รถสปอร์ตสีดำคันเล็กจอดลงใต้จามจุรีใหญ่สองต้น ที่ขึ้นอยู่ชิดกันจนน่าประหลาดใจ ริมถนนลาดยางที่ทอดยาว หากเมื่อเป็นยามบ่ายจัด ถนนเส้นนั้นจึงแทบไม่มีผู้คนสัญจรไปมา นานๆ จึงจะมีรถโดยสารประจำทางสีส้มวิ่งเอื่อยๆ ผ่านมาสักคันหนึ่ง
หญิงสาวผู้เป็นคนขับยังคงนั่งอยู่หลังพวงมาลัย เนิ่นนานกระทั่งรู้สึกถึงความร้อนที่ทวีขึ้นเพราะเครื่องปรับอากาศหยุดทำงานนั่นแหละ เจ้าตัวจึงถอนใจยาว ก่อนจะเปิดประตูรถ ก้าวลงมาอย่างเหม่อลอย
ทุ่งหญ้ารกเรื้อ เป็นสีเขียวแกมน้ำตาลเย็นตา กว้างสุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้า กับสายลมร้อนๆ ยามบ่ายที่โชยแผ่ว ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมากนัก แพรวเดินอ้อมไปอีกฝั่งของต้นไม้ใหญ่ เข้าสู่เงาร่มครึ้มที่พ้นจากละไอแดดภายนอก นึกเหนื่อยเกินกว่าจะกลับไปขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัย เพื่อขับรถไปตามถนนสายยาวไกลที่เหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุดเช่นนี้
มันคืองาน..เธอต้องกลับไปทำงานพรุ่งนี้.. หลังจากที่ลามาแล้วถึงหนึ่งสัปดาห์..แพรวหมุนกุญแจรถในมือเล่นอย่างใจลอย เธอเองก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่า เมื่อเหตุใดเมื่อมีวันว่าง ไม่ว่าจะเป็นช่วงลาหยุดหรืออะไรก็ตาม เธอจึงจะต้องขับรถเป็นระยะทางร่วมสามร้อยกิโลเมตรจากกรุงเทพ เพื่อกลับมาอำเภอเล็กๆ ที่มีแต่ทุ่งหญ้าและทิวเขาแห่งนี้อยู่ร่ำไป
ทั้งที่.. เขาคนนั้นก็ได้จากไปแล้ว.. จากไปยังที่ที่เธอไม่อาจติดตามไปด้วยได้อย่างเคย..
แพรวรู้และยอมรับมันได้ดี หากก็นั่นแหละ..ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานนัก แต่ถึงอย่างไรท้องทุ่งและสายลมของที่นี่ ก็ยังคงให้ความรู้สึกอบอุ่นและชิดเชื้อ ไม่ต่างจากอ้อมกอดของเขาเสมอมา..
เธอนั่งลงบนพื้นดินที่ปูด้วยใบและกิ่งจามจุรีแห้งๆ มีเกสรสีชมพูอ่อนละเอียดกระจายเกลื่อน มองดูสายลมอุ่นๆ พัดเอาทุ่งหญ้าพลิ้วเป็นระลอกคลื่น เริงร่าและงดงามจนแพรวเผลอมองเพลินอย่างดื่มด่ำอยู่อย่างนั้น กระทั่งไม่ได้ยินเสียงกรอบแกรบของกิ่งไม้แห้งข้างตัว
"รถพี่เหรอครับ" เสียงเบาแกมขลาดเสียงหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ
แพรวหันขวับไปมองอย่างตกใจ ก่อนที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อพบว่าร่างที่ยืนห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวเป็นเด็กชายวัยไม่เกินสิบสามปี ตัวผอมสูง แขนขายาวเก้งก้าง ยืนจูงจักรยานคันเล็ก รอยยิ้มซื่อๆ แกมประจบนั้นทำให้แพรวอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ
"ใช่จ้ะ"
"สวยจังครับ" เจ้าตัวยังหันกลับไปมองอีกครั้งอย่างติดใจ "ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย พี่ไม่ใช่คนแถวนี้ใช่มั้ย"
"จ้ะ พี่มาเที่ยวน่ะ" แพรวยิ้มให้อย่างเอ็นดู "น้องอยู่แถวนี้เหรอ"
"ครับ บ้านอยู่ตรงริมคลองโน้นแน่ะ" เด็กชายชี้นิ้วไปในทางตรงข้ามกับท้องทุ่ง วางจักรยานตะแคงลงกับพื้น ก่อนจะก้าวเข้ามานั่งลงใกล้ๆ เธอ ท่าทางคงเป็นเด็กกล้าและช่างพูดอยู่ไม่น้อย "ผมเพิ่งย้ายมา แถวนี้ไม่มีเพื่อนเล่นเลยครับ เหงาน่าดู"
น้ำเสียงและสีหน้าสีตาคนพูด ฟ้องว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ จนแพรวนึกสงสาร
"แล้ววันนี้ไม่ไปโรงเรียนเหรอ" เธอถามเพราะเห็นอีกฝ่ายอยู่ในเครื่องแบบนักเรียน แถมขณะนั้นยังเป็นเวลาบ่ายสามโมงของวันจันทร์
คนถูกถามหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง ก่อนจะมองซ้ายมองขวา ทำเสียงกระซิบกระซาบอย่างเห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญ
"พี่อย่าไปบอกใครนะ ผมโดดแค่วิชาเดียวเอง ก็มันน่าเบื่อนี่ ผมไม่ได้ขี้เกียจนะ.."
"จ้ะ รับรองไม่บอก" แพรวกลั้นยิ้ม "โดดวิชาอะไรล่ะ"
"เลขครับ" เจ้าตัวย่นจมูก เบ้ปากอย่างคงจะเบื่อหน่ายเอาจริงๆ "ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องมานั่งเรียนอะไรยากๆ แบบนี้ด้วย เวลาไปซื้อข้าวกิน ไม่เห็นจะต้องใช้ตรีโกณมิติซะหน่อย"
แพรวหัวเราะเบาๆ นึกถึงตัวเองในวัยเยาว์อย่างบอกไม่ถูก ถ้อยคำเหล่านี้ ก็คือคำพูดที่เด็กทุกยุคทุกสมัยเคยบ่นแก่กันมาแล้ว ยามที่ต้องทนเรียนอะไรที่ตัวเองไม่ชอบนั่นแหละ..
"ตอนเด็กๆ พี่ก็ชอบโดดเหมือนกัน เลขเนี่ยประจำเลย" เธอบอกยิ้มๆ "ว่าแต่โดดมาทำอะไรที่นี่"
"วาดรูปครับ" คนข้างตัวเธอควักเอาสมุดวาดเขียนเล่มเล็กๆ สีฟ้าขึ้นมาจากเป้ใบโตที่สะพายไหล่เอาไว้ "ผมชอบวาดรูปทุ่งหญ้า เวลาโดนลมพัด มันเป็นคลื่นสวยดี เหมือนมีชีวิตเลย"
"ขอพี่ดูบ้างสิ" แพรวนึกถึงตัวเองเมื่อครู่นี้อย่างขันๆ..นี่เราก็โดดงานมานั่งมองท้องทุ่งเหมือนเด็กคนนี้เลยสินะ..
"ผมยังวาดไม่ค่อยเก่ง พี่อย่าหัวเราะนะ" คนพูดยื่นสมุดเล่มบางมาให้อย่างอายๆ แต่รอยยิ้มพรายในดวงตานั้นบอกชัดว่าเจ้าตัวก็มั่นใจในฝีมือตัวเองไม่น้อยเหมือนกัน
"สวยดีออก" แพรวอุทานเมื่อเห็นรูปสเก็ตช์หยาบๆ ด้วยดินสอดำบ้าง ปากกาบ้าง หากส่วนใหญ่เป็นภาพสีน้ำที่จัดว่าฝีมือเข้าขั้นหลายต่อหลายรูป ล้วนเป็นรูปเงาของทุ่งหญ้ากว้างยามต้องลม ที่แม้จะต่างวาระเวลา หากก็พลิ้วไหวเริงร่าราวกับมีชีวิต อย่างที่คนวาดอธิบายจริงๆ เสียด้วย
รูปแล้วรูปเล่า แพรวพลิกดูจนหมดเล่ม จึงส่งคืนให้เจ้าของที่นั่งมองตาไม่กะพริบอย่างคาดหวัง
"สวยจัง วาดเก่งกว่าพี่เยอะเลย" แพรวชมอย่างจริงใจ "ไปเรียนมาจากไหนจ๊ะ"
"ไม่เคยเรียนเลยครับ" เจ้าตัวตอบเขินๆ ทั้งที่ยิ้มหน้าบาน "แต่ที่บ้านมีรูปสีน้ำแบบนี้เต็มไปหมด ผมเลยอยากลองวาดบ้าง"
แพรวประหลาดใจขึ้นมานิดหนึ่ง ภาพสีน้ำเต็มไปหมด..ในบ้านชนบทที่ห่างไกลอย่างนี้ละหรือ..?
"คนที่พี่เคย..เอ้อ..รู้จัก.. ก็ชอบวาดรูปสีน้ำ" คราวนี้เสียงเธอสะดุด แพรวเพ่งมองเด็กชายที่หันไปก้มหน้าก้มตาค้นอะไรในเป้ง่วนอยู่อย่างใส่ใจขึ้นเล็กน้อย
ดวงหน้าใส เป็นสีน้ำตาลอ่อนอย่างเด็กชายที่ชอบใช้ชีวิตกลางแจ้งนั้นคุ้นตาเธออย่างประหลาด โดยเฉพาะสันจมูกโด่งคม กับคิ้วเข้มได้รูปสวย เหนือดวงตาสีเหล็กในหน่วยตากว้าง ล้อมรอบด้วยขนตายาวราวกับผู้หญิงนั้น ทำให้หัวใจเธอวาบลึกอย่างอธิบายไม่ถูก
"น้องชื่ออะไรจ๊ะ" แพรวถามเสียงเบา จนเกือบจะแน่ใจว่าฝ่ายนั้นจะไม่ได้ยินเสียด้วยซ้ำ
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นจากย่ามในมือ มีดินสอถ่านที่ใช้ร่างภาพติดมือขึ้นมาด้วย สีหน้าแสดงว่าได้ยินคำถามชัดเจนดี
"ตรองครับ" เสียงใสตอบ
นาทีนั้น แพรวรู้สึกว่าใจเต้นแรงขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ ใช่..เธอควบคุมตัวเองไม่อยู่จริงๆ เมื่อหลุดปากถาม
"แล้วรู้จักคนชื่อ..ตฤณ..มั้ย"
"ชื่ออะไรนะครับ แปลกๆ" ดวงหน้าใสมีรอยงุนงง "สะกดยังไงครับ"
แพรวใช้มือข้างหนึ่งกดตรงตำแหน่งหัวใจเอาไว้ เพื่อไม่ให้มันเต้นแรงจนโลดออกมาข้างนอกเสียก่อน ก่อนจะรับสมุดและดินสอที่ฝ่ายนั้นส่งให้ เพื่อเขียนชื่อหนึ่ง..ชื่อเดียวที่อยู่ในความทรงจำของเธอมาแสนนาน..ลงไปด้วยมือที่ไม่มั่นคงนัก
เด็กชายมองตัวอักษรที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษ ดวงตาคู่สวยไม่แสดงอาการรู้จักหรืออื่นใด นอกจากความงงงวย
"ไม่เคยได้ยินเลยครับ แต่เพราะดีนะ"
"พ่อ..เอ้อ..คุณพ่อตรองชื่อนี้หรือเปล่า.." อีกครั้งที่แพรวต้องใช้ความพยายามที่จะถาม ทั้งที่เป็นเพียงประโยคง่ายๆ
"ไม่ทราบครับ" ดวงหน้าใสสลดลง "ผมอยู่กับแม่ เกิดมาก็ไม่เจอพ่อแล้ว แม่ไม่ให้ถามถึงพ่อครับ"
"แล้ว..คุณแม่ตรอง..เอ้อ.. ชื่ออะไรจ๊ะ" แพรวถามอย่างเลื่อนลอย และเด็กชายก็ทำท่าสงสัยขึ้นมาบ้าง
"ชื่อกิ่งครับ พี่รู้จักแม่ผมเหรอ"
"เปล่าๆ" แพรวลูบหน้าอย่างอ่อนล้า นี่เธอจะมานั่งซักไซ้ไล่เลียงเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วยทำไมกันนะ เธอยังหวังอะไรอยู่อีก ยังหวังว่าเขา..คนที่เธอเป็นคนลอยเถ้ากระดูกส่วนหนึ่งลงในแม่น้ำสายเล็กๆ ในตัวอำเภอแห่งนี้เมื่อสามปีมาแล้ว..จะยังคงมีส่วนหนึ่งอยู่ในตัวเด็กชายคนนี้น่ะหรือ..
ไม่มีทาง..เขาไม่มีทางเป็นอย่างนั้น ไม่มีทางทำอย่างนั้น..
เด็กชายตรงหน้าโตเกินกว่าจะเป็นบุตรชายของเขาได้ ใช่..เธอต้องเชื่อเช่นนั้น เพราะมิฉะนั้น..ความจริงจะกลายเป็นว่า เขาให้กำเนิดเลือดเนื้อเชื้อไขคนนี้ ก่อนที่จะเขาจะได้พบเธอ. และน่าจะก่อนที่เขาจะเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาเสียอีก !
"ตรองอายุเท่าไหร่แล้วจ๊ะ" คราวนี้แพรวควบคุมเสียงตัวเองให้เป็นปกติจนได้ บอกตัวเองให้เลิกคิดฟุ้งซ่านในสิ่งไร้สาระเสียที
"สิบสองครับ" เจ้าตัวทำท่าสงสัยมากขึ้นอีก "พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ หน้าซีดๆ"
"เอ้อ..เปล่าจ้ะ ไม่เป็นไร" แพรวฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย "ขอโทษที่ถามอะไรแปลกๆ อย่าถือพี่เลยนะ"
เด็กชายยังคงมองมาอย่างไม่เชื่อถือ แพรวจึงต้องพยายามยิ้มให้ดูแจ่มใสขึ้น ปรับน้ำเสียงและสีหน้าให้รื่นเริงดังเดิม
"ตรองวาดรูปสิ พี่ไม่กวนแล้วละ" เธอขยับจะลุก
"พี่จะกลับแล้วเหรอ" เสียงอีกฝ่ายมีรอยผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง "นึกว่าจะนั่งดูลมพัดยอดหญ้าด้วยกันก่อน"
"เดี๋ยวตรองไม่มีสมาธิ" เธอบอกยิ้มๆ "พี่นั่งชวนคุยอยู่อย่างนี้ เดี๋ยววาดไม่สวย"
"โธ่พี่ เรื่องเล็ก" ฝ่ายนั้นกลับยักคิ้วแผล็บ "มีคนอยู่ด้วยสิ วาดสวยกว่า ไม่เหงาดี"
"เอ้า ก็ได้" แพรวใจอ่อน "งั้นพี่จะพยายามนั่งเงียบๆ ละกัน เอาแบบไม่เหงาแต่ไม่หนวกหูด้วย ดีมั้ย"
เด็กชายยิ้มจนตาหยี ท่าทางผ่อนคลายเป็นกันเองยิ่งกว่าทีแรก
"งั้นเดี๋ยวผมวาดรูปให้พี่รูปนึงดีป่าว"
"ให้จริงอ่ะ"
"จริงสิครับ อ้าว.." คำท้ายเป็นเสียงอุทาน และเมื่อเธอเลิกคิ้วยิ้มๆ ฝ่ายนั้นก็บอกอ่อยๆ
"กระดาษเหลืออยู่แผ่นเดียวเองครับ ที่ผมให้พี่เขียนชื่อให้ดูเมื่อกี๊น่ะ ผมลบได้ป่าว" เสียงถามมีแววเกรงใจ
"ได้สิ" แพรวยิ้มอย่างเอ็นดู แม้ว่าในใจจะวอบวาบ
"เอางี้" ท่าทางเจ้าตัวจะเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกเธออยู่ไม่น้อย แม้ว่าจะลงมือลบจนกระดาษแผ่นนั้นกลับไปขาวสะอาดดังเดิมแล้ว "พี่เขียนไว้ที่ปกสมุดนี่อีกทีนะ แล้วผมจะเอาไปถามแม่ให้ เผื่อแม่รู้จัก"
"อย่า.." แพรวหลุดปาก แล้วก็ชะงัก "เอ้อ..หมายถึง ไม่เป็นไรจ้ะ มันไม่ได้สำคัญอะไร"
ไม่ว่าเด็กชายตรงหน้า..จะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับตฤนหรือไม่..แต่ในเมื่อตฤนไม่เคยบอก เธอก็ไม่ควรจะเข้าไปก้าวก่ายในเรื่องของเขามิใช่หรือ..
"จริงอ่ะ" ฝ่ายนั้นเลียนแบบวิธีถามของเธอบ้าง และเมื่อเห็นเธอไม่ตอบ เด็กชายก็ถอนใจยืดยาวราวกับผู้ใหญ่
"ผมไม่ถามก็ได้ครับ" คนพูดยิ้มใสอย่างประจบ "แต่ชอบชื่อเมื่อกี๊จังเลย พี่เขียนให้อีกทีนะครับ ผมเขียนไม่ถูก"
แพรวเกือบปฏิเสธ หากว่าจะไม่แลสบดวงตาสีเหล็ก ภายใต้กรอบขนตายาวนั้นเสียก่อน
แววตาคู่สวยที่เจือทั้งรอยยิ้มหัว ผสมปนเปอยู่กับถ้อยคำอ้อนวอนและประจบประแจง กระแสสายตานั้นคมกล้าและรุนแรงจนแพรวแทบจะมือไม้อ่อน.. มันช่างเหมือนกับใครคนนั้นเหลือเกิน.. เหมือนจนไม่น่าเชื่อ..
แพรวจึงไม่แปลกใจตัวเองแม้แต่น้อยที่ในที่สุด เธอก็รับเอาสมุดเล่มนั้นมา ยอมเขียนชื่อ "ตฤณ" ลงไปบนหน้าปกสีฟ้าอ่อนนั้นแต่โดยดี..
เมื่อได้ดังใจ เด็กชายก็หันไปง่วนอยู่กับการร่างภาพและลงสี ท่าทีคล่องแคล่วทะมัดทะแมงและอุปกรณ์การวาดสีน้ำครบชุดที่เจ้าตัวเตรียมมาทำให้แพรวนึกทึ่ง ท่าทางเด็กคนนี้จะไม่ธรรมดาเอาจริงๆ
สายลมอ่อนๆ ยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปอย่างไม่อนาทรต่อเข็มนาฬิกาที่เดินไป ทุ่งหญ้าเบื้องหน้าจึงยังคงปรากฏริ้วคลื่นที่พลิ้วไล่ต่อกันไปเป็นระลอก ราวกับเป็นท้องทะเลกว้างสีเขียวแกมทอง ทอประกายสดชื่นอยู่ในแสงอ่อนของดวงตะวันยามบ่าย
แพรวนั่งเงียบๆ ปล่อยใจตัวเองให้ล่องลอยกลับไปสู่วันเวลาเก่าๆ วันที่ได้เจอเขาที่นี่.. อำเภอเล็กๆ ที่มีเพียงขุนเขาและทุ่งหญ้า ตฤณชอบพาเธอขับรถกินลมชมวิวไปตามถนนสายนี้ มองดูท้องทุ่งหลากสีสันภายใต้แผ่นฟ้าสีครามจัดเบื้องบน
หลายครั้งที่เขาทำอย่างนี้แหละ.. จอดรถลงตรงที่ที่เขาถูกใจ เพื่อจะนั่งลงระบายสีภาพสวยๆ เหงาๆ เหมือนที่ตัวเขาเป็น.. เช่นเดียวกับเด็กชายตัวน้อยคนนี้..
แพรวเคยปล่อยให้ตฤนวาดภาพของเขาเงียบๆ อย่างไร เธอก็อยากจะปล่อยให้เด็กชายข้างตัวเธอทำงานของเขาเงียบๆ อย่างนั้นเช่นกัน..
เพราะเธออยากให้อีกฝ่ายทำงานของเขาให้ออกมาดีที่สุดน่ะ.. แพรวบอกตัวเองอย่างเผลอๆ..
ไม่ใช่เพราะเขาทำให้เธอรู้สึกว่า ได้กลับมานั่งอยู่ข้างตฤนอีกครั้งหรอกนะ..
(มีต่อค่ะ)
แก้ไขเมื่อ 28 ก.พ. 51 04:55:28
แก้ไขเมื่อ 28 ก.พ. 51 04:46:40
จากคุณ :
โยษิตา
- [
27 ก.พ. 51 22:49:27
]