Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    +++สัปหงก++++ความเข้าใจกับเวลา

    “นายธนา เอานิสัยชอบขโมยของแบบนี้มาจากไหนกันนะ”ครูสาวตำหนิเสียงดังเครียดท่างกลางบรรยากาศอึดอัดอึมครึม

    ในห้องเรียนชั้นป.สอง

    “ทั้งตรายางของครู ดินสอ ยางลบ ปากกา หนังสือเรียน เลิกเรียน ไปพบครูที่ห้องด้วยนะ”

    ธนาพยักหน้ารับ

    ออกมานอกห้อง ผมถามธนาเรื่องขโมยของทันควัน

    “นายขโมยของทำไมเนี่ย มันไม่ดีนะ”

    “แล้วไงล่ะ”เขาว่าแล้วเดินคนเดียว มองออกนอกหน้าต่าง ตรงไปยังห้องพักครู

    หัวหน้าห้องเดินมาถามผม “มีอะไรเหรอนัด”

    ผมมองหน้ายิ้มตอบแล้วกลับเข้าห้อง ไม่ยักรู้สึกหิว อาจเพราะบรรยากาศอึดอัดในห้องเมื่อครู่ ครูสาวว่าจะไม่ลงโทษคนที่เอานาฬิกาของคริสลูกฝรั่งดองเด็กรวยลูกคุณหนูประจำห้องไป ถ้าหากคนนั้นรับผิด แล้วหมอนั้นก็ยกมือเหมือนโอกาส

    นาฬิกาหายไปตอนไหนน่ะเหรอ

    หลังจากส่งไปมาในห้องอยู่หนึ่งคาบครึ่ง

    เกิดเหตุการณ์อึกทึก หัวหน้าห้องทำน้ำในกระติกหก เลอะคนนั่งใกล้ เธอชื่อนิด แต่อาการตกใจของเธอเป็นที่รู้กันดีว่า ตรงกันข้ามกับคำว่าชื่อของเธอโดยสิ้นเชิง เธอหัวเสียบ่นว่าหัวหน้า ครูเข้ามาดูเหตุการณ์ ทุกคนก็เช่นกัน ผมลุกหาผ้ามาเช็ดให้ ขณะธนานั่งข้างผมฟลุ๊บหน้าหลับสนิท ผมเช็คโต๊ะและพื้นเลอะตอนคนอื่นยังชุลมุนดูอาการออกปากเสียงของนิดอย่างตกตะลึงทั้งที่เป็นออกบ่อยครั้ง มองดูท่าทีของครู รอลุ้นว่าจะจัดการหัวหน้าห้องยังไง

    ท้ายสุดหัวหน้าเช็ดพื้นแทนผม นิดร้องอารมณ์เสียจนหมดแรงคอแห้งเงียบไป ผมกลับมานั่งที่ และหาวสัปหงกบ้าง มารู้ตัวอีกที ธนาก็ยืนขึ้นส่งนาฬิกาเรือนหมื่นให้ครูสาว



    ธนาชอบอยู่คนเดียว เข้าห้องสมุด สัปหงก
    ผมชอบเตะบอล วันหนึ่งเตะบอลโดนหัวครูสาว ผมต้องขอโทษยกใหญ่ วันเดียวกันนั้นก็เตะโดนนิด ผมต้องขอโทษยกใหญ่กว่า

    “ฉันไม่ให้อภัยเธอ”นิดว่าเสียงแข็งราวกับถอดบทอารมณ์ออกมาจากตัวร้ายในละครหลังข่าว ผมหน้าซีดผงกหน้ารับ แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องมายอมตามเธอคนนี้

    “ขอโทษ...”ผมว่าเสียงอ่อย

    “ก็บอกแล้วไงว่าไม่ยกโทษให้”

    “งี้แล้วจะให้ทำไงล่ะ”ผมถามกลับ ทันใดเธอแย้มยิ้ม

    “ทำไงงั้นเหรอ”เธอทวนคำเย้ยเสียงกวนโมโห ผมชักรู้สึก
    ไม่ค่อยดี “เย็นนี้ทำเวรแทนฉันสิ”

    ผมกลืนน้ำลายอึก มองหน้าฝั่งตรงข้ามยิ้มได้ใจหัวเราะคึกคัก “ก็ได้ งั้นหายกันแล้วนะ”

    “จ้ะ ขอบใจมาก”เธอยิ้มร่าตอบรับเสียงหวานแล้วนั่งต่อมองดูเราเล่นบอล

    หมดพักกลางวัน ผมขึ้นห้องเรียน ธนายืมหนังสือติดมือมาเล่มนั่งอ่านสงบนิ่งราวผู้ทรงศีลเข้าสมาธิ และที่หลังห้องเรียน ตี๋กับกล้องอ่านหนังสือบางอย่างท่าทางตื่นเต้นเกินปกติ ผมชำเลืองมองก่อนเดินไปดู แล้วก็รู้ต่อมาว่าตี๋ได้ไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นมา ได้หนังสือภาพการ์ตูนจากประเทศญี่ปุ่นเป็นหลักฐานยืนยัน

    หนังสือภาพสวยเป็นการ์ตูนดังที่เด็กคนไหนในห้องก็รู้จัก ทันใดผมนึกถึงธนาขึ้นมา นึกขันกับความคิดตนเอง มองดูหมอนั้นอ่านหนังสือบรรจุตัวอักษรล้วนน่าเบื่อในมือแล้ว คิดว่าหมอนี่อาจเป็นเด็กคนเดียวในห้องที่ไม่รู้จัก

    อาจารย์เข้าห้องเรียน ตี๋รีบสอดหนังสือภาพลงเก็บในโต๊ะ



    กริ่งเลิกเรียนดัง

    ผมเก็บกระเป๋าตีหน้าเซ็ง ธนาชำเลืองหางตามองผมก่อนว่า “ไม่รีบกลับบ้านเหรอวันนี้”

    “วันนี้ต้องทำเวรน่ะสิ เวรกรรมๆ”ผมบ่นเก็บของเสร็จก็นั่งแปะกับที่ มองธนานั่งซึมเซาไม่รีบกลับบ้านเหมือนเด็กคนอื่น เขาค่อยเก็บของเฉื่อยแฉะคล้ายละเลียดทานไอศกรีม ทีละเยาะย่อม “ไม่รีบเลยนะ นายน่ะ”

    “ก็ไม่รีบทุกวัน วันนี้ฉันช่วยนายทำเวรดีกว่า”

    “เดี๋ยวพ่อแม่รอนาน ไม่ต้องหรอก”

    ธนาถอนใจ “ฉันกลับบ้านเอง”
    นิดเดินผ่านยิ้มเยอะ บอกเพื่อนที่ต้องทำเวรด้วยกันว่า มีหนุ่มหล่ออาสาช่วยทำเวรแทน เล่นเอาผมหน้าแดงไปเหมือนกัน

    เพื่อนคนหนึ่งลงไปเติมน้ำ เพื่อนอีกสองคนตั้งหน้าตั้งตากวาดพื้น มองแล้วน่าชื่นชม แต่ก็น่าเสียดายผมกับธนาต้องนั่งเฉยเพราะไม้กวาดมีอยู่แค่สองอัน เดินทีมีสามอันแต่หายไปอย่างไล้ร่อยรอยอันหนึ่ง

    “ไม้กวาดมันหายไหนนะ”อยู่ๆธนาถามขึ้นขณะมองเหม่อดูการทำความสะอาด

    ผมหันมองธนา แต่ไม่รู้จะตอบยังไงได้ “ไม่รู้สิ”

    “ไม้กวาดอันที่หายไปมีขนเยอะที่สุด”

    “คงมีคนเอาไปแล้วลืมเอามาคืนมั้ง”

    ธนาบึ้งหน้า “แล้วทำไมต้องเป็นไม้กวาดอันที่มีขนเยอะสุดด้วยละ”

    ผมเงียบรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ

    “อันนั้นใช้ง่ายสุด กวาดฝุ่นผงสบายกว่าทุกอัน ฉันจิ๊กเปลี่ยนจากอีกห้องมาเองแหละ”ธนาว่าหน้านิ่ง

    “หา นาย”ผมอุทาน

    “ก็นะ”

    หลังเพื่อนสองคนกวาดพื้นเสร็จ พวกนั้นทำท่าทางเขินๆอายๆก่อนเข้าหาผมกับธนาด้วยท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม เหมือนผมกับธนาเป็นประธานบริษัทยักใหญ่ส่วนสองคนนั้นเป็นแค่พนักงานจัดทำแฟ้มเอกสาร

    สองคนนั่นว่าขอกลับก่อน ผมเห็นสองคนทำงานดีก็อนุญาตให้กลับได้ ธนาออกท่าปัดมือทำหน้าเซ็งทำเอาสองคนรู้สึกผิดไปพอตัว

    ท้ายสุดเพื่อนอีกคนเอาน้ำขึ้นมา ใช้ผ้าที่เพิ่งลงไปล้างซักเช็ดกระดานไม่ทันไรขอตัวกลับบ้าน

    ในห้องเหลือเพียงผมกับธนาถูพื้น

    หลังออกแรงช่วงไหล่แขนจนอ่อนล้า พื้นใสเงา รู้สึกเย็นเท้า รู้สึกถึงความสะอาดและอากาศชื้นแฉะในห้อง

    “ธนาลงไปเปลี่ยนน้ำให้หน่อย วันนี้เมื่อยขาไงไม่รู้ว่ะ”
    ธนาทำหน้าไล้อารมณ์เดินเชื่องช้าเหมือนพึ่งตื่นนอนพร้อมหิ้วถังน้ำ นานพอควรกว่าจะกลับมา เราสองคนเก็บเรียบร้อยก่อนกลับบ้าน ผมเอื้อมมือปิดแอร์ ธนาแทบไม่ละสายตาไปจากตัวหนังสือในมือ

    ก่อนกลับบ้านหน้าประตูห้อง

    “นัด ฉันมีของจะให้นาย”

    ผมตกใจมองหน้าเพื่อน เขาโน้มตัวเปิดกระเป๋า เอากระดาษมีตัวการ์ตูนวาดลวกๆออกมา การ์ตูนเรื่องเดียวกันที่อยู่ในหนังสือภาพการ์ตูนของตี๋

    “อะ”

    ผมรับมามองภาพสลับมองหน้าสีหน้าซึมเซาของธนาอย่างงุนงง

    “ใส่กระเป๋าเลยสิ จะถือไปเลย ไม่อายคนอื่นเหรอ”

    “เออ”ผมอึกอัก เปิดกระเป๋าใส่รูปแผ่นลงในกระเป๋า ก่อนปิดธนาพูดแทรกขึ้น

    “เฮ้ย บ้าจริง ลืมกล่องดินสอว่ะ บอยเดินไปหยิบให้หน่อยดิ ขี้เกียจเดินแล้ว”ธนาว่า

    ผมเข้าไปหยิบมาตามคำบอก แล้วกลับบ้าน นึกถึงภาพที่ธนาวาดให้ แปลกใจชอบกล



    วันต่อมาก็เกิดเรื่องอีก

    “ใครขโมยหนังสือการ์ตูนของนายตี๋ไป หา?”ครูสาวถามเสียงดุ

    นักเรียนต่างเริ่มเงียบเสียง หลายคนจับจ้องมาทางธนา และเขาสัปหงกอยู่ข้ามผม ครูสาวก้าวอาดๆมาใกล้ มือเรียวยาวตบโต๊ะธนาเสียงดังครุกคาม ธนาค่อยเงยเชื่องช้า

    “เธออักแล้วใช่มั้ย”

    เพื่อนหลายคนมองธนาสีหน้ากังวลบ้าง บางคนก็มองเหยียดๆ แค่ทะว่าบางคนกลับมองเหมือนเอาใจช่วย ผมนั่งข้างได้แต่เอาใจช่วย ธนายังเงียบไม่พูดสิ่งใด ท่าทางเขาชำนาญกับสถานการณ์ตรงหน้าเต็มทน

    “เมื่อวานเธอกับนายบอยอยู่ในห้องเป็นคนสุดท้ายใช่มั้ย”
    ผมกลืนน้ำลายอึกนึกเสียวใส้ท่าวันนี้ครูแกจะเอาจริง

    “ครูให้โอกาสเธอมามากพอแล้วนะ”ครูสาวกล่าวต่อเสียงแข็ง “แต่คราวนี้ครูคงต้องขอเชิญพ่อแม่ของเธอมาพบหน่อย”

    ธนายิ้มหัวเราะเบาเหมือนหนึ่งสะอึกในลำคอก่อนล้วนหยิบเล่มหนังสือออกมาให้ ทุกคนมองดูและพูดปากต่อปาก บางคนคงนึกสมเพศ บ้างก็คงสมน้ำหน้า แต่บางคนกลับอ่าปากค้างไม่กล้ามองสบตาธนา หนังสือภาพของตี๋วางลงตรงหน้า ธนาว่าพูดเบาแผ่ว “ผมแค่ยืมมาดูโดยไม่ได้ขอน่ะครับ แต่ถ้าจะเรียกพ่อแม่ผมว่าพบล่ะก็ ผมก็อยากจะพบอยู่เหมือนแหละ พ่อแม่ผมน่ะ”



    ท่ามกลางความตกตะลึงหนึ่งละลอกใหญ่

    ธนากลับนั่งที่โต๊ะ ดีที่กระทรวงศึกษาออกกฎห้ามไม้เรียว ไม่งั้นเขาคงนั่งไปไม่ได้อีกนาน ทว่าตอนนี้ที่น่าเป็นห่วงคือหูของเขา ผมไม่กล้าสบตาธนาจนหมดคาบเรียน ทุกคนลุกก้าวออกจากห้อง เหลือเพียงธนากับผม ธนานั่งเบ้หน้าปิดหู เหมือนหูยังชาแปลบอยู่

    “ครูน่าจะเชิญพ่อแม่ฉันมาพบ”ธนาพูดยิ้มๆ “แม่ฉันตายตอนฉันยังเล็ก ส่วนพ่อติดคุกข้อหาขโมยของว่ะ”

    ผมกลืนน้ำลาย นิ้งเงียบฟัง

    “พ่อเป็นคนดี แต่ในโลกระบบทุนนิยมความดีของพ่อไม่ค่อยมีคุณค่านัก พ่อทำงานเช็ดของสินค้า วันหนึ่งเพื่อนร่วมงานขโมยของ เพราะไปติดหนี้พนันบอลกำลังจะถูกฆ่า มีลูกสาวอายุแค่สองเดือน เจ้าของจับได้ว่ามีคนขโมย พ่อออกรับแทน และติดคุก”ธนาหยุดกระแอมไอขำในลำคอ “พ่อฉัน โง่ชะมัด”

    ผมเบือนหน้ามองผ่านธนาออกนอกหน้าต่าง กลืนน้ำลายอีกครั้งก่อนกั้นใจถาม คำถามยากจะเอ่ย “ทำไมทำแบบนี้”

    “ก็ ขโมยของน่ะ มันไม่ดี”

    “แล้วมารับผิดทำไม”

    ธนาถอนหายใจ “ก็นะ ไม่รู้เหมือนกัน ไม่มีเหตุผล ถ้ามีก็ไม่แน่ใจว่าคืออะไร ยังไงก็อย่าไปเคลียดเลยนา”ธนาว่าจบหยิบเอาหนังสือภาพของตี๋ออกมาจากใต้โต๊ะเฉย ส่งให้ผม “อยากดูไม่ใช่เหรอ เสร็จแล้วก็เอาไปคืนนะ”

    ผมหนังสือภาพเปิดดูยิ้มๆรู้สึกของในมือไม่มีค่าสักนิดหากเทียบกับการกระทำที่ธนาเพิ่งทำ “แล้ว นายรู้ได้ไง”

    “อ๋อ ก็นะ ต้องขอโทษด้วยที่นั้นเป็นความอัจฉริยะขนานแท้ของฉัน”ธนาตอบยิ้มภูมิใจ “แค่นายบอกให้ฉันลงไปเปลี่ยน นั้นก็ประหลาดเหลือเชื่อแล้ว แถวฉันแอบเห็นนายมองไปที่หลังห้องตั้งหลายครั้ง”

    “นายก็เลย วาดรูปนั้นให้ฉันไปนั่งดูที่บ้านแทนละสิ”ผมว่าพลางเปิดพลิกหนังสือภาพ

    “สวยละสิ ก็นะ นั้นก็เป็นอัจฉริยภาพอีกอย่างหนึ่งของฉัน”

    “จังหวะที่ฉันเปิดกระเป๋าไว้ นายให้ไปหยิบของในห้อง แล้วก็คว้ามับเลยสิ”

    ธนานึกขำ “นายเปิดกระเป๋าให้ฉันเองเลยนะ มันเหมือนตบหน้ากันดื้อเลยแหละ แทบจะอดขำไม่ได้ หลังจากนั้นพอนายเดินลับไป ฉันขำกลิ่งแทบแย่”

    ผมหัวเราะยิ้มปิดหนังสือในมือพลางส่ายหน้า”บ้าจริงๆ โดยนายขำซะขนาดนี้ เจ็บใจนัก”

    ธนาถอดหายใจ ยังขำในลำคอเป็นระยะไม่หาย ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะเหมือนหยุดไม่อยู่ ผมพินิจมองหนังสือภาพในมือไปมา หน้าหลังก่อนว่า

    “ไม่น่าเชื่อนะว่าไอ้นี่ จะทำให้คนอย่างฉันริเป็นขโมย”

    “ก็นะ มันก็ดูดี แต่พวกวัตถุเหล่านี้ มันลดค่าความเป็นคนของเราลง จะว่าทีเดียวก็ไม่ได้ โลกปราศจากวัตถุ มันก็ว่างเปล่า ไม่มีการพัฒนาเหมือนยุคคนป่า”ธนาถอนใจ “ใครจะทนแบบนั้นได้ว่าไหม”

    “แต่วัตถุก็ยังจะลดค่าความเป็นคน”

    “วัตถุมันก็อยู่ของมันนั้นแหละ คนต่างหากที่ให้ค่าแทนค่า ทั้งลดค่าตนเอง ลดค่าผู้อื่น ฉันคิดว่าค่าของตัวเราก็อยู่ที่ตัวเรากับหน้าที่เราในสังคมที่เราอยู่นี่แหละ”

    ผมวางหนังสือภาพลงบนโต๊ะ มองสบตาธนาอย่างมีความหมาย แล้วถามต่อ “อืม นายก็ถูกลดค่าเยอะนะ ใครก็เข้าใจก็นายมันขี้ขโมย”

    “ถ้าทุกคนเอาแต่นั่งมองดูแล้วตัดสินคนอื่นโดยไม่ทำอะไรแล้วล่ะก็ ยังไงพวกเขาก็ไม่ทำอะไร พวกนั้นก็เหมือนไม่มีตัวตนอยู่แล้ว ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องสนใจ จริงไหม ฉันสนแต่ คนที่ลุกขึ้นมา มองลงมือค้นหาความจริง”

    ผมหัวเราะในลำคอเบา “ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นอัจฉริยะเหมือนนายนะ”

    “แต่มนุษย์ทุกคนก็พัฒนาได้ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา วันหนึ่งครูแกอาจรู้ความจริง แล้วมองฉันใหม่ก็ได้”
    ผมลุกขึ้นยืน เลยเวลามามากแล้ว “กลับเถอะ”

    “ฉันไม่รีบ กลับไปเจอแต่ยาย ฉันเบื่อยายแล้ว ขอให้ยายพักอยู่บ้าน ไม่ต้องมานั่งดูแลฉันดีกว่า”

    “งั้นกลับก่อนนะ”ผมโบกมือลาจากห้อง

    ธนาฟุ่บงีบสัปหงกทันควันเหมือนทนฟังเรื่องน่าเบื่อมาตลอด

    จากคุณ : smallAuToJ - [ 19 มี.ค. 51 22:09:55 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom