ฤดูหนาวของญี่ปุ่นปีนี้ อบอุ่นกว่าทุกปีอย่างเห็นได้ชัด อุณหภูมิสูงจนผู้คนแทบจะรู้สึกว่าเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วด้วยซ้ำ ไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆ อากาศจะเย็นลงอย่างรวดเร็วจนเหลือต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียส และมีกระทั่งการพยากรณ์ว่า อาจจะมีหิมะตกเป็นครั้งแรกของปี ในค่ำคืนนี้
คืนวันที่สามสิบเอ็ดธันวาคม วันส่งท้ายปีเก่า บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความชื่นมื่นในงานเฉลิมฉลอง ทั้งเมืองนี้คงมีแต่ทิวคนเดียวที่ยังเดินโดดเดี่ยวอยู่จนเย็นย่ำ ในเมืองใหญ่ที่ใครๆ ก็ดูจะรวมตัวสนุกสนานกันอยู่เป็นกลุ่ม หรือไม่ก็เดินจับมือกับคนรักเงียบๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบตัว
ทิวไม่มีคนรัก และแน่นอนว่าไม่บ้านให้กลับ ในเมื่อถูกทางบริษัทส่งตัวมาทำงานอยู่ในแดนห่างไกลอย่างนี้ และวันหยุดปีใหม่ที่มีก็ไม่ยาวพอที่จะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ทั้งที่ใจจริง เขาเกลียดการอยู่คนเดียวในท่ามกลางงานรื่นเริงอย่างนี้ที่สุด
หลังจากกินอาหารเย็นที่ร้านเจ้าประจำ แวะไปยืนอ่านนิตยสารฆ่าเวลาที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ หอพัก จนหมดเรื่องที่น่าสนใจ ทิวก็เดินลากขาออกจากที่นั่นมาอย่างเหงาๆ นึกเหนื่อยเกินกว่าจะเดินขึ้นบันไดหอพักไปจนถึงชั้นสาม เพื่อจะเข้าไปซุกตัวอยู่ในห้องเล็กๆ ที่หนาวเหน็บและเงียบงัน จนบางครั้งทิวก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า ความเหงานั้นมีตัวตน และมันก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเขาไปแล้ว ในระยะสามปีที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมา
ทิวมองนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาเกือบห้าทุ่มอย่างหงุดหงิด อยากเร่งให้เวลานี้ผ่านไปเร็วๆ เพื่อที่ผู้คนจะได้กลับสู่ความเป็นปกติ กลับไปดำเนินชีวิตประจำวันกันเหมือนเดิม อย่างที่จะทำให้เขาเลิกรู้สึกแปลกแยกอย่างนี้เสียที
เสียงตะโกนขายของดังแว่วๆ มาจากถนนเส้นใหญ่เบื้องหน้า ทิวเพิ่งรู้ตัวว่าเดินใจลอยมาจนถึงศาลเจ้าประจำเมืองนี้เสียแล้ว นับว่าไกลจากหอพักพอดู แสงไฟจากโคมกระดาษที่ประดับประดาริมทางเดิน เสียงพูดคุย ควันไฟ และกลิ่นอาหารง่ายๆ จากแผงลอยที่มักเปิดขายในงานวัดตลบอบอวล ทำให้ทิวรู้สึกดีขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็ดีกว่าจะต้องกลับไปนอนหนาวอยู่คนเดียว ในคืนที่ท้องฟ้าดูจะเงียบเหงาอย่างไม่เป็นใจกับบรรยากาศงานเฉลิมฉลองเลยสักนิด
ไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคลก็ดีเหมือนกัน ทิวรู้จักประเพณีไหว้พระในวันขึ้นปีใหม่ ที่เรียกกันว่า "ฮัตสึโมเดะ" ดี เพราะเพื่อนร่วมงานที่มีหน้าที่ดูแลเขาเมื่อมาถึงใหม่ๆ ได้พาเขามาทำพิธีนี้แล้วตั้งแต่ปีแรก แม้ว่าคิวที่ยาวออกมาจนถึงปากทางเข้าจะทำให้นึกท้ออยู่บ้าง แต่ทิวก็เดินเข้าไปต่อแถวโดยดีอย่างไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านั้น
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อโค้ทสั่นติดๆ กัน เป็นมารยาทของคนที่นี่ที่จะไม่เปิดเสียงโทรศัพท์ ถ้าอยู่ในที่สาธารณะ ทิวอ่านคำอวยพรอย่างเป็นพิธีรีตองที่เพื่อนร่วมงานส่งมาทางอีเมลเพียงผ่านๆ ก่อนจะพิมพ์ตอบไปอย่างสุภาพและเป็นพิธีรีตองพอๆ กัน ทั้งที่มีประเพณีส่งส.ค.ส. ที่ต้องทำอย่างเคร่งครัดอยู่แล้ว แต่ใครๆ จะก็ดูจะนิยมส่งอีเมลอวยพรตอนเที่ยงคืนกันทั้งนั้น
ชีวิตที่นี่ก็เป็นอย่างนี้ ทำอะไรก็ทำตามๆ กันอย่างเป็นระเบียบแบบแผน ดูคนร่วมพันที่มายืนต่อแถวกันทั้งๆ ที่อากาศหนาวดับจิตอย่างนี้ก็ได้ ไหนจะระเบียบปฏิบัติอีกมายมายในสังคม ที่หากว่าใครไม่ทำ ก็จะกลายเป็นคนแปลกประหลาด ถูกคนรอบตัวหลีกเลี่ยงที่จะคบหา
แน่นอนว่าเขาเอง ในเมื่อเกลียดการเป็นคนแปลกแยกในสังคม ทิวจึงต้องทำทุกอย่าง อย่างที่ทุกคนต้องทำ เพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้ได้อย่างแนบเนียนและราบรื่นที่สุด
เมื่อเก็บมือถือลงกระเป๋า ศอกเขาไปกระทบกับใครคนหนึ่งที่ยืนห่างไปเล็กน้อย ทิวหันไปพึมพำขอโทษ ก่อนที่ร่างนั้นจะถูกผู้คนที่อัดแน่นกันอยู่เบื้องหลัง เบียดเข้ามาจนชิดตัวเขา ทิวจึงได้เห็นหน้าฝ่ายนั้นชัดๆ
สวย ! เป็นคำแรกที่ทิวนึกออก เมื่อสายตากระทบกับดวงหน้าที่ตกแต่งไว้อย่างประณีต ด้วยโทนสีน้ำตาลอ่อนเหลือบประกายทอง รับกับผมสีน้ำตาลทอง ยาวรุ่ยราย ม้วนเป็นลอนอย่างเก๋ ดวงตาและขนตาดำจัด แรเงาด้วยไฮไลท์สีทองยะยิบที่เปลือกตา ริมฝีปากฉ่ำเป็นสีนู้ด เรียบเนียนเป็นธรรมชาติ ตรงตามสมัยนิยม
ช่วยไม่ได้เลยที่สายตาเขาจะมองต่ำลงไปที่ชุดเดรสไหมพรมสีม่วงสด ที่นอกจากจะคอลึกจนเกินไปสักหน่อย ยังสั้นจนน่าหวาดเสียว ที่คอห้อยสร้อยสีทองหลายเส้นรุงรัง เข้ากันดีกับเสื้อแจ็คเก็ตบุนวมขนเป็ดสีดำ ตัวสั้นแค่เอว กับร้องเท้าบู๊ตส้นสูงสีดำเป็นมัน สูงจนเลยเข่า เผยให้เห็นขาอ่อนเพรียวงามจนเกือบถึงต้นขา มีเพียงถุงน่องสีเนื้อบางใสปกคลุม
เหมือนหลุดออกมาจากหนังสือแฟชั่น ทิวนึกต่อไปในใจ แล้วก็นึกอะไรไม่ออกอีก เมื่อเสียงใส เริงรื่น เอ่ยกับเขาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
"คราวนี้ฉันต้องขอโทษคุณมั่งละ"
"ไม่เป็นไรครับ" เขาตอบโดยอัตโนมัติ สายตาเหลือบมองคนที่น่าจะควงคู่มากับเธอโดยอัตโนมัติเช่นกัน สวยอย่างนี้ แฟชั่นจ๋าอย่างนี้ คงไม่มาเดินอยู่คนเดียวในคืนปีใหม่อย่างนี้แน่ ดีไม่ดีแฟนเจ้าหล่อนอาจจะเขม่นเอาได้ ถ้าเห็นเขาหัวร่อต่อกระซิกกับเจ้าหล่อนเกินงาม
แล้วก็แปลกใจที่พบว่าฝ่ายนั้นยืนเฉยอยู่คนเดียว โดยไม่มีทีท่าว่าจะหันไปเกาะแขนแฟนหนุ่ม หรือเขยิบห่างไปจากเขาอย่างที่ควรจะเป็น
"มาคนเดียวหรือครับ" ทิวถามงงๆ
"ฮื่อ" เธอกลับตอบง่ายๆ เหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาด "คุณก็เหมือนกันสินะ"
"ครับ"
ทิวนึกอยากเขกหัวตัวเองแรงๆ เมื่อต้องปล่อยให้บทสนทนาจบลงแค่นั้น โดยไม่รู้ว่าจะคุยต่อว่าอะไรดี
"คุณไม่ใช่คนญี่ปุ่นใช่ล่ะสิ" จู่ๆ เธอก็ถาม หลังจากเงียบกันไปนาน แถวข้างหน้ายังคงไม่ขยับ เขาและเธอจึงต้องยืนแนบชิดกันอยู่อย่างนั้น ภายใต้ท้องฟ้าสีส้มอมเทา เสียงจ้อกแจ้กรอบตัว และกลิ่นควันไฟจากเพิงขายอาหารที่ฟุ้งตลบ
ทิวพยักหน้า ไม่แปลกใจอะไรในเมื่อทั้งบุคลิกและสำเนียงภาษาที่แปลกแปร่งของเขาคงฟ้องชัด
"ผู้ชายญี่ปุ่นน่ะ ไม่ค่อยจะมาเดินอยู่คนเดียวในคืนปีใหม่หรอก" เธอกลับว่าอย่างนั้น
"เหรอครับ" นี่เป็นความรู้ใหม่ ทิวจำไม่ได้แล้วว่าเพื่อนที่บริษัทเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังหรือไม่
"จริงๆ แล้วผู้หญิงก็ด้วย" เธอหัวเราะ "ทุกคนแหละ ใครจะอยากมาคนเดียว เหงาจะตายไป"
"แล้วคุณทำไมมาคนเดียว" ทิวเริ่มรู้สึกเป็นกันเองขึ้น
"ก็เหมือนคุณละมั้ง" เธอเหลือบมองเขา "ถ้ามีคนที่จะมาด้วย เราสองคนก็ไม่ต้องมาคนเดียว"
"คนที่จะมาด้วย" ทิวทวนคำ ก่อนจะถอนใจ ตอบด้วยน้ำเสียงที่แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่ามันเศร้าสร้อย เหน็ดเหนื่อย และเปล่าดายเสียจริง
"ก็จริง ผมไม่มีใครให้ชวนมาได้เลยซักคน ว่าแต่คุณเถอะ.." เขามองเธออย่างเกรงใจนิดๆ
"อย่างคุณไม่น่าจะต้องอยู่คนเดียวเลยนี่"
วูบหนึ่งที่ทิวคิดว่าเธอโกรธ คิ้วสีน้ำตาลเข้มได้รูปนั้นเลิกสูงเป็นเชิงถาม แต่น้ำเสียงเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนเมื่อถามว่า
"อย่างฉันนี่ เป็นยังไง"
"ก็.." ทิวเลือกหาคำอย่างยากลำบาก เพื่อไม่ให้คนฟังตีความไปในทางลบ "สวยมากๆ น่าจะมีเพื่อนเยอะๆ มีกิจกรรมเยอะๆ ไงล่ะ"
"แปลง่ายๆ ว่าเป็นเด็กเที่ยว ควรจะนั่งดริงก์อยู่ในบาร์ที่ไหนสักที่ ใช่ไหม" เธอยักไหล่กับความพยายามของเขา "พูดมาเถอะ ฉันรู้เหมือนกันละว่าใครๆ มองฉันยังไง แต่มันก็ไม่สำคัญอะไรนี่"
ทิวอึกอัก อยากจะบอกว่าเขาไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย แม้ว่าลึกๆ ใช่..ส่วนลึกที่สุด เขาก็รู้สึกแบบนั้นอยู่หน่อยๆ เพราะรูปลักษณ์ที่แสนเปรี้ยวนั้น
ราวกับเสียงระฆังหมดยกมาช่วยเขาไว้ได้ทันเวลา เมื่อมีเสียงประกาศว่าอีกหนึ่งนาทีจะถึงเวลาเที่ยงคืน และเริ่มมีการนับถอยหลัง จนเมื่อเสียงนับสิ้นสุดลงที่เลข 1 ประโยคสวัสดีปีใหม่ทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษก็เซ็งแซ่ตามมา ทิวก้มศีรษะให้อีกฝ่ายเท่าที่ที่แคบๆ นั้นจะอำนวย
"สวัสดีปีใหม่ครับ"
เธอยิ้ม แต่ทิวไม่ได้ยินคำตอบของเธอเสียแล้ว เมื่อแถวด้านหน้าเริ่มเคลื่อนที่เพราะเริ่มมีพิธีไหว้ ครู่เดียวเธอก็ถูกคลื่นมนุษย์เบียดจนหายไปจากข้างกายเขา
ทิวมาได้ยินเสียงใสๆ นั้นอีกครั้งเมื่อไหว้พระเสร็จ และกำลังจะหันหลังเดินไปตามทางเดินที่ทอดยาวไปถึงทางออกอีกทาง
"กินอะไรกันก่อนมั้ย" เธอถามสั้นๆ บุ้ยบ้ายไปทางเต๊นท์ขายอาหารที่เรียงราย
"ดีเหมือนกัน" ทิวตอบง่ายๆ เช่นกัน
เธอเลือกยากิโซบะ ขณะที่ทิวเลือกไส้กรอกเสียบไม้ชิ้นใหญ่ เขาหยอดเหรียญตู้เครื่องดื่มอัตโนมัติ กดกาแฟร้อนสำหรับตัวเองและอีกฝ่ายคนละกระป๋อง และเมื่อเขาและเธอนั่งเดินมาลงที่มุมหนึ่งของบันไดทางเข้าสถานีรถไฟ ปุยขาวๆ ของหิมะก็โปรยปรายลงมา เคราะห์ดีที่ยังมีกันสาดกว้างของหลังคาสถานีช่วยป้องกันไว้ ละอองหิมะจึงไม่อาจทำความลำบากให้มากไปกว่าลมหนาวที่เริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ท่าทางฝ่ายนั้นไม่ได้รู้สึกรู้สมที่นั่งอย่างหมิ่นเหม่อยู่บนขั้นบันไดที่ยังมีผู้คนเดินผ่านไปมา เนื่องจากคืนนี้มีรถไฟวิ่งตลอดคืน
"ไม่หนาวเหรอ"
ทิวเริ่มชินกับคำถามห้วนๆ ของเธอ เขาเหลือบมองชุดชวนหวาดเสียวของอีกฝ่ายแวบหนึ่ง
"ผมน่าจะถามคุณมากกว่า"
"ฉันเหรอ? หนาวสิ" เธอคีบเส้นโซบะใส่ปาก ตอบตรงจนทิวนึกทึ่ง "แต่อยากสวยนี่ ก็ต้องทน"
"ผมนับถือนะ คนที่ยอมทนกับอะไรสักอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ" ทิวบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคำชมของเขาจริงใจหรือไม่
"ใครๆ ก็ต้องทนเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการทั้งนั้น รึคุณไม่ใช่" เธอทำท่าประหลาดใจ
"ผมไม่ได้ทนอะไรสักหน่อย"
"งั้นทำไมต้องออกมาไหว้พระกลางดึกอย่างนี้ด้วย"
"ใครๆ ก็ทำ มันเป็นประเพณี" ทิวไม่เคยคิดว่าเขาจะต้องมานั่งอธิบายวัตรปฏิบัตินี้ให้เจ้าของประเทศฟัง
"ที่คุณทำตามประเพณี คุณก็กำลังอดทนแล้ว ไม่รู้เหรอ" เธอปิดกล่องยากิโซบะที่เพิ่งกินไปเพียงครึ่งเดียว ควักบุหรี่ขึ้นมา แถมยังอุตส่าห์ยื่นให้เขาก่อนตามมารยาท
"ผมไม่สูบ"
เธอเลิกคิ้ว หากก็ไม่ได้เซ้าซี้มากไปกว่านั้น หันไปจุดบุหรี่ให้ตัวเอง พ่นควันอ้อยอิ่งอย่างสบายอารมณ์ ถามเอื่อยๆ
"แปลกจัง ฉันนึกว่าคุณเป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไปซะอีก"
"ใช่ ผมเป็น ทำไมล่ะ" ทิวเลิกคิ้วบ้าง
"ซาลารี่แมนที่ไหนไม่สูบบุหรี่" เธอถามราวกับเป็นสิ่งแปลกประหลาด
"ผมเคยสูบ แต่เลิกแล้ว มันไม่ดีกับสุขภาพ เปลืองเงินด้วย"
"นั่นไง คุณกำลังทน" เสียงเธอมีชัย "จริงๆ คุณก็ชอบสูบเหมือนฉันแหละ แต่คุณต้องทน เพราะเหตุผลอะไรๆ ที่คุณสร้างขึ้นมา"
"ผมไม่ได้สร้างสักหน่อย แต่มันไม่มีประโยชน์ คนที่สูบต่างหากที่ไม่มีเหตุผล" ทิวชักรู้สึกฉิวๆ ขึ้นมาบ้าง เขาเพิ่งรู้ว่าผู้หญิงสวยๆ ก็คิดอะไรห่ามๆ เป็นเหมือนกัน อย่างน้อยก็เจ้าหล่อนตรงหน้านี่แหละคนนึง
"คนที่ทำอะไรเพราะชอบ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอก แค่ชอบอย่างเดียวก็พอแล้ว" คนพูดห่อปาก พ่นควันเป็นวงกลม
ทิวเงียบ นึกคร้านจะต่อล้อต่อเถียงให้เสียบรรยากาศเปล่าๆ
"เวลาว่างคุณทำอะไร" เธอถามเอื่อยๆ ขึ้นมาอีก ทิวเห็นดวงหน้านั้นไม่ชัดนัก จนนึกรำคาญควันหนาทึบที่ลอยวนรอบศีรษะอีกฝ่ายขึ้นมาหน่อยๆ
เมื่อเห็นทิวเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เธอก็ขยายความสั้นๆ ทำริมฝีปากเหยียดๆ อย่างที่เขาไม่ชอบเอาเสียเลย
"ฉันแค่อยากรู้น่ะว่า วันๆ คุณต้องทนอะไรอีกบ้าง"
ทิวชักรู้สึกว่า คนสวยๆ ก็อาจดูไม่สวยได้เมื่อมีคำพูดที่ไม่เข้าหูคน แต่ก็ข่มใจตอบ
"เล่นเกม เล่นเน็ต ดูทีวี ผมไม่ได้ทนอะไรนี่"
"โอทะคุจัง ไม่เบื่อเหรอ" เธอว่าเอาตรงๆ หมายถึงพวกที่ชอบเก็บตัว บ้าคลั่งกับอะไรสักอย่าง ไม่สังคมกับใคร เป็นสถานะทางสังคมที่ผู้ชาย-ซึ่งนับตัวเองเป็นคนปกติทั่วไป-ไม่อยากได้ยินใครเรียกที่สุด
"ผมคิดว่าคำนี้ในภาษาของคุณ มันแรงมากเสียอีก" ทิวข่มใจถามหลังจากอึ้งไปอึดใจใหญ่
"ก็แรงน่ะสิ" บุหรี่เกือบหมดมวนแล้ว คนสูบขยี้มันลงกับพื้นปูนอย่างง่ายๆ "แค่ทำงานบริษัทเฉยๆ ฉันว่ามันก็เก็บกดพอแล้วนะ งานอดิเรกคุณยังจะเก็บกดอีก เหมือนอยู่ไปวันๆ ไม่มีความฝันหรือ ความหวังอะไรกับชีวิตบ้างรึไง"
(มีต่อค่ะ)
แก้ไขเมื่อ 05 ก.พ. 51 07:03:17
จากคุณ :
โยษิตา
- [
5 ก.พ. 51 06:39:41
]