เรื่อง -สังเวียนม้าแข่ง- นี้มีแง่คิดบางอย่างที่ผมอยากนำเสนออยู่ในเรื่อง
แต่ผมเป็นคนที่เขียนไม่ค่อยเก่ง จึงไม่มั่นใจนักว่าคุณผู้อ่านจะเข้าใจในสารที่ผมเสนอหรือไม่
ลองอ่านดูนะครับ หวังว่าคุณคงมีข้อคิดอย่างหนึ่งอย่างใดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ขอบคุณครับ, ผู้เขียน
.............................................
เสียงกีบเท้าย่ำลงบนพื้นสะเทือนเลื่อนลั่น
ขี้ดินกระจุยกระจายได้กลิ่นสดใหม่ของหญ้าที่ถูกเหยียบจนบี้แบน
เจ้าม้าเชิดหัวไว้ ทำจมูกเพยิบพะยาบเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด
มันเหนื่อยล้าเหลือกำลัง และรู้ดีว่าทุกอย่างกำลังจะจบในอีกอึดใจข้างหน้า
จับดูจากชีพจรของมนุษย์ที่กำลังนั่งคร่อมอยู่บนหลังก็รู้
เวลาที่การวิ่งใกล้สิ้นสุดหัวใจเขาจะเต้นแรงเสมอ
แรงจนเส้นเลือดที่ขาของเขาเต้นตุบๆ
"เร็วกว่านี้อีก!" เสียงสั่งพร้อมแรงกดจากสเปอร์ที่ทิ่มลงมาบนสีข้างทำให้เจ้าม้าสะดุ้ง
มันโผนทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยฤทธิ์ความเจ็บปวด
หนทางวิ่งที่ตรงแน่วเริ่มเข้าโค้ง ม้าทุกตัวต่างเบียดเสียดกันเพื่อที่จะได้อยู่วงในสุด
เจ้าม้าไม่ชอบเบียด! มันชอบการวิ่งอย่างอิสระในทุ่งกว้าง
แต่สายบังเหียนที่ถูกรั้งทำให้มันไม่อาจทำตามใจปราถนาได้
มันจำต้องแทรกตัวเข้าไประหว่างช่องว่างของม้านำและม้าตาม
ยิ่งวิ่งไป... วิ่งไป... เสียงโห่ร้องของมนุษย์ก็เริ่มดังขึ้น
จากเสียงอื้ออึงจ๊อกแจ๊ก พอเข้าสู่ทางตรงเสียงดังกล่าวก็ดังปานฟ้าถล่มทะลาย
พวกเขาจะร้องอะไรกันนักหนา? เจ้าม้าคิดอย่างไม่พอใจ
คนพวกนั้นไม่ต้องวิ่ง พวกเขาไม่ต้องเหนื่อย
แม้แต่คนที่อยู่บนหลังของมันก็ไม่ได้วิ่ง แล้วตอนนี้มันวิ่งเพื่อใคร?
ฉันไม่อยากวิ่ง! ม้าแข่งคิดอย่างขุ่นเคือง และมันไม่เห็นเหตุผลที่จะต้องวิ่งต่อไป
เจ้าม้าราฝีเท้า ปล่อยให้ม้าอื่นๆตัวแล้วตัวเล่าวิ่งแซงไปท่ามกลางความโมโหของจ๊อกกี้
"วิ่งไปสิวะ ไอ้ม้าบ้า!" เขากระแทกเดือยโลหะเข้ากับสีข้างม้า และใช้แส้ฟาดที่บั้นท้ายมัน
ไอ้ม้าพวกนั้นสิบ้า! ม้าแข่งเชิดหน้าอย่างยะโส
พวกมันไม่มีสมอง มันสักแต่วิ่งไปเรื่อยๆตามแต่คนบนหลังจะบงการ
ทำไมเราต้องวิ่งเพื่อคนอื่น ในเมื่อขาก็เป็นขาของเรา กำลังก็กำลังของเรา
เราจะไม่วิ่งเข้าเส้นชัยที่คนอื่นกำหนด แต่เราจะวิ่งไปยังเส้นชัยที่เรากำหนดเองเท่านั้น
และไม่สนใจว่าจะมีใครมาแข่งกับเราหรือไม่!
...การแข่งขันจบลงในที่สุด เจ้าม้าแข่งไม่ได้เข้าเส้นชัยในสังเวียน แต่มันภาคภูมิใจ
รถบรรทุกเก่าๆหรือที่คนในไร่เรียกว่ารถขนม้าแล่นมาจอดกลางลานดิน
คนขับจุดบุหรี่สูบมีสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน ส่วนจ๊อกกี้ที่นั่งมาด้วยหน้าตูมอย่างไม่สบอารมณ์
มีเพียงเจ้าม้าแข่งและเด็กเลี้ยงม้าหลังรถเท่านั้นที่ดูสุขสำราญดี
"ถึงบ้านละแก" เด็กเลี้ยงม้าพูด กระโดดลงจากกระบะมาเปิดประตูหลัง
เจ้าม้ากระทืบเท้ากุบกับ โคลงหัวอย่างพอใจที่ได้กลับบ้าน
มันเดินเอื่อยๆตรงไปยังคอกโดยไม่ต้องรอให้ใครจูง
เช่นเดียวกับเด็กเลี้ยงม้าที่เดินดุ่ยๆตามไปเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับเจ้าของไร่
ป่านนี้ตะแกคงกระทืบเท้าปึงปังเป็นยักษีตั้งแต่ไอ้นิลหยุดวิ่งกลางสนามแล้ว
"เกิดอะไรขึ้น?" เจ้าของไร่ถามจ๊อกกี้ที่บัดนี้หน้ามุ่ยยิ่งกว่าเดิม
ชายตัวเล็กสวมชุดผ้าสีสดไม่ตอบ แต่กลับชี้ไปที่บั้นท้ายของไอ้นิล
ซึ่งกำลังยักซ้ายยักขวาอยู่แถวคอก
"ถามมันเถอะเฮีย ผมทำเต็มที่แล้ว"
ดวงตาสีสนิมของเฮียมีแววประหลาด "เดี๋ยวแกตามไอ้ชดมา"
เจ้าของไร่เอ่ยชื่อเด็กเลี้ยงม้าเหมือนมีแผนบางอย่างในใจ
ไอ้นิลยืนสะบัดหางเคี้ยวหญ้าหยับๆอย่างมีความสุข มันชอบชีวิตแบบนี้เสียจริง
เช้าตื่นไปวิ่งออกกำลังกาย สายพักผ่อนกินหญ้า ปล่อยให้เด็กชดใช้หญ้าแห้งถูตัว
ตกบ่ายเดินไปยืดเส้นยืดสาย และกลางคืนหลับอย่างสุขโขในคอกที่กรุมุ้งลวดอย่างดี
ครืด... เสียงเลื่อนประตูทำให้เจ้าม้าแข่งหันไปมอง
พอเห็นเด็กเลี้ยงม้าก็เดินเข้าไปหาอย่างยินดี
"คืนนี้แกต้องนอนข้างนอกไอ้นิล" ชดจูงมันออกจากคอกทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจคำสั่งของเฮียนัก
ทำอย่างไรได้เขาเป็นลูกจ้าง นายว่ายังไงเขาก็ต้องทำตามนั้น
เจ้าม้าแข่งเยื้องย่างออกมาอย่างว่างง่าย มันรู้สึกประหลาดใจที่ไม่ต้องนอนในคอก
อากาศสดยามพลบค่ำทำให้มันนึกถึงกลิ่นไอแห่งอิสระภาพ
ฮี้! ฮ่อ! ไอ้นิลยกขาหน้าตะกุยอากาศ ก่อนห้อตะบึงไปในทุ่งกว้าง
...วิ่งเพื่อใครน่ะหรือ? ตอนนี้มันคิดว่ามันรู้แล้ว...
ชดเดินกลับไปยังบ้านไร่เพื่อรายงานให้เฮียทราบว่าเขาได้ปฏิบัติตามคำสั่งแล้ว
"ดี" ชายเจ้าของไร่ตอบห้วนๆ มีแววเหี้ยมเกรียมในดวงตา
"ทำอย่างนั้นมันจะดีหรือครับเฮีย ตกดึกยุงชุมน่าด" เด็กเลี้ยงม้าออกความเห็นอย่างอึดอัดใจ
"ไม่เข้าเรื่องน่าชด" จ๊อกกี้รีบแย้ง ไม่รู้ว่าเขามานั่งพินอบพิเทาอะไรอยู่ในห้องทำงานเฮีย
แต่ดูเหมือนว่าเฮียจะชอบพวกสอพลอ
"อย่างที่เริงมันว่า ถ้าแกสงสารจะไปผิงไฟเป็นเพื่อนมันก็ได้นี่หว่า" เจ้าของไร่หัวเราะกั้กๆ
นั่นทำให้จ๊อกกี้หัวเราะตามทันที
"แกเลี้ยงม้ามากี่ปีแล้ววะชด เด็กรุ่นเอ็งเห็นผันตัวไปเป็นจ๊อกกี้ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร"
เฮียถามเหมือนต้องการประชดประชัน มากกว่าต้องการคำตอบ
แต่นายเริงดันสาระแนตอบแทนว่า "เกือบสิบปีแล้วครับเฮีย และถ้ามันมัวแต่สงสารม้า
อาจจะได้เป็นเพื่อนม้าไปตลอดชีวิต"
ฮ่าๆ เจ้าของไร่หัวเราะลั่นก่อนโบกมือให้เด็กเลี้ยงม้าไปพ้นหน้า
เจ้าม้าแข่งกระทืบเท้าสะบัดหางเพื่อไล่ยุงอยู่ปลายไร่ ยิ่งดึกยุงก็ยิ่งชุม
มันไม่ชอบยุงสักนิด ทำไมเด็กชดไม่ยอมเปิดประตูคอก ม้าแข่งสะบัดหัวอย่างไม่พอใจ
มันวิ่งกลับไปดูเป็นสิบๆรอบแล้ว ลองเอาหัวดุนดูก็แล้ว แต่ก็ไม่มีใครยอมมาเปิด พวกมนุษย์มันคิดอะไรอยู่?
เสียงย่ำสวบสาบทำให้ไอ้นิลได้สติ มันถอยหลังกลับไปทางบ้านไร่ทันที
ด้วยความหวาดระแวงว่าสิ่งที่กำลังลุยกอหญ้ามาจะเป็นภัย
สักพัก เสียงการเคลื่อนไหวนั้นก็สงบลง เห็นแต่แสงสว่างเรืองๆกำลังตัดทุ่งมา
"ฉันเองไอ้นิล" เด็กเลี้ยงม้าทัก
ไอ้นิลเดินรี่เข้าไปทันใด หมายจะได้กลับไปนอนอุตุในมุ้งลวด
"แกกลับไปไม่ได้ว่ะ" ชดพูดเหมือนรู้ทัน เมื่อม้าใช้จมูกชื้นๆดุนไหล่
เขารวบเอาหญ้าแห้ง และกิ่งไม้มารวมเป็นกอง ก่อนจุดมันให้ลุกโชนในความมืด
ร้อน! เจ้าม้าแข่งขยับหนี แต่เด็กเลี้ยงม้าพยายามรั้งไว้
เขาโกยหญ้าขึ้นไปสุมให้สูงขึ้นอีก ไฟที่ลุกเป็นเปลวบัดนี้เริ่มมอดลง
เหลือเพียงสียงปะทุเปรี๊ยะๆซึ่งแสดงว่ามันคุอยู่ข้างใต้
ไม่ช้านานควันจำนวนมากก็ฟุ้งตลบไปทั่วทำเอาไอ้นิลหายใจฟืดฟาด
"ถ้าไม่อยากโดนยุงกัดแกต้องอยู่แถวนี้นะ" ชดว่าและเดินจากไปพร้อมตะเกียงรั้ว
ปล่อยให้ม้าแข่งอยู่ลำพังกับเสียงกรีดปีกของยุง ริ้น ไร ที่หมายมาสูบเลือด
จากคุณ :
Pictogram
- [
4 มี.ค. 51 23:07:24
]