Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เรื่องสั้น : หรือตั้งใจไปเหงา

    หรือตั้งใจไปเหงา


    สิ่งที่เศร้าที่สุดของความรัก
    เห็นจะคือ คนที่เรารัก...ไม่ได้รักเราเลย...


    “ลองทบทวนดูดีๆ นะว่าจะเลือกทางไหน ระหว่างตัดให้ขาด...ซึ่งความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอาจจะมากมาย แต่ไม่นานมันก็จะหายดี... หรือจะอยู่... อย่างเจ็บปวดตลอดไป ด้วยความรักเพียงฝ่ายเดียว” เป็นคำพูดของคนที่เพียงบังเอิญผ่านมา และ...ผ่านไปบนหนทางสายยาวไกลที่เขามา

    ริมทะเลตะวันตกกับอากาศที่ร้อนจัดกับการมาโดยไม่ตั้งใจ... นึกถึงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ที่จะมาถึงที่นี่...ขณะนอนมองเพดานอยู่นานว่าจะทำอะไรดี ไปห้องสมุด ไปสวนจตุจักร ไปพันธุ์ทิพย์ ไปร้านหนังสือ ไปดูหนัง... ไปไหนดี? เวลานั้นคนที่ส่งเสียงมาตามคลื่นโทรศัพท์มือถือ อยู่ที่ชลบุรี... เขาอยู่กับคนที่เขารัก แล้วเราล่ะ? จะต้องอยู่อย่างเศร้าเพียงลำพังอย่างนั้นหรือ?.. เป้สีกรมท่าใบเก่ามีหนังสือหนึ่งเล่มชื่อ “มาดเกี้ยว” สมุดบันทึก ไปรษณียบัตรและปากกา พร้อม... อาบน้ำ เสื้อยืดจากมูลนิธิเพื่อนช้างถูกนำมาสะบัดสองสามครั้งก่อนสวม กางเกงยีนส์ และรองเท้าหนังคู่เก่า ไม่บ่อยนักที่จะแปลงร่างจากสาวออฟฟิศมาดดีเป็นเด็กกะโปโลที่ผิดแผกอย่างสิ้นเชิงกับวิถีสามัญในเมืองหลวง

    แล้วก็พาตัวเองไปยังสถานีรถไฟ ๑๒.๑๕ น. ถึงสถานีหัวลำโพง...

    “ขอโทษนะคะ รถไฟที่จะออกเที่ยวถัดไปเวลาเท่าไหร่และ สายไหน?” เป็นคำถามเมื่อถึงคิวต้องซื้อตั๋ว.. แล้วก็ได้ตั๋วมาเป็นตั๋วหัวหิน ๘๔ บาท ๑๒.๒๕ น. รถไฟเคลื่อนขบวนออกจากกรุงเทพฯ “กรุงเทพฯ – สุไหงโกลก” เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เดินทางโดยรถไฟสายใต้ และเป็นครั้งแรกที่.. ลำพัง.. เงียบและเหงาดีแท้... ป่านนี้เขาคงอยู่กับคนที่เขารักอย่างมีความสุข... แต่คนที่เป็นทุกข์กับความรักนั้นเป็นเรา แต่จะว่าไปแล้ว.. เราเองต่างหากที่เลือกให้เป็นเช่นนี้เอง ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มใจ

    ถามตัวเองว่า “ไปเพื่อจะหลุดพ้น หรือตั้งใจไปเหงา?” แต่ก็สุดปัญญาจะตอบตัวเอง...

    บางคำถามเราก็อาจจะมีคำตอบ แต่บางทีเราก็หาคำตอบไม่พบ...

    “Hi, Where are you going?” ชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามเป็นชาวต่างชาติ การสนทนาด้วยภาษาต่างถิ่นจึงเริ่มขึ้น, มันทำให้หายเหงาได้ในระดับหนึ่งเพราะต้องคอยคิดคำพูดเพื่อสนทนาลำพังภาษา ไทยก็ยังต้องใช้เวลาคิด แล้วภาษาอังกฤษที่สอบตกไปสามรอบยิ่งทำให้ใช้เวลาอีกเท่าตัว สักพัก...ชายหนุ่มต่างถิ่นก็หมดความสนใจในสาวไทยหน้าแปลกและแปลกหน้า ไปสนทนากับเพื่อนใหม่ชาติเดียวกัน.. สาวน้อยหน้าใสก็เลยถูกวาง ให้ลำพังและเดียวดาย.. เหลือบดูนาฬิกาข้อมือ บ่ายสองโมงเย็นเข้าไปแล้ว รถไฟเพิ่งจะถึงนครชุมน์ อีกนานไหมหนอ...จะถึงปลายทาง.. เฮ้อ หิว.. ก็ตั้งแต่เย็นวานยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนอกจากความเศร้า... เลยเดินไปที่ตู้เสบียง

    เลือกที่นั่งได้ริมหน้าต่างโต๊ะสุดท้าย...สั่งข้าวผัดรถไฟราคา ๔๐ บาทมานั่ง “ละเลียด” เพื่อจะยืดระยะเวลาให้นานที่สุด...การนั่งตู้เสบียงนั้นดีอย่างหนึ่งคือไม่ต้องมีคนมานั่งจ้องหน้า...และมีพื้นที่ว่างพอที่จะวางสมุดบันทึกและเขียนอะไรได้บ้าง...

    “ขอโทษนะฮะ ที่ตรงนี้มีคนนั่งมั้ย?” ชายหนุ่มที่ยืนถือจานข้าวอยู่ตรงข้าม ท่าทางสำรวม ผมยาวของเขาถูกรวบเรียบร้อยด้วยเชือกหนังเส้นเล็ก เขาสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาวหม่น กางเกงเลสีกรมท่าและมีย่ามสะพายอยู่บนไหล่

    “ไม่มีค่ะ” แล้วก็หมดความสนใจในชายหนุ่มแปลกหน้าเพียงเท่านั้น... นอกหน้าต่างเป็นทุ่งหญ้าสลับกับป่าเขาทึบทึม นั่งมองเหม่ออยู่นาน...ชายหนุ่มชวนคุย

    “ไปไหนเหรอฮะ”

    “ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหนดี คุณว่าที่ไหนน่าไปล่ะคะ”

    “แล้วคุณตีตั๋วไปไหนล่ะ”

    “หัวหิน...”

    “ผมกำลังจะไปหินกรูด ที่ประจวบฯ ไปด้วยกันมั้ยล่ะฮะ?”

    “คุณคิดว่าดิฉันจะไปกับคนแปลกหน้า?”

    “ก็แล้วแต่คุณ...ผมเพียงแต่ชวน ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องไป” เขายิ้ม

    “ตกลงค่ะ” อย่างน้อยก็ตัดสินใจด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใครมาคอยเตือน... ในเวลานั้น การเริ่มต้นในสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เริ่มขึ้น

    บางครั้งการเดินทางโดยไม่ได้ตั้งใจก็ทำให้เราได้รู้ในสิ่งที่
    ไม่เคยรู้...

    “ผมกำลังจะไปสมทบกับกลุ่มที่เดินทางมาก่อนซึ่งรออยู่แล้วที่บ่อนอก และอีกบางคนที่มาพร้อมกันก็อยู่บนรถไฟขบวนนี้” เขาบอกเล่าถึงจุดมุ่งหมายของการเดินทาง

    “ฉันเคยได้ยินมาเรื่องปลาวาฬบรูด้า โรงไฟฟ้าและ..การประท้วง” การสนทนาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจึงได้เริ่มขึ้น

    “คุณคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้หรือ?” เขาถามขึ้น

    “อืมม์...ฉันรักเมืองไทยนะ นั่นแปลว่าถ้าการลงมือทำอะไรสักอย่างแล้วประเทศชาติได้ประโยชน์อย่างแท้จริงก็น่าสนับสนุนไม่ใช่เหรอ” ฉันแสดงความคิดเห็น... อย่างที่รู้สึก

    “แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง ถ้าหากว่ามีคนบางกลุ่มที่มีอำนาจสามารถจะปิดบัง หรือบิดเบือนข้อดี, เสีย ของการลงมือดังกล่าวไว้ได้ ประชาชนสามัญสักกี่คนที่จะรู้ความจริง” เหตุผลที่เขากล่าวถึงนั้นทำให้ฉันต้องนิ่งและคิด...

    “แล้วเราจะทำอย่างไรได้ ก็ในเมื่อเราเป็นประชาชนธรรมดา” ฉันไม่เข้าใจจึงถามขึ้น

    “บางทีการไปครั้งนี้อาจจะเปิดมุมมองใหม่ให้ความคิดของคุณได้บ้าง”

    “ฉันก็หวังอย่างนั้น” แล้วต่างก็ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาทักทาย

    “คุณเดินทางโดยไม่มีจุดหมายปลายทางอย่างนี้เสมอหรือ?” เขาถามขึ้นทำลายความเงียบ

    “เป็นครั้งแรกก็ว่าได้... ฉันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนี้...เห็นจะเป็นเพราะความรักกระมัง”

    ฉันบอกเล่าความรูสึกกับคนตรงหน้า ทั้งๆ ที่เราไม่เคยรู้จักและพบเจอกันมาก่อนในชีวิต อาจเพราะในเวลานี้...ฉันไม่มีใครเลยก็ได้ จึงวางใจ... ที่จะบอกเล่าเรื่องราว

    “ธรรมดาฮะ ผมก็เคยเป็น และก็ยังเป็นอยู่” ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้ยินประโยคนี้จากคนแปลกหน้า

    “ผมรักผู้หญิงคนหนึ่งฮะ แต่เราเป็นเพื่อนกัน ความรักของเราจึงเป็นไปไม่ได้เพราะเธอมีคนรักอยู่แล้ว สิ่งที่ผมจะต้องเลือกมีสองทางคือ อยู่... อย่างเจ็บปวดตลอดไป ด้วยความรักเพียงฝ่ายเดียวหรือตัดให้ขาด...ซึ่งความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอาจจะมากมาย แต่ไม่นานมันก็จะหายดี....คุณรู้มั้ยผมเลือกทางไหน?” เขายื่นหน้ามาถาม...

    “ไม่รู้สิ... ฉันไม่มีคำตอบในเวลานี้หรอกค่ะ” แน่ล่ะ ก็เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขานั้นไม่ต่างเลยกับเรื่องของฉัน ไม่ต่างเลย...

    นอกหน้าต่างรถไฟ เริ่มมองเห็นทะเลอยู่ลิบตา นั่นหมายความว่าจุดหมายปลายทางของเรานั้นใกล้เข้ามาทุกที

    “อีกสักครู่ก็จะถึงแล้วล่ะ คุณพร้อมหรือยัง?”

    “พูดเหมือนจะไปรบ... ฉันไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกค่ะ”

    “งั้นลุย....” นาฬิกาบอกเวลา ๑๘.๐๐ น. รถไฟถึงสถานีประจวบฯ เสียงกลองยาวแว่วมาแต่ไกล คนที่ลงจากรถไฟ มีมากกว่าที่เห็นในทีแรก...หลายคนหน้าตาคุ้นเคย นักเขียน นักกวี จิตรกร นักหนังสือพิมพ์และนักข่าว....ฉันได้แต่ยืนอึ้งอยู่กับที่ทันทีที่ลงจากรถไฟ เพราะหลายคนเป็นนั้นมีชื่อเสียง นักเขียนคนที่ยืนข้างๆ เป็นคนเขียนคอลัมน์ในนิตยสารที่ฉันอ่านประจำ เขาหันมายิ้มให้ อีกคนที่อยู่ด้านหน้านั้นเป็นนักกวีมีชื่อเสียง และฉันเองก็ชื่นชอบในผลงานเขามากจนอยากจะเดินเข้าไปขอลายเซ็น.... แต่คนที่ ‘ดึงคอเสื้อ’ ฉันไว้คือชายหนุ่มที่ชักชวนฉันมานั่นเอง... แล้วก็เพิ่งจะนึกได้ว่าเรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย

    “สวัสดีครับพี่ณต นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว วันนี้เตรียมอุปกรณ์วาดภาพมาพร้อมไหมครับ” คนที่เดินเข้ามาทักทายนอบน้อม ทำให้ฉันต้องเลี่ยงไปยืนข้างหลังเขาโดยปริยาย

    “พี่สาวมาจากมูลนิธิเพื่อนช้างเหรอครับ...เชิญครับเชิญ ยินดีต้อนรับทุกท่าน” เขาหันมายกมือไหว้ฉัน และเสียงทักทายปราศรัยกันนั้นดังเซ็งแซ่เหมือนมหกรรมอะไรสักอย่าง

    “อ่า...คือว่า” ฉันยังไม่ทันได้ตอบคำถามด้วยซ้ำ

    “ครับ มาด้วยกันกับผมเอง” คนที่ถูกเรียกชื่อ ณต เป็นคนตอบคำถามนั้นเอง แล้วเขาก็พาฉันมาหลบคนใต้ร่มไม้

    “ก่อนจะได้ออกทีวี และลงหนังสือพิมพ์ หลบก่อน.. เหนื่อยมั้ย... ต้องขอโทษด้วยนะฮะที่พามาลำบาก” เขาถามพลางยื่นแก้วน้ำมาให้ฉัน

    “ฉันรู้แล้วล่ะ ว่าคุณมาทำไม... แต่ที่ฉันยังไม่รู้คือ คุณดังแค่ไหนต่างหาก” ไม่ทันขาดคำ เขาก็ถูกหาตัวจนพบและถูก ‘ลาก’ ตัวไปถ่ายภาพร่วมกับคนอื่นๆ

    “ผมแน่ใจว่าเราจะเจอกันที่บ่อนอก..รถที่มารับ คุณไปกับคันไหนก็ได้..แล้วเจอกันสาวน้อย”

    แล้วเขาก็หายไปในฝูงชน....

    จากคุณ : ดาริกามณี - [ 10 มี.ค. 51 15:25:12 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom