ฉันจอดรถลงหน้าบ้านพักสองชั้นหลังกะทัดรัด แวดล้อมด้วยสนามหญ้ากว้างสีเขียวสด มีไม้ดอกหลายชนิดแข่งกันชู่ช่ออยู่ในสวนหย่อมเล็กๆ กลางสนาม
ในเวลาเย็นจนเกือบเข้าโพล้เพล้ สภาพรอบตัวดูไม่ต่างจากที่ฉันได้เห็นครั้งสุดท้ายเมื่อเกือบสิบปีที่ผ่านมา นอกจากตัวบ้านที่เก่าโทรมลงเล็กน้อย และซุ้มต้นเล็บมือนางที่ต่อขึ้นจากไม้ระแนงอย่างง่ายๆ จะโย้เย้ไปทางหนึ่งเพราะน้ำหนักของเถาไม้หอมที่พาดพันอยู่อย่างหนาแน่น ออกดอกพรู เป็นสีขาว เหลือง ชมพู แดง ไล่สีไปอย่างแปลกตา
ป้ายชื่อหน้าบ้านเปลี่ยนจากชื่อของพ่อฉัน อย่างที่ฉันเห็นมันมาจนคุ้นชินตั้งแต่เด็ก มาเป็นชื่อของใครอีกคนหนึ่งที่คุ้นตาไม่ต่างกัน เพียงแต่คำบอกยศหน้าชื่อของเขาเปลี่ยนไป ตามวันเวลาที่ล่วงผ่านมานานเหลือเกิน
พันโท กริช ฤทธิเวธิน
ในโรงรถมีรถจี๊ปซูซูกิสีเขียวเข้มรุ่นดึกดำบรรพ์ แบบที่ทหารมักเรียกกันว่า รถกระป๋อง จอดอยู่เพียงคันเดียว คงเป็นรถประจำตำแหน่งของเขา เพราะด้านข้างมีตัวอักษรเล็กๆ พ่นสีขาว บอกสังกัดกองพันที่เขาคงจะทำงานอยู่
ตัวบ้านปิดเงียบ จนฉันชักสงสัยว่า ถึงเขาจะยังไม่กลับ แล้วครอบครัวของเขา ที่ควรจะอยู่บ้านในเย็นวันเสาร์อย่างนี้ หายไปไหนกันหมดนะ
ครอบครัว.. จริงสิ ฉันยังไม่เคยได้ยินเลยนี่นาว่าเขามีครอบครัวแล้ว แต่คิดอีกทีก็ไม่แปลกอะไร ในเมื่อฉันเองก็ไม่ได้อยู่เมืองไทยมากนัก จนเกือบจะลืมเลือนเขาไปแล้วในที่สุด แม้ว่าในอดีต เขาจะเคยเป็นคนที่ฉันหายใจเข้าออกก็นึกถึง เป็นฮีโร่สำหรับฉันเสมอไม่ว่าในเรื่องใดๆ
หากครั้งนี้จะไม่มีความบังเอิญ บังเอิญว่าฉันกลับมาเยี่ยมบ้านในช่วงออกจากงานที่บริษัทในต่างประเทศ บังเอิญว่าไม่มีใครอยู่บ้านเลยในวันที่เขาโทรมา และบังเอิญเหลือเกินที่เขาจำเสียงฉันได้แทบจะในทันที เมื่อฉันแจ้งว่าพ่อและแม่ไปร่วมงานสโมสรนายทหารอยู่ และคงยังไม่กลับจนดึก
"น้องปิ่นใช่ไหมครับ" เสียงห้าวๆ ของฝ่ายนั้นตื่นเต้น
"ค่ะ" ฉันมีแต่ความงุนงง "ขอโทษนะคะ นั่นใครพูดคะ"
"พี่..กริชครับ น้องปิ่นจำไม่ได้เหรอ"
"พี่กริช !" คราวนี้เสียงฉันลิงโลด พร้อมกับคำถามอีกนับสิบที่รัวจนแทบจะลืมหายใจ
พี่กริชได้แต่หัวเราะ เมื่อตอบคำถามฉันไปเรื่อยๆ จนได้ความว่า เขายังอยู่ที่เดิม ในค่ายทหารของจังหวัดเล็กๆ ที่พ่อฉันเคยสังกัดอยู่ ก่อนจะย้ายมากินตำแหน่งในกรุงเทพอย่างตอนนี้
"ตอนนี้พี่เป็นผู้พันแล้วนะ เพิ่งรับตำแหน่งไปเมื่อเดือนตุลานี่เอง"
"โอ๊ยตายแล้ว" ฉันกรี๊ดกร๊าด "อาไร้ ปิ่นยังเรียกพี่หมวดๆ อยู่ไม่กี่วัน กลายเป็นผู้พันไปแล้วหรือคะ"
เขาหัวเราะ เพราะนั่นคือคำเรียกล้อๆ ที่ฉันเคยใช้ล้อเลียนเขาจริงๆ ก่อนที่จะบอกธุระที่ทำให้เขาต้องโทร.มา ธุระที่ทำให้ฉันใช้เป็นข้ออ้างในการขับรถข้ามจังหวัดมาหาเขาในวันนี้จนได้
"ท่านรองฯ อยากได้กิ่งมะม่วงหนองแซงต้นหลังบ้านพักน่ะครับ ท่านบอกกินที่ไหนก็ไม่อร่อยเท่า" พี่กริชเรียกพ่อฉันอย่างนั้น ฟังดูแปลกหู
"โอ้โห คุณพ่อเอาอีกแล้ว พี่กริชลำบากแย่" ฉันถอนใจเฮือก พ่อฉันน่ะถนัดนักละไอ้เรื่องทำความเดือดร้อนให้ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาก็เถอะ ส่วนใหญ่ในเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องได้เสียด้วย
"ไม่ลำบากหรอกครับ ตอนนี้พี่อยู่บ้านพักหลังเดิมของท่าน" ซึ่งก็คือบ้านที่ฉันเคยอยู่มาตั้งแต่ประถมจนจบม.ปลายนั่นแหละ พี่กริชหัวเราะอีก จนฉันนึกค่อนในใจว่าหัวเราะเก่งเสียจริง "พี่แค่ให้ทหารตอนไว้ให้ นี่ดูน่าจะใช้ได้แล้ว เลยว่าจะเอาไปให้ท่านที่กรุงเทพ"
"พี่กริชไม่ต้องเข้ามาหรอกค่ะ" ฉันตัดสินใจในทันที ก็ฉันมานั่งๆ นอนๆ อยู่อย่างนี้จนเบื่อเต็มทีแล้วนี่นะ "ปิ่นว่าง เดี๋ยวปิ่นไปเอาเอง มีแผนจะแวะไปหาเพื่อนเก่าๆ ที่นั่นพอดีด้วย"
ประโยคท้ายฉันเพิ่งคิดได้สดๆ ร้อนๆ แต่ก็ต้องรีบเติม ก่อนที่เขาจะออกปากห้าม
"ไม่ดีหรอกครับ เดี๋ยวท่านจะว่าพี่อีก เหมือนที่เคยพาน้องปิ่นไปซนตอนเด็กๆ.." เสียงค้านของเขาอ่อนอ่อย แต่ฉันก็รู้ว่าฉันเอาชนะได้เสมอ
"พรุ่งนี้เย็นพบกันนะคะ" ฉันบอกแค่นั้นก่อนจะวางหู ไม่รอให้เขาได้ต่อรองอีก
แล้วฉันก็ได้มายืนอยู่หน้าบ้านหลังเก่า ที่ดูเล็กลงมากในความรู้สึกของฉัน คงเพราะฉันได้ออกไปเห็นโลกกว้างมานานปี โลกใบเล็กๆ ในค่ายทหาร ที่เคยมีเพียงบ้านหลังนี้ สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้บ้านที่มีไว้ออกกำลังกาย กับจักรยานคันเก่าที่ฉันเคยปั่นตามหลังพี่กริชไปเที่ยวเล่นอย่างไม่ลดละในทุกวันหยุด จึงดูแคบลงอย่างไม่น่าเชื่อ
พี่กริชย้ายมาประจำที่นี่ขณะที่มียศร้อยโท สังกัดกองพันที่พ่อฉันเป็นผู้บังคับกองพันอยู่ และจะด้วยความถูกชะตาหรืออะไรก็ไม่แน่ พ่อจึงชอบเรียกใช้และดูจะเอ็นดูพี่กริชเป็นพิเศษอยู่เสมอ แม้ว่าจะมีเขม่นแกมหมั่นไส้อยู่บ้างเวลาฉันเห่อพี่กริชจนออกนอกหน้า จนเป็นที่รู้กันว่าไม่ว่าเรื่องอะไรที่ฉันดื้อนัก ลองให้พี่กริชมานั่งกล่อม เพียงไม่นานฉันก็ยอมตามเขา
ตอนที่ได้เจอพี่กริชครั้งแรก ฉันเพิ่งจะอายุสิบสามเท่านั้นเอง เพิ่งจะขึ้นชั้นมัธยมได้ไม่ถึงปี และยังไม่รู้จักความหลงใหลใดๆ ในเพศตรงข้าม ความเห่อของฉันจึงเป็นเพียงความรู้สึกของน้องสาวเล็กต่อพี่ชายใหญ่ ที่แสนจะใจดี แถมยังตามใจ ทำอะไรก็น่าสนุกไปเสียหมด ไม่น่าเบื่อเหมือนพ่อกับแม่ที่เอาแต่บ่นว่า ไม่เข้าใจเด็กวัยรุ่นที่กำลังอยากรู้อยากเห็นอย่างฉันเอาเสียเลย พี่ชายสองคนที่เคยเป็นเพื่อนเล่นกันก็แยกย้ายกันไปเรียนมหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว ทิ้งให้ฉันกับน้องสาวเล็กๆ ที่วัยห่างกันจนเกินกว่าจะเล่นกันได้ อยู่กับพ่อแม่ที่แสนจะน่าเบื่อต่อไป
พี่กริชนี่แหละที่พาฉันไปปีนภูเขาลูกเตี้ยๆ ที่ใช้เป็นสนามฝึกทหารในค่าย บุกป่าฝ่าดงเข้าไปขุดหน่อไม้ไผ่รวก เอามาต้มน้ำใบย่านาง ซึ่งก็เก็บเอาแถวนั้นอีกแหละ เพื่อเอามาทำซุปหน่อไม้แซบๆ กินกันที่บ้าน ทำแร้วดักไก่ป่า แล้วยังไปห้อยโหนเก็บมะขามป้อม ที่ฉันก็เพิ่งเคยเห็นกับตาว่ามันไม่เหมือนมะขามสักนิด และรสชาติก็เฝื่อนจนอยากถ่มทิ้ง หากว่าพี่กริชจะไม่ยื่นกระติกน้ำให้กิน เพื่อให้รู้ว่ารสหวานชุ่มคอของมะขามป้อมนั้นเป็นอย่างไร
นอกจากเป็นเพื่อนเล่น พี่กริชยังเป็นครูกวดวิชาให้ฉันได้ในแทบทุกกลุ่มวิชา คงจะยกเว้นวิชางานฝีมือเท่านั้นแหละที่ฉันไม่เคยให้เขาช่วย เพราะแม้แต่วิชาภาษาไทย ฉันยังเคยไปบังคับให้พี่กริชแต่งโคลงสี่สุภาพให้มาแล้ว และเขาก็ทำได้ดี จนฉันได้คำชมจากครูเสียอีก
"โรงเรียนนายร้อยนี่ เค้าสอนครอบจักรวาลดีเนอะ เท่เป็นบ้า" ฉันเคยรำพันเมื่อนั่งเท้าคางดูพี่กริชเขียนสมการเคมีให้
"ก็ไม่เชิงหรอก นี่พี่ต้องไปค้นตำราเก่าๆ มานั่งอ่านยังกับตอนกวดวิชาสอบเข้าแน่ะ" คนถูกชมว่าเท่กลับขมวดคิ้ว "ถ้าขืนพี่ตอบอะไรน้องปิ่นไม่ได้ ก็โดนโวยลั่นบ้านน่ะสิ"
ก็จริงของเขา.. ฉันนึกอย่างขันๆ ถึงทุกวันนี้ ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่า เคยมีคำถามใดที่พี่กริชตอบฉันไม่ได้บ้าง เพราะไม่ว่าเรื่องอะไร เขาก็เพียรพยายามไปค้นหาคำตอบมาให้ฉันได้ไปเสียทุกเรื่อง
จนเมื่อฉันเริ่มโต เริ่มมีเรื่องกุ๊กๆ กิ๊กๆ ตามประสาหนุ่มสาวเข้ามาให้สนใจ มีหนุ่มหลายคนที่ฉันแอบไปปลื้ม และมีอีกหลายหนุ่มที่เข้ามาป้วนเปี้ยนรอบตัวฉัน ถึงตอนนี้ ฉันก็มีเรื่องให้คิดเยอะแยะไปหมด จนไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นซนแบบเด็กๆ อีกแล้ว ฉันจึงห่างพี่กริชออกมาโดยปริยาย
เขาเองก็คงตั้งใจตีตัวออกห่างฉันไปด้วยเหมือนกัน เมื่อเริ่มมีข่าวลือในทางไม่ค่อยดีนักว่า พี่กริชมาจีบลูกสาวนาย ซึ่งแม้ครอบครัวฉันจะตัวเขาเองจะรู้ว่าไม่จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความไม่เหมาะสม และอาจเป็นผลร้ายกับหน้าที่การงานของเขาอย่างยิ่ง ฉันกับพี่กริชจึงกลายเป็นคนรู้จักที่ห่างเหินกันตั้งแต่บัดนั้น
เมื่อฉันจบมัธยมปลายและตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็พอดีกับที่พ่อฉันย้ายเข้ากรุงเทพ ฉันจึงขาดการติดต่อจากพี่กริชไปตั้งแต่นั้น แม้ว่าจะนึกถึงเขาบ้างนานๆ ครั้ง ยามที่กลับไปเยี่ยมเพื่อนเก่าในตัวจังหวัด แต่ก็ไม่เคยคิดจะไปตามหาเขาอย่างจริงๆ จังๆ เสียที
จนวันนี้ อาจจะเป็นเพราะเสียงห้าวๆ แกมหัวเราะของเขาที่ฉันได้ยินจากสายโทรศัพท์กระมัง ที่ทำให้จู่ๆ ฉันก็อยากเจอเขาขึ้นมาอย่างรุนแรง
ฉันนั่งลงที่ม้าหินเก่าๆ ใต้ซุ้มเล็บมือนาง ที่เริ่มมีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมากับสายลมยามเย็น ม้าหินตัวนี้แหละที่ฉันเคยบังคับให้พี่กริชนั่งลงช่วยทำการบ้าน ตอนนั้นพี่กริชเพิ่งได้เลื่อนยศเป็นร้อยเอกใหม่หมาด และฉันก็ล้อเขาไม่รู้จักจบสิ้น
"พี่ผู้กอง พี่ผู้กอง พี่ผู้กอง" ฉันรัวเสียงถี่ยิบเมื่อกระโดดลงจากรถคันใหม่เอี่ยม ที่หนึ่งในหนุ่มๆ ของฉันตอนนั้นอาสาขับมาส่ง ถลาเข้าไปหาร่างสูงที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ใต้ซุ้มไม้ "ทำไมวันนี้ไม่แต่งเครื่องแบบมา ปิ่นอยากเห็นดาวสามดวงวับๆ บนบ่า"
"เรียกพี่หมวดเหมือนเดิมเหอะ" พี่กริชเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ หัวคิ้วขมวดมุ่น เสียงดุ มองดูรถที่เพิ่งวิ่งออกไปด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก "พี่เปลี่ยนชุดวอร์มไปวิ่งมาน่ะซี น้องปิ่นกลับบ้านช้าเหลือเกินนี่วันนี้"
"ปิ่นไปกินไอติมกับพี่เว้มา" ฉันบอกเสียงใส ไม่ใส่ใจกับเสียงดุๆ แหละหน้าหงิกเป็นม้าหมากรุกของอีกฝ่าย บางทีพี่กริชก็เป็นอย่างนี้ ชอบทำตัวเป็นพ่อยิ่งกว่าพ่อจริงๆ ของฉันเสียอีก ยิ่งระยะหลังนี่ชักหนักขึ้นเรื่อยๆ
"พี่เว้อะไรนี่ใครอีกล่ะ" เขาถามเรื่อยๆ กลับไปกวาดสายตาอ่านหนังสือพิมพ์ต่ออย่างไม่สนใจ
"อย่าให้บอกนามสกุลเล้ย พี่หมวดจะหนาว" ฉันกลับไปเรียกเขาล้อๆ ตามเดิม ทำเสียงโอ่นิดๆ "ลูกสจ.คนดังเชียวนะ"
"ยังเรียนอยู่มีรถขับได้ยังไง" พี่กริชถามเปรยๆ ขึ้นมาอีก "มีใบขับขี่หรือเปล่า"
"ฮื้อ พี่หมวดนี่" ฉันชักอารมณ์เสีย "ถามอะไรยังกับพ่อ ไม่คุยด้วยแล้ว"
เมื่อฉันทำท่าจะสะบัดหน้าเดินเข้าไปในตัวบ้าน พี่กริชก็เสียงอ่อนลง
"ถามไปงั้นแหละน่า ไหนการบ้านวันนี้ ไม่มีอะไรให้ช่วยเหรอ"
แค่นั้น ฉันก็นั่งลง หยิบการบ้านสารพัดวิชาออกมาให้พี่กริชช่วยทำเหมือนเคย และเมื่อไม่มีเรื่องหนุ่มๆ ของฉันเข้ามาเกี่ยวข้องในบทสนทนาอีก พี่กริชก็กลับมาเป็นพี่กริชคนเดิมที่ตามใจและเอาอกเอาใจฉันไปทุกเรื่อง
ฉันนึกเสียใจขึ้นมานิดหน่อยที่ทำเหมือนลืมเขาไปสนิทในช่วงหลายปีมานี้ แม้ว่าช่วงแรกๆ ฉันจะกลับมาเยี่ยมบ้านทุกปี แต่ก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาที่จังหวัดนี้บ่อยนัก ยิ่งปีหลังๆ หลังจากเรียนจบและทำงานแล้ว ฉันก็แทบไม่ได้กลับเมืองไทยครั้งละนานๆ อีกเลย จนกระทั่งลาออกจากงานและตั้งใจจะพักผ่อนสักระยะอย่างตอนนี้นั่นแหละ
กลิ่นหอมของดอกเล็บมือนางแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับแสงสว่างรอบตัวที่น้อยลงทุกที ฉันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้ นึกแปลกในที่พี่กริช-คนที่ไม่เคยมาสายเมื่อมีนัดกับฉัน จะมาสายเอามากๆ ในวันที่ไม่ควรจะสาย-อย่างวันที่ฉันกับเขาจะได้เจอกันครั้งแรกในรอบแปดปีอย่างนี้
หกโมงครึ่ง ช้าไปกว่าเวลาที่พี่กริชควรจะมาถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม ฉันเดินไปเปิดสวิตช์ไฟที่โรงรถ แปลกใจตัวเองที่ยังจำตำแหน่งของมันได้แม่นยำราวกับเป็นบ้านตัวเอง แต่คิดอีกที มันก็เคยเป็นบ้านของฉันจริงๆ นี่นะ..
แสงนวลๆ ของหลอดสีส้มสามสิบแรงเทียนหน้าบ้านสว่างขึ้น พร้อมกับรถคันเล็กคันหนึ่งเลี้ยวเข้ามาจอดต่อจากรถฉัน
ร่างที่ก้าวลงมาทำให้ฉันลืมทุกอย่าง เมื่อก้าวจนแทบเป็นวิ่ง ตรงเข้าไปหาร่างนั้นอย่างดีใจ อย่างที่ฉันเองก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองดีใจถึงเพียงนี้
"พี่กริชมาช้า" ฉันต่อว่าทันที เกือบจะปราดเข้าไปดึงแขนเขาอย่างที่เคยทำด้วยซ้ำ แต่หยุดเสียก่อนเพราะนึกได้ถึงการควรไม่ควร
(มีต่อค่ะ)
จากคุณ :
โยษิตา
- [
14 มี.ค. 51 20:51:14
]