ทุกตรุษจีนจะต้องหยิบนวนิยายเรื่องนี้ขึ้นมาอ่าน
เพื่อทบทวนความรู้สึกและมุมมองใหม่ๆที่ซ่อนอยู่ในตัวอักขร
ทราบว่า ระยะหลังได้กลายเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของเด็กนักเรียน
ก็ดีใจที่บทประพันธ์ดีๆยังมีที่ยืนอยู่ได้ท่ามกลางนิยายชิงรักหักสวาท
โบตั๋น (คุณสุภา ลือศิริ)
เขียนนวนิยายเรื่องนี้จากเรื่องราวของลูกคนจีน ตันส่วงอู๋
ที่อพยพหนีความแร้นแค้นจากแผ่นดินจีน(น่าจะเป็นซัวเถา)มาอยู่เมืองไทย
เป็นตำนานการก่อร่างสร้างตัวของคนจีนในแบบฉบับที่รู้เรื่องราวกันมา
เริ่มต้นด้วยเป็นกุลีใช้แรงงาน ทำทุกอย่างที่ขวางหน้า
เลื่อนขั้นเป็นลูกจ้าง ได้รับความไว้วางใจมากขึ้นเป็นหลงจู๊
แล้วในที่สุดก็เขยิบความมานะเป็นเถ้าแก่
ตันส่วงอู๋ อาจจะไม่ใช่เป็นเถ้าแก่ใหญ่โต มีธุรกิจเป็นร้อยๆล้าน
แต่ก็ภูมิใจในร้านขายขนมจันอับของตัวเองที่ใครๆรู้จัก
ด้วยความขยัน หมั่นเพียร อดออม ประหยัด
ตันส่วงอู๋จึงเป็นแบบอย่างของคนจีนที่ประสบความสำเร็จในวิถีชีวิตระดับหนึ่ง
สมัยก่อนประมาณปี 2500 เป็นต้นมา ยุคที่สังคมไทยกลัวภัยคอมมิวนิสต์
ทางการไทยเฝ้าระวังเรื่องการติดต่อสื่อสารระหว่าง 2 แผ่นดิน
เพราะเกรงว่าจะเป็นการส่องสุมกำลังเพื่อก่อการมิดีมิร้าย
ประกอบกับขบวนการอั้งยี่ก็ยังมีอิทธิพลพอสมควร
จดหมายติดต่อจากไทยไปจีนหรือ จีนมาไทย
จะถูกตรวจตราเข้มงวดมาก
ผู้เขียนเรื่องคือ โบตั๋น
จึงอาศัยบริบททางสังคมขณะนั้นมาผูกเป็นวิธีการเล่าเรื่อง
โดยสมมติตัวบุคคลขึ้นมาแบบ บุคคลาธิษฐาน อย่าง ตันส่วงอู๋
สร้างให้ผู้อ่านเข้าใจไปว่า มีตัวตนจริง
เป็นคนเขียนจดหมายกว่าร้อยฉบับ นับสิบๆปี
แต่ไม่เคยได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายเลย
จดหมายนับร้อยๆฉบับที่ตันส่วงอู๋เขียนจากแผ่นดินไทยถึงมารดาที่ยังอยู่เมืองจีน
บอกเล่าเก้าสิบถึงชีวิตความเป็นอยู่ มุมมอง ทัศนะคติต่างๆจากสายตาของคนๆหนึ่ง
แน่ล่ะ อาจจะไม่ใช่ภาพจริงทั้งหมด
แต่ผู้อ่านก็สามารถอนุมานจินตนาการตามถึงช่วงหนึ่ง
ของประวัติศาสตร์การค้าขายในกลุ่มพ่อค้าคนจีนรุ่นแรกๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชุมชนชาวจีนแถวสำเพ็ง เยาวราช
ระบบการค้าขายที่อาศัย ก่ำเช็ง ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน
การสร้างสายสัมพันธ์ในกลุ่มชนหมู่เดียวกันเพื่อพยายามรักษาเลือดจีนไว้
อย่างไรก็ตาม ในฐานะปุถุชนก็อดไม่ได้ที่จะต้องมีอคติ และความผิดพลาด
ตันส่วงอู๋ก็เหมือนคนจีนรุ่นแรกทั่วไป
ที่ยังยึดถือขนมธรรมเนียม ค่านิยมแบบเก่าๆ
อันส่งผลให้เกิดความไม่ลงรอย ช่องว่างระหว่างลูกๆ
ตามความเชื่อของตน ลูกๆคือทรัพย์สมบัติของพ่อแม่
จะเป็นจะอยู่อย่างไรพ่อ แม่เป็นคนตัดสินใจให้
ตันส่วงอู๋ คาดหวังให้ลูกชายคนเดียวสืบทอดกิจการโรงงานทำขนม
บังคับให้ลูกชายออกจากโรงเรียนมาเป็นลูกมือทำขนมในร้าน
แล้วให้เรียนบัญชีต่อตอนค่ำ ลูกชายเลยดีแตกตอนหลัง
หรือลูกสาวคนเล็กที่เขาไม่อินังขังขอบ
เพราะเป็นต้นเหตุให้ภรรยาไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก
แถมเธอยังมีลักษณะกบฎเล็กๆอยู่เนืองๆ
เช่น จะขอเรียนหนังสือให้สูงที่สุดเท่าที่สติปัญญาจะให้ ( ผิดธรรมเนียมนิยมของผู้หญิงจีน)
หรือดื้อแต่งงานกับคนไทย ซึ่งตันส่วงอู๋ไม่นิยมชมชอบนิสัยของผู้ชายไทยทั่วไป
แต่ในที่สุดลูกสาวคนเล็กกลับเป็นคนที่เขาสามารถพึ่งพิงด้านความคิดได้มากที่สุด
อ่าน "จดหมายจากเมืองไทย" แล้วรับรู้วิถีชีวิตพ่อค้าแบบเถ้าแก่กิจการเล็กๆ ที่เริ่มต้นเล็กๆ มั่นคง
ผิดกับ ลอดลายมังกร เรื่องราวของตระกูลเจ้าสัวที่แผ่กิ่งก้านกิจการไปทั่วทุกแขนง
ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งของสมาชิกใหญ่ในครัวเรือน
หยิบ จดหมายจากเมืองไทย มาอ่านทุกครั้งตอนตรุษจีน
ได้ความรู้สึกของการกลับไปมองรากเหง้าตัวเอง
ละเมียดพอๆกับอ่าน Joy Luck Club เลยทีเดียว
ปล. จดหมายจากเมืองไทย เป็นนวนิยายที่ได้รับรางวัล สปอ. สมัยนั้น
เทียบเท่ากับซีไร้ตเดี๋ยวนี้กระมัง
เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของ"โบตั๋น"เลยก็ว่าได้
มีการแปล ถ่ายทอดเป็นภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่น แล้ว
อ่าน "สี่แผ่นดิน" จบ มาอ่าน "จดหมายจากเมืองไทย"
เหมือนถูกกระชากและโยนความคิดกลับไปมาระหว่าง 2 สังคมเลยทีเดียว
แต่ท้ายสุด...
นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า ความหลากหลายของสังคมและก็อยู่ร่วมกัน(น่าจะ)ได้
นี่แหละคือเสน่ห์ของสังคมไทย
จากคุณ :
กูรูขอบสนาม
- [
15 ก.พ. 51 07:50:01
]