Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ทำไมต้อง...รัก (ตอนที่ 2 โดย รัน วายุ)

    ทำไมต้อง...รัก
                              โดย รัน วายุ
                            .....................

    เช้าที่น่าเบื่อเริ่มขึ้นอีกวันแล้วสินะ ฉันพาร่างแบบบางของตัวเองในชุดนักศึกษาที่ถูกต้องตรงตามระเบียบมหาวิทยาลัยเดินไปตามซอยเล็ก ๆ มุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่ ผู้คนขวักไขว่มากหน้าหลายตาที่สัญจรไปมาอยู่ในซอยดูจะกลายเป็นภาพเจนตาสำหรับฉันไปซะแล้วล่ะ

    มีผู้คนมากมายเดินอยู่รอบ ๆ ตัวฉัน

    บ้างก็เดินไปทางเดียวกับฉัน

    บ้างก็เดินสวนทางกับฉัน

    แต่ไม่มีเลยสักคนที่จะเดินอยู่ข้างฉัน

    ฉันก็ได้แต่แอบบ่นอยู่ในใจคนเดียวแบบนี้ล่ะค่ะ ถึงอย่างไรซะฉันก็ต้องเดินให้ได้ไม่ว่าจะต้องเดินเพียงลำพังคนเดียวหรือจะมีใครซักคนมาเดินอยู่ข้าง ๆ ก็ตาม

    “พลั่กกกก.... “ ความคิดฟุ้งซ่านของฉันหยุดลงเมื่อใครคนหนึ่งที่มุ่งหน้าไปทางเดียวกับฉันวิ่งมาชนฉันเข้าโครมใหญ่ แถมยังทำให้หนังสือในมือของฉันและของเขาเองตกกระจายเกลื่อนพื้นอีกต่างหาก

    “ขอโทษจริง ๆ ครับ พอดีผมรีบน่ะ“ ชายในชุดนักศึกษาซึ่งบ่งบอกว่าเป็นนักศึกษามหาลัยเดียวกับฉันกล่าวขอโทษก่อนจะก้มลงเก็บหนังสืออย่างรุกลี้รุกลนและส่งให้ฉัน

    “ไม่เป็นไรค่ะ“ ฉันกล่าวตอบโดยอัตโนมัติและยืนมองเขาอย่างขำ ๆ เมื่อเห็นเขาวิ่งหน้าตั้งตรงไปยังป้ายรถเมล์ราวกับกลัวว่าป้ายรถเมล์จะหายไปไหนอย่างนั้นล่ะ


    “วันนี้มาแต่เช้าเลยนะแก“ เสียงที่ฉันคุ้นชินมาเกือบเจ็ดปีดังขึ้นจากด้านหลัง ใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อพอจะเดาได้ว่าเป็นเสียงของใคร ขาเรียว ๆ ของฉันค่อย ๆ หยุดอยู่กับที่ก่อนจะหันหลังไปทักทายเพื่อนสนิทคนนี้

    “แกก็มาแต่เช้าเลยนะ“ สายตาคมและมีเสน่ห์ของอิศว์จ้องตรงมาที่ฉันก่อนจะชวนคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อยจึงแยกย้ายกันเข้าห้องเรียนของตัวเองไป


    “บัว...มะรืนจะวันเกิดอิศว์แล้วนะ... แกว่าฉันจะให้อะไรเค้าดีนะ“ ชลิตาเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเผยให้เห็นลักยิ้มบุ๋มลงไปดูน่ามอง

    “แล้วอิศว์มันบ่นว่าอยากได้อะไรบ้างล่ะ“ คำตอบโง่ ๆ ที่ดูเหมือนไม่ได้คิดอะไรถูกตอบออกไปจากปากของฉันเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบว่ายังไงดี

    “ใช่สิ...อิศว์เค้าบ่นอยากได้ผ้าพันคอนี่นา งั้นฉันให้ผ้าพันคอเค้าดีกว่านะ“ ชลิตาเอ่ยออกมาอย่างยินดี ก่อนจะนั่งฝันหวานถึงแฟนหนุ่มสุดเพอร์เฟคของเธอต่ออย่างสุขใจ
    ผ้าพันคอเหรอ...รู้มั๊ยฉันนี่แหละคือผู้ที่มีฝีมือในการถักผ้าพันคอได้เก่งนักล่ะ แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่าในเมื่อเขาไม่ได้ยินดีที่จะรับมันจากฉันซะหน่อยนี่นะ


    ไหมพรมหลากสีในตู้เก็บของถูกรื้อออกมาวางเรียงรายอยู่บนเตียงหลังจากที่ถูกทิ้งร้างมานาน ฉันค่อย ๆ ไล่สายตาไปตามไหมพรมแต่ละสีจนเจอสีหนึ่งที่อิศว์ชอบและคาดว่าจะดูดีเมื่อได้พันอยู่รอบ ๆ คอเขา มือเรียวบางยื่นไปหยิบไหมพรมม้วนนั้นขึ้นมา รอยยิ้มผุดพรายไปทั่วใบหน้าเมื่อภาพในจินตนาการค่อย ๆ ลอยเด่นขึ้นมาอยู่ตรงหน้า
    ภาพผ้าพันคอผืนสวยซึ่งฉันเป็นคนถัก พันอยู่รอบคอของเขาในฤดูหนาว ริมฝีปากหยักได้รูปกำลังเผยอยิ้มอย่างยินดีเมื่อได้ของที่ถูกใจ

    มันคงจะดีกว่านี้สินะ ถ้ามันจะไม่เป็นแค่เพียง...จินตนาการ



    “หลงรักคนมีเจ้าของแอบมองอยู่ทุกวัน ไปหลงรักแฟนชาวบ้าน ทั้งที่รู้ตัว
    คนน่ารัก ถูกใจนัก ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย
    หลงรักคนมีเจ้าของ แอบมองอยู่เช้าเย็น เพราะรู้ว่าคงทำได้เพียงเท่านี้
    ได้พบเธอ ได้คิดถึง และนอนฝันดี“


    เสียงเพลงที่ฟังแล้วบาดอารมณ์ดังขึ้นอีกแล้ว มือที่กำลังพัลวันอยู่กับการถักผ้าพันคอของฉันหยุดลงชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเริ่มทนไม่ไหวเมื่อรู้สึกว่ามันดังขึ้นเรื่อย ๆ จนรบกวนโสตประสาท

    ก็ใช่ว่าเพลงจะไม่เพราะหรอกนะคะ...กลับกัน...มันเป็นเพลงที่ไพเราะและตรงใจจนเกินไปเสียต่างหากล่ะ จนเมื่อฟังทีไรก็ต้องรู้สึกอินไปกับมันและรู้สึกสงสารตัวเองเสียทุกที

    ใครกันนะ ที่บังอาจเปิดเพลงมาทิ่มแทงใจฉัน ความอยากรู้ทำให้ฉันก้าวตรงไปที่หน้าต่างภายในห้องนอนของตัวเองและชะเง้อมองไปยังบ้านหลังที่อยู่ติดกันซึ่งเป็นที่มาของเสียง แต่นอกจากห้องตรงข้ามที่เมื่อมองผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้าอยู่เข้าไปก็กลับเจอแต่ความว่างเปล่า และฉันก็มองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตใด ๆ เลยสักนิด
    ฉันกลับมานั่งลงที่เดิมและลงมือถักผ้าพันคออีกครั้งเมื่อคิดได้ว่าจะหาเจ้าของที่เปิดเพลงนี้ให้ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ในเมื่อยังไงฉันก็ไม่มีวันหนีพ้นความรู้สึกแบบในเพลงนี้ไปได้อยู่ดี


    “ในว่างค่ะ...ในว่าง“ เสียงตะโกนบอกของกระเป๋ารถเมล์ทำให้ฉันต้องเดินเข้าไปข้างในโดยอัตโนมัติและนั่งลงตรงเบาะหลังสุดซึ่งเหลือว่างแค่ที่เดียว รู้สึกเหมือนว่าตัวลีบเล็กลงไปอีกเมื่อต้องมานั่งเบียดเสียดกับคนที่ไม่รู้จักเลยสักคน

    “สวัสดีครับ“ เสียงของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กล่าวทักฉัน
    ที่แท้ก็นายคนที่วิ่งชนฉันวันนั้นน่ะเอง ฉันเองก็ไม่ได้สังเกตตั้งแต่แรกว่าตัวเองนั่งอยู่ข้างใครบ้างนอกจากทำใจนั่งเบียดเสียดอยู่บนรถที่ผู้คนอัดแน่นราวกับปลากระป๋องและภาวนาให้ถึงมหาลัยโดยเร็ว

    “สวัสดีค่ะ“ ฉันกล่าวตอบเขาและยิ้มให้ หลังจากที่ได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันอย่างคร่าว ๆ บทสัพเพเหระก็ตามมาจากปากของเขาไม่ขาดระยะ ทั้งเรื่องการเรียน ความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน จนฉันต้องแอบยกให้เขาเป็นนักพูดที่ฉกาจฉกรรจ์คนหนึ่งเลยเชียวล่ะ

    ศิขรินทร์ หรือนายศิข เป็นชื่อของเขา เพื่อนคนใหม่ที่คุยสนุกจนฉันเองก็ชักเพลินกับคารม มารู้ตัวอีกทีว่าถึงที่หมายก็เมื่อนักศึกษาหลายคนพยายามแทรกตัวกันออกจากรถอย่างรีบเร่ง ฉันกับศิขหันมาหัวเราะให้กันเมื่อต่างก็นั่งเม้าท์กันเพลินจนลืมมองป้าย ก่อนจะวิ่งตามคนอื่นลงไปเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวออก


    “บัว...ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ฉันไม่กล้าไปคนเดียวน่ะ“ ถ้อยคำเดิม ๆ ดังออกมาจากปากของชลิตาเช่นทุกวัน วันนี้ตาดูตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะเป็นวันเกิดของอิศว์...คนรักของตา

    ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าวันนี้เขาคงจะได้รับของขวัญจากสาว ๆ จนนับไม่ถ้วน แต่ของที่พิเศษและมีค่าที่สุดสำหรับเขาคงเป็นผ้าพันคอผืนสวยของชลิตาผืนนี้สินะ
    อดไม่ได้ที่จะนึกถึงผ้าพันคอของตัวเองที่นั่งถักจนหลังขดหลังแข็งมาตลอดสองวัน จนได้ออกมาเป็นผ้าพันคอลายสวยถูกใจ หลายครั้งที่อยากหยิบมันมาพับใส่ลงในกล่องใบสวยและผูกริบบิ้นสีหวานก่อนจะมอบให้เขาเป็นของขวัญวันเกิด

    แต่เขาจะต้องการของ ๆ คนที่เป็นแค่เพื่อนอย่างฉันงั้นเหรอ ในเมื่อเขาก็ได้รับมันอยู่แล้วจากคนพิเศษที่สุดของเขา คิดได้แบบนั้นฉันก็เลยวางมันลงที่เดิมและเก็บใส่ตู้ไว้ เผื่อวันหนึ่งวันใดฉันอาจจะได้มีโอกาสหยิบมันออกมาและมอบให้เขาสักครั้ง


    ชลิตากับฉันเดินตรงไปยังสนามบาสที่อิศว์มักจะใช้เวลาว่างทั้งหมดอยู่ที่นั่น อิศว์กำลังยืนคุยอยู่กับผู้หญิงกลุ่มหนึ่งด้วยท่าทางที่สนุกสนานร่าเริงและเป็นมิตรเหมือนทุกครั้งที่ฉันได้เห็น กล่องของขวัญสองสามกล่องอยู่ในมือของเขาซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นของขวัญวันเกิดสำหรับเขาที่สาว ๆ พวกนั้นมอบให้เป็นแน่

    ฉันแอบเห็นชลิตาอารมณ์หงุดหงิดเมื่อได้เห็นเขายืนหัวร่อต่อกระซิกกับสาว ๆ กลุ่มนั้น แน่นอนล่ะว่าชลิตาย่อมจะมีสิทธิ์หึงหวงและไม่พอใจ

    แล้วฉันล่ะ...มีสิทธิ์ใช้คำว่าหึงกับเค้าด้วยเหรอ ทำไมถึงได้รู้สึกแย่กับภาพตรงหน้าแบบนี้นะ

    ทำไมต้อง...รัก ด้วยนะ


    อิศว์หันหน้ามาทางที่ฉันกับชลิตายืนอยู่ ฉันเห็นสาว ๆ พวกนั้นโบกมือให้เขาก่อนจะเดินจากไป ส่วนเขาก็เดินเข้ามาหาตาด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า...ทำไมถึงเป็นยิ้มที่ดูดีแบบนี้นะ

    “ตุ๊บบบ... “ กล่องของขวัญที่ตาตั้งใจเอามาให้อิศว์ถูกเขวี้ยงลงไปกองตรงหน้าเขา ใบหน้าเรียวสวยของชลิตาบัดนี้เปลี่ยนเป็นหม่นเศร้าและบูดบึ้งจนน่ากลัว...แน่ล่ะ ว่าเขาเองก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อยซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับฉันเลยสักนิด

    ร่างสูงโปร่งค่อยยอบตัวลงและเอื้อมมือไปหยิบกล่องของขวัญของตาขึ้นมา รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของเขา ก่อนจะค่อยลุกเดินมาหาตาและจ้องดวงหน้าของตาที่ก้มต่ำและไม่ยอมมองใบหน้าที่คร้ามคมของเขาเลยแม้แต่น้อย

    “ขอบใจนะตา“ เสียงทุ้มนุ่มของเขาเอ่ยออกมาเบา ๆ ก่อนที่แขนสองข้างจะค่อย ๆ ยกขึ้นจับที่ไหล่ของ ชลิตาและดึงร่างอันแบบบางนั้นเข้าไปซบกับอกกว้างอย่างนุ่มนวล
    นี่สินะที่เรียกกันว่า...อกหัก...ความรู้สึกมันเป็นแบบนี้นี่เองนะ

    ฉันค่อย ๆ ถอยออกมาจากตรงนั้น...ไกล...และไกลพอที่จะไม่ต้องได้ยินหรือได้เห็นภาพบาดตาบาดใจนั่นอีก ก้อนแข็ง ๆ ที่จุกอยู่ที่คอหอยกำลังจะเอาชนะความเข้มแข็งที่ฉันพยายามสร้างมันขึ้นมา

    ทำไมนะ...ทั้งที่มีผู้คนมากมายอยู่บนโลกใบนี้ ทำไมฉันต้องไปเจาะจงรักคนที่เค้ามีเจ้าของแล้วด้วยนะ
    ทำไมต้อง...รัก


    “ใบบัว มาทำอะไรที่นี่น่ะ“ เสียงคุ้นหูปลุกฉันให้ตื่นมาพบกับโลกแห่งความเป็นจริง ศิขรินทร์น่ะเอง...นี่ฉันเดินใจลอยมาถึงคณะของศิขรินทร์เลยเหรอเนี่ย ฉันไม่รู้ตัวขนาดนี้เลยเหรอ

    “อ๋อ...ปะ...เปล่าหรอก ก็พอดีเดินผ่านมาน่ะ“ ฉันโกหกเขาไปทั้งที่ไม่อยากทำ แต่จะให้บอกน่ะเหรอว่ายัยใบบัวคนนี้กำลังอกหักจากแฟนคนอื่น...ฮึ...น่าสมเพชตัวเองชะมัด

    “ฉันจะกลับบ้านพอดี จะไปด้วยกันมั๊ย“ ศิขรินทร์บอกฉันยิ้ม ๆ ดูเขาช่างสดใสร่าเริงได้ตลอดเวลาจริง ๆ นะ

    “อืม...กลับสิ“ ฉันก้าวตามศิขรินทร์ขึ้นรถเมล์สายเดิม ๆ ที่นั่งอยู่ทุกวัน ใจลอยนึกไปถึงคนสองคนที่ฉันเพิ่งเดินจากมา...ป่านนี้พวกเขาจะทำอะไรกันอยู่นะ

    “บัว...ใบบัว“ ฉันรู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีมือหนา ๆ ลากฉันลงไปจากรถเมล์อย่างรีบเร่งก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

    “เธอไม่สบายเหรอ ทำไมดูหน้าเศร้า ๆ จัง“ ศิขรินทร์ปล่อยมือฉันเมื่อก้าวลงจากรถ นี่ฉันคงใจลอยมากไปแล้วสินะถึงได้ไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังนั่งรถเลยป้ายและไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเรียกของศิขรินทร์

    “ก็นิดหน่อยน่ะ“ ฉันยิ้มแก้เก้อก่อนจะเดินเข้าซอยไปพร้อมกับเขา เสียงคุยเจื้อยแจ้วของเขาที่ดังมาตลอดทางทำให้ฉันลืมภาพบาดตาบาดใจนั่นได้ชั่วขณะหนึ่ง ใจก็แอบนึกอิจฉาศิขรินทร์อยู่เหมือนกันที่ดูจะมีความสุขได้กับทุกเรื่อง ผู้ชายคนนี้ไม่มีความทุกข์ หรือความเศร้าเหมือนคนอื่นเค้าบ้างเลยรึไงนะ

    “บ้านนายอยู่ไหนเหรอศิข“ ฉันเอ่ยถามเขาเมื่อเห็นว่าเดินมาด้วยกันตั้งนานแต่ก็ยังไม่ถึงบ้านเขาสักที

    “ข้างหน้านั่นไง“ เขาชี้มือไปที่บ้านทรงสองชั้นหลังหนึ่ง...ใช่ล่ะ...มันทำให้ฉันประหลาดใจได้มากเลยที่เดียวล่ะ ที่แท้บ้านของศิขรินทร์ก็อยู่ติดกับบ้านฉันนี่เองนะ น่าแปลกที่ฉันไม่เคยเห็นเขาที่บ้านหลังนี้เลยสักครั้ง

    จากคุณ : noiiwaran - [ 3 ก.พ. 51 18:17:34 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom