เรามักจะมีคำถามกับตัวเองเสมอว่า ทำไมครอบครัวเราถึงไม่เหมือนคนอื่น เท่าที่จำความได้คำว่าครอบครัวของเราก็คือ แม่ ตา และยาย เรามักสงสัยอยู่เสมอ
แล้วพ่อหายไปไหน
ทุกครั้งที่ถามแม่ คำตอบที่ได้คือความว่างเปล่าพร้อมกับสายตาที่แสดงออกถึงความรู้สึกที่เด็กอย่างเราไม่เคยเข้าใจ
แต่คงเป็นเพราะ ความอบอุ่นที่ได้รับจากแม่ รวมทั้งตาและยาย จึงทำให้เราไม่มีความรู้สึกว่าชีวิตได้ขาดอะไรไป จนกระทั่งวันหนึ่ง
ครั้งแรกที่ได้เจอกับพ่อตอนนั้นเรากำลังจะเข้าเรียน ป.1 พ่อมาหาที่บ้านพร้อมทั้งพาเราไปซื้อของใช้สำหรับวันเปิดเทอม
ตอนนั้นเองที่เราเริ่มจะจำได้ว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่เคยให้เราขี่คอตอนที่เรายังเด็กมากๆ คิดอยู่เสมอว่าเป็นความฝัน จนวันนั้นถึงได้รู้ว่าเค้าคือ พ่อ
ขณะนั่งอยู่ในรถเรา นั่งตัวลีบอยู่ริมประตู เพราะความไม่คุ้นเคยก็เลยไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่นั่งเงียบไปตลอดทางจนกระทั่งซื้อของเสร็จ
ใช่พ่อเองก็เงียบไม่พูดอะไร นอกจากเวลาซื้อของจะถามว่าชอบมั้ย
หลังจากคราวนั้นทุกครั้งที่จะขึ้นชั้นเรียนใหม่ พ่อจะมาหาเพื่อพาเราไปซื้อของ
มีอยู่ครั้งนึงพ่อมาหาที่โรงเรียนขออณุญาตครูเพื่อออกไปกินข้าวตอนพักเที่ยงข้างนอก
นั่นเป็นอาหารมื้อแรกระหว่างเรากับพ่อ ในความรู้สึกครั้งนั้นอาหารมันช่างฝีดคอเหลือเกิน เรารู้สึกเหมือนกินข้าวกับคนแปลกหน้า
จวบจนกระทั่งเราเติบโต เข้าเรียนมัธยมปลาย พ่อขอแม่ให้เรามาอยู่ด้วยเพราะพ่ออยากจะดูแลเราบ้าง แม่คิดว่าเราก็เริ่มโตแล้วก็อยากให้รู้จักกับพ่อตัวเองมากขึ้นจึงยอมให้เรามาอยู่บ้านพ่อ
หลายคนคงคิดว่าเราได้มาอยู่กับพ่อคงเจอกันตลอดเวลา แต่เปล่าเลย
บ้านของพ่อ คือบ้านที่พ่อซื้อเอาไว้ให้ลูกๆอยู่ ดูแลกันเอง คือมีพี่ชายกะเราและน้องอีกหนึ่งคน โดยที่พ่อจะมาหาอาทิตย์ละครั้ง
ทุกครั้งที่พ่อมาบ้าน เราพยามเลี่ยงตลอดโดยการหมกตัวอยู่ในห้อง ทำไมน่ะเหรอ คงเป็นเพราะเราไม่รู้สึกผูกพันธ์ด้วย และพ่อก็เป็นประเภทที่ไม่แสดงความรู้สึกอะไรนอกจากดุ และไม่ค่อยพูดจา
ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพ่อ ได้พี่ชายเป็นคนประสาน พี่ชายมักจะบอกว่า พ่อมีทิฐิสูงและแสดงความรู้สึกไม่ค่อยเก่ง แต่พ่อรักและเป็นห่วงลูกทุกคน
เราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่เพราะต้องเจอกันทุกอาทิตย์ก็เลยทำให้เราเริ่มเปิดใจให้พ่อทีละนิด
เราอยู่บ้านพ่อจนใกล้เรียนจบมหาลัย พ่อก็ยังคงเป็นพ่อคนเดิม เฉยชา ไม่แสดงความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น
มานึกดูอีกที พ่อแสดงความรู้สึกไม่เก่งจริงนั่นแหละ ทุกครั้งที่เราเรียนได้เกรดดี พ่อไม่เคยชมว่าเก่ง แต่จะซื้อของมาเป็นรางวัลให้ทุกครั้ง
แม้กระทั่งวันที่เราเรียนจบรับปริญญาพ่อก็แค่บอกว่าฝากงานให้แล้ว ไม่ต้องไปหางานที่อื่นทำ แต่เราปฏิเสธเพราะไม่อยากอยู่ใต้เงาของพ่ออีกต่อไป
การปฏิเสธพ่อครั้งนั้นเป็นต้นเหตุของความบาดหมาง เพราะพ่อไม่ชอบได้ยินคำว่าไม่จากปากของลูก เพราะเราก็เป็นคนนิสัยไม่ยอมใครเหมือนกัน เมื่อตัดสินใจแล้ว จึงไม่รู้สึกเสียใจที่ต้องปฏิเสธความหวังดีของพ่อ พ่อโกรธเรามากที่ไม่เชื่อฟัง และคิดว่าเราอวดดี
จากนั้นเราก็ไม่เคยไปหาพ่อหรือติดต่อพ่ออีกเลย เราไปย้ายไปทำงานต่างจังหวัด
เป็นเวลาเกือบสองปีได้ที่เราห่างหายจากพ่อ
จนวันหนึ่งพี่ชายโทรมาบอกว่าพ่อขับรถชน เรารีบนั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพวันนั้น
จากสนามบินก็ตรงมาหาพ่อที่โรงพยาบาล ในห้องไอซียูเราเห็นพ่อนอนมีสายอะไรก็ไม่รู้ระโยงระยางเต็มไปหมด เราเดินไปหาพ่อที่นอนอยู่บนเตียงแล้วจับมือพ่อ บอกพ่อว่า
พ่อ หนูมาแล้วนะ
มือพ่อขยับ รับรู้ว่าเรามาแล้ว แต่พ่อพูดกับเราไม่ได้ เราขอปากกากับกระดาษจากพยาบาล รู้ว่าพ่ออยากพูดอะไรบางอย่างกับเรา
พ่อพยามเขียนลงในกระดาษที่เรายื่นให้พ่อ ลายมือพ่อโย้เย้ในนั้นมีใจความว่า
พ่อขอโทษ
น้ำตาเราไหลโดยไม่สามารถสะกดกั้นได้ บอกกับพ่อไปว่า
หนูก็ขอโทษ หนูไม่ได้โกรธพ่อแล้ว หนูขอโทษ
เราเห็นน้ำตาและรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากพ่อ นั่นเป็นครั้งแรกที่เราเห็นพ่อร้องไห้ และครั้งสุดท้ายที่พ่อยิ้มให้เรา
พี่ชายมาบอกเราตอนหลังว่า พ่อมักพูดอยู่เสมอว่า เราคงโกรธพ่อมาก ถึงไม่เคยติดต่อหรือโทรหาพ่อเลย
เราเองลูกพ่อเต็มตัวเพราะทิฐิที่เรามี จึงทำให้ปัญหาระหว่างเราสองคนไม่เคยได้แก้ไข
หากมีใครถามเราว่าเสียใจมั้ย เราตอบได้เพียงว่า มันมากกว่าคำว่าเสียใจ เพราะเรารู้สึกผิดจนถึงทุกวันนี้
รู้สึกผิดที่เราช่างร้ายเหลือเกินกับผู้ให้ชีวิตเรา
รู้สึกผิดที่เราไม่เคยรู้เลยว่าพ่อรักเรา
รู้สึกผิดที่ได้รู้ในเวลาที่สายเกินไปว่าเราก็รักพ่อเหมือนกัน
จากคุณ :
ข้าวโพดแมวติสต์แตก
- [
22 มี.ค. 51 12:30:59
]