราะหลังจากนั้นเขาก็ไม่ปริปากถามอะไรอีกเลย เราเดินถึงน้ำตกโผนพบ น้ำตกธารสวรรค์และถึงสระอโนดาดสระน้ำเล็กๆ กลางภูเขามีฝูงปลาตัวเล็กว่ายวน

    “อะเฮ้ย นี่สูงจากระดับน้ำทะเลถึงพันสองร้อยแปดสิบแปดเมตร มีปลาได้ไงเนี่ย” ว่าแล้วก็ใช้ไม้ยาวฟาดลงบนพื้นผิวน้ำ ทับทิมถึงกับส่ายหน้า นี่ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งจะจับฟาดให้ก้นลายคนอะไรซนอย่างกับลิงกลับชาติมาเกิด จากสระอโนดาดเราย้อนไปทางสระแก้วและผ่านลานพระพุทธเมตตาก่อนถึงที่พักในศูนย์บริการนักท่องเที่ยว

    “พรุ่งนี้เราเลียบริมผากัน” เขาวางโครงการ

    “มาบ่อยหรือ”

    “ไม่บ่อย ปีละสองหนปลายฝนกับต้นหนาว” เขาตอบเรื่อยๆ เหมือนเป็นเรื่องปรกติเสียเต็มประดาที่หอบสังขารขึ้นมาบนยอดภูสูงในแต่ละครั้ง เขาง่วนอยู่กับการก่อกองไฟและต้มน้ำด้วยหม้อสนามเพื่อชงกาแฟ ทับทิมมองเหม่อยังกองไฟ ถอนหายใจแช่มช้า

    “คิดถึงแฟนล่ะสิ ผู้หญิงนี่ไม่มีอะไรเลยหรือไงนอกจากคิดถึงแฟน” เขาพูดฉอดๆ อยู่คนเดียวโดยไม่มองสักนิดว่าทับทิมกำลังร้องไห้

    “ทิม” เขาเรียกชื่อเธอเบาๆ

    “ขอโทษนะ” ทับทิมซุกหน้าลงกับเข่า เช็ดน้ำตากับหัวเข่า เออหนอ น้ำตาเช็ดหัวเข่าที่โบราณว่าไว้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ความรักที่ไร้ขอบเขตและเหตุผลทำให้ทิมเป็นไปได้ถึงเพียงนี้

    “ภู ทำไมผู้ชายถึงชอบผู้หญิงหลายคนในเวลาเดียวกันได้ เขาไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือไงนะ” จะว่าเป็นคำถามหรือก็ไม่แน่ใจหรือจะเพียงเปรยขึ้นมาเฉยๆ ก็เหมือนจะต้องการคำตอบ ภูวายื่นถ้วยกาแฟให้เธอแล้วซุนฟืนเข้าไปในกองไฟอีก

    “ชอบผู้หญิงหลายคนในเวลาเดียวกัน ไม่ได้หมายความว่าเขารักทุกคนนี่ อย่างเรา เราก็ชอบผู้หญิงทีละหลายคนเหมือนกัน ผู้หญิงน่ารักน่าชอบออก อย่างทิมเราก็ชอบ”

    “เฮ้ย” ทับทิมสะดุ้ง เขาพาลเธอแล้ว

    “ฟังให้จบก่อนดิ่ วู้ ใจร้อน เราชอบทิมเพราะทิมกล้าหาญชาญชัยกว่าหญิงอื่น มาปีนภูคนเดียวโดยไม่ห่วงสวัสดิภาพของตัวเอง และยังยอมเดินร่วมทางกับชายหนุ่มรูปงามที่ทิมไม่เคยรู้จักมักจี่มาก่อน นี่ถ้าเป็นชายอื่นล่ะก็แม่ทับทิมเอ๋ย เธออาจจะไม่รอดไอ้ตะเข้กลัดมันบนภูนี่ก็ได้” ทับทิมยังเงียบเฉย

    “เป็นน้องเป็นนุ่งพ่อจะจับมัดกับเสาบ้านไม่ให้ไปไหนสักสามวันเจ็ดวัน”

    “พูดพอหรือยัง” ทับทิมเสียงดังจนเขาหุบปากสนิทไม่ปริปากพูดอะไรอีกเลยสักคำเดียว

    “ไม่โดดผานกแอ่นตายก็บุญแล้ว” เธอบ่นอุบอิบในลำคอ

    “ต๊าย ยัยโง่ ลองแม่โดดสิพ่อจะได้แช่งไม่ให้ได้ผุดได้เกิดเลยเทียว กะอีแค่อกหักแล้วจะตายเนี่ยสุดจะโง่เลยแม่คุณ อยากตายแล้วแถขึ้นมาทำไมถึงบนภู ยืนขวางถนนให้รถเหยียบตายมิง่ายกว่าเรอะ” แล้วท่อนฟืนก็ลอยปะทะกับหน้าผากอย่างแม่นยำ ชายหนุ่มเอามือกุมหน้าผากเลือดไหลหยดตามง่ามมือ

    “ตายละ หัวแตก” ทับทิมทำอะไรไม่ถูก

    “ผ้าสะอาดๆ ไปหามา” เขาตวาด ทับทิมตกใจรีบคว้าผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่ตากอยู่มาให้เขาปิดแผล

    “มียาในย่าม” เขาชี้มือเข้าไปในเต็นท์นอนของตัวเอง ทับทิมกุลีกุจอหายา จัดการทาให้เสร็จและปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ยา

    “อย่างนี้หรือเปล่าคนรักของเราถึงได้มีคนอื่น” ทับทิมเงียบ นิสัยใจร้อนวู่วามของเธอเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้พิสาระอา เขาอาจจะทนจนหมดความอดทนแล้วก็ได้ หรืออีกอย่างหนึ่งคือเขาไม่ได้รักเธอเลยแม้สักนิดเดียว ทับทิมเป็นเพียงหนึ่งในผู้หญิงหลายคนที่พิสาบอกว่า “เป็นคนรัก” เธอถอนหายใจ

    “ขอโทษนะทิมถ้ามันทำให้ทิมไม่สบายใจ เราแค่อยากให้ทิมคิดอะไรให้กว้างๆ ชีวิตคนเราเกิดหนเดียวตายหนเดียวก็จริงแต่ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ก็ควรทำตัวให้มีค่า ในโลกนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่ทิมยังไม่เคยพบเจอ ยังมีอีกตั้งมากมายหลายอย่างให้ค้นหาและเรียนรู้ ทำไมปล่อยให้ชีวิตจมอยู่กับเพียงบางสิ่งที่มันทำให้ทิมต้องเป็น ทุกข์ด้วยล่ะ” ภูวาพูดจบเขาเองยังงง เพิ่งรู้ว่าตัวเองพูดเข้าท่า

    “ไปนอนไป” คำพูดที่เขาเคยใช้กับเธอตอนนี้เธอยืมมาใช้บ้าง อย่างเด็กว่าง่าย ภูวาคลานเข้าเต็นท์เงียบเชียบ

    จากคุณ : ดาริกามณี - [ 31 ม.ค. 51 16:19:09 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom