ฉากชีวิต
เพื่อนเก่า(อีก)คนหนึ่งของผม
เจียวต้าย
เมื่อผมเอาเรื่องสั้น สวรรค์ยังปรานี (ซึ่งเคยวางในถนนนักเขียน เมื่อ ๑๓ พ.ย.๔๙) ไปวางให้เพื่อนอ่านในห้องไร้สังกัด ก็มีผู้อ่านให้ความเห็นหลายท่าน แต่มีท่านหนึ่งสะกิดให้ผม
นึกถึงความหลังเมื่อ ๕๐ ปีก่อนได้
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่ไปนั่งดื่มเบียร์ผสมโซดาคนเดียว ที่ร้านอ้วนผอมโภชนา ใกล้สี่แยกบางขุนพรหม
ผมมานั่งที่ร้านนี้ ในสมัยที่ยังไม่มีสะพานพระรามแปดพาดผ่าน ที่ริมแม่น้ำมีร้านอาหารชื่อดัง ที่ผมไม่เคยนั่ง ผมชอบร้านนี้ มากกว่า เพราะเป็นแฟนกันมาตั้งแต่เถ้าแก่ยังเป็นลูกจ้างอยู่ที่ร้านข้าวต้มในตรอกบุศยพรรณ เดี๋ยวนี้เป็นซอยสามเสน ๒
ร้านเก่านั้นเป็นร้านข้าวต้มโต้รุ่ง ชื่ออะไรจำไม่ได้ แต่เราเรียกกันในหมู่เพื่อนฝูงว่า สมายลิ่ง เพราะเจ้าของร้านมีอัธยาศัยดี หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ผมเรียกเขาซึ่งเป็นลูกจ้างในร้านว่าไอ้ผอม เพราะเขามีอายุน้อยกว่าผมและเป็นเด็ก รับใช้ทุกอย่าง
ต่อมาเขาเลื่อนขึ้นเป็นคนปรุงอาหารหน้าร้านที่เรียกกันว่า หน้าเขียง สับเป็ดไก่ เอาอาหารสดใส่จานให้เด็กเดินโต๊ะรับไปส่งพ่อครัวไปผัดไปต้มหลังร้าน แล้วจึงยกมาเสริฟลูกค้า
นายผอมอยู่ร้านข้าวต้มนี้หลายสิบปี แล้วจึงเติบโตมาตั้งร้านของตนเองที่บางขุนพรหม ชื่อร้านข้าวต้มอ้วนผอม แต่ไม่มีใครอ้วนสักคน เห็นแต่มีน้องชายน้องสาวเป็นผู้ช่วยในร้าน
น้องสาวของเขาหน้าดี ค่อนไปทางสวย อย่างดาราเดี๋ยวนี้ที่มีนิยามว่า ขาว สวย หมวย...แต่ขอโทษ.....ไม่อึ๋ม ชื่อก็ไพเราะ... เธอชื่อ....ยู้
ผมนึกถึงเหตุการณ์เกือบร้ายแรงครั้งหนึ่ง เมื่อสมัยที่ใกล้เคียงกับยุคนักศึกษาเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมเคยเล่าไว้แล้วในเรื่อง เพื่อนรัก (ซึ่งได้นำมาวางในถนนนักเขียน เมื่อ ๑๑ พ.ค.๔๘) ว่า
คราวหนึ่งราตรียังเยาว์ คือยังไม่เลยสองยาม เรา(คือผมกับเพื่อน)นั่งกันอยู่ที่ร้านแถวบางขุนพรหม ซึ่งเจ้าของร้านรู้จักกันมาตั้งแต่ยังเป็นลูกจ้าง ประจำหน้าเขียงอยู่ที่ร้านอื่น จนเจริญเติบโตมาเป็นเถ้าแก่เอง เรานั่งโต๊ะด้านในสุดชิดผนัง คุยกันไปได้ไม่นานนักโต๊ะที่อยู่บนทางเท้าริมถนน นั่งกันอยู่สามคน ก็ลุกออกจากโต๊ะ โดยเถ้าแก่เห็นว่ายังไม่ได้คิดเงิน จึงให้ลูกน้องเดินเข้าไปเตือน
แต่พูดกันอีท่าไรไม่ทราบเพราะไม่ได้คอยจ้องดู เกิดพะบู๊กันขึ้น แต่ไม่ยักใช่หนึ่งต่อสาม กลับเป็นห้าต่อสาม เพราะลูกน้องเถ้าแก่วิ่งจากหลังร้านออกมาช่วยกันอีกสี่คน ฟาดกันจนโต๊ะเก้าอี้ถ้วยชามล้มระเนระนาด ลูกค้าที่อยู่ในร้านอีกสองสามโต๊ะเลยถือโอกาสหลบลูกหลง ออกจากร้านไปหมด เหลือแต่เราสองคน
เมื่อเหตุการณ์สงบแล้ว นายผอมก็มาคุยเล่ารายละเอียดให้ฟัง ผมก็เลยกะจะสั่งต่อมาดับความตื่นเต้นอีกสักแบน แต่เพื่อนบอกว่าพอเถอะ เฉ่งเงินแล้วรีบไปเสียจากที่นี่ ไม่งั้นอาจโดนลูกเกลี้ยงหรือขรุขระก็ได้ เพราะสมัยนั้นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เกลื่อนกรุงไปหมด ทั้งขวาพิฆาตซ้าย และซ้ายทลายขวา
เมื่อผมเลิกกินเหล้ามากินเบียร์เติมโซดาแล้ว ก็ไปนั่งที่ร้านนี้ไม่บ่อยครั้งนัก เพราะหากินแถวใกล้ที่ทำงานไม่นั่งยืดยาวเหมือนสมัยนั้น จนกระทั่งไปเห็นชื่อร้านอ้วนผอมโภชนา อีกครั้งที่แถวถนนติวานนท์ จึงได้ทราบว่าหลานของนายผอมมาเปิดสาขาอยู่ ตัวนายผอมเองมาดูแลบ้าง โดยไม่ได้อยู่ประจำ แต่ยังไม่ได้ไปแวะไปคุยด้วย
ต่อมาจึงได้ข่าวว่าเขาเสียชีวิต ก็เสียใจด้วยเพราะถือว่าเป็นเพื่อนเก่าในยามยากคนหนึ่งของผม
ต่อมาอีกไม่นานนักผมเข้าไปนั่งในร้านข้ามต้ม ตรงข้ามร้านสรรพสินค้าใหญ่โตของคนไทย ที่มีชื่อห้างเป็นจีน ริมถนนสิรินธร จึงได้ทราบข่าวกรองว่า นายผอมเสียชีวิตด้วยอาการอันพิสดารพอใช้ คือเขาเป็นโรคหัวใจอยู่ วันหนึ่งเขาขับรถเก๋งส่วนตัวจากบางขุนพรหม ไปที่ร้านถนนติวานนท์ พอจะจอดหน้าร้านก็ถูรถอีกคันหนึ่งชนท้ายอย่างแรง เขาจึงลงไปพบคู่กรณี ที่ยอมรับผิดแล้วจะชดใช้ค่าเสียหายให้ทุกประการ
เขาจึงกลับไปนั่งที่คนขับในรถของเขา เพื่อจะโทรศัพท์บอกบริษัทประกันภัยให้มาดำเนินการ แล้วเขาก็ไม่ได้กลับลงจากรถมาอีกเลย
เพราะระบบการหายใจล้มเหลว อันเนื่องมาจากโรคประจำตัวของเขานั่นเอง
ผมได้รับคำบอกเล่าเรื่องนี้จากปากเถ้าแก่เนี้ย ของร้านข้าวต้มร้านใหม่นี้ เพราะเธอเป็นน้องสาวคนสวยของนายผอมเอง
ใช่แล้ว......ยู้...นั่นเอง เธอดูเหมือนจะ ขาวสวยหมวย...อึ๋ม...กว่าเก่ามาก แม้จะมีลูกหญิงที่โตเป็นสาวแล้ว เพราะเธอเป็นภรรยาเจ้าของร้าน ซึ่งเป็นน้องชายของร้านข้าวต้มชื่อดังย่านถนนพระรามหกริมคลองประปา ที่ผมรู้จักดีอีกร้านหนึ่ง
และที่ดีใจมากคือเธอยังจำผมได้ดี ให้การต้อนรับอย่างที่เรียกว่าอบอุ่น ข้อที่ดีมากขึ้นก็คือ
เธอยอมให้ผมแปะค่าข้าวต้มด้วยน่ะซี้.
##############
แก้ไขเมื่อ 08 ก.พ. 51 17:22:18
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
7 ก.พ. 51 18:55:04
]