อีกเรื่อง...ที่พิสูจน์ไม่ได้ 8 ผู้อาศัยในความฝัน
เรื่องชวนขนหัวลุกเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผมได้รับฟังจากน้องที่ทำงานคนหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะน่ากลัวทีเดียว ดังนั้น ผมจึงขออนุญาตผู้เล่าเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวให้ผู้อ่านท่านอื่นๆ ได้รับทราบและร่วมอยู่กับประสบการณ์อันน่าสะพรึงนี้
และสำหรับเรื่องเล่าตอนนี้ ผมขอใช้คำว่า ผม แทนตัว น้องที่ทำงาน เพื่อให้ง่ายต่อการถ่ายทอดเรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้
........................................
เนื่องจากที่ทำงานใหม่ของผมอยู่ในเขตปริมณฑลซึ่งห่างจากบ้านของผมเป็นระยะทางมากโขอยู่ การเดินทางมายังที่นี่ก็ยังคงต้องใช้เวลามากเนื่องจากการคมนาคมยังคงไม่สะดวกเท่าที่ควร ดังนั้น ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ที่คือการเช่าหอพัก
หอพักหลังนี้เป็นหอพักที่เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ทำงานอยู่กันหลายคน และนั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจเลือกที่จะพักหอพักแห่งนี้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
อาคารหอพักสีชมพูทั้งหลังหลังนี้มีสี่ชั้น ความกว้างและปริมาณห้องไม่มากมายอะไรนัก หากผมจะมองเห็นข้อดีก็คงจะเป็นเพราะอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานนัก อาหารการกินบริเวณนั้นก็ค่อนข้างจะหาได้ง่ายกว่าย่านอื่นในเวลากลางคืน และเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายผมจึงอยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอีกคนหนึ่ง
ช่วงแรกของการพักอาศัยอยู่ในหอพักแห่งนี้ หากจะว่าทุกอย่างดูเป็นปกติดีก็อาจจะว่าได้ แต่ในความรู้สึกลึกๆ ก็เหมือนจะมีความกังวลอะไรบางอย่างถูกเก็บลึกๆ อยู่ข้างใน
...ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยาย และไม่อาจจะเล่าให้ใครฟังได้...
เย็นวันหนึ่งหลังเลิกงาน เป็นวันที่ผมรู้สึกเพลียมาก หากแต่วันนี้เพื่อนๆ ที่ทำงานรวมกลุ่มกันไปเที่ยวที่ห้องของผม
...ห้องที่ให้ความรู้สึกแปลกๆ เวลาที่ต้องอยู่คนเดียว...
เมื่อคนในห้องเพิ่มมากขึ้น เรื่องต่างๆ ก็ถูกขุดคุ้ยกันขึ้นมาเล่าเพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่พวกเราอย่างออกรส และเมื่อเรื่องต่างๆ ถูกเล่าไปเรื่อยๆ
ดังนั้น หนึ่งในเรื่องที่จะขาดเสียมิได้สำหรับการเล่าในวงเพื่อความบันเทิง...เรื่อง ผี ก็ถูกเล่าออกมาจนได้
เรื่องผีเรื่องแล้วเรื่องเล่าถูกเล่าออกจากปากคนโน้นทีคนนี้ทีท่ามกลางความไม่สบายใจของผมซึ่งมีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในเวลานั้น ผมนึกอยู่ในใจให้เปลี่ยนเรื่องคุยกันเสียที
เฮ้ย...คุยกันเรื่องนี้น่ะ ไม่กลัวเจ้าที่เจ้าทางเค้าโกรธหรือไง เดี๋ยวเค้าก็หาว่าลองดีหรอก...ไม่เอา ไม่เอา...เปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า
...เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มโพล่งขึ้นมาเหมือนจะรู้ใจ...ทุกคนในกลุ่มหันมองหน้ากันแต่ไม่มีใครพูดอะไรต่อ...
เมื่อเรื่องที่เป็นเรื่องยอดนิยมในวงเล่าถูกบอกให้หยุดอย่างเสียไม่ได้ไปแล้ว ดังนั้น ทุกคนที่นั่งอยู่จึงไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกันต่อไป ต่างคนจึงต่างแยกย้ายไปแต่ละส่วนของห้องตามแต่อัธยาศัยของตน
เพื่อนคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น...คนหนึ่งนั่งดูทีวี...คนหนึ่งยืนกดโทรศัพท์มือถือ...คนหนึ่งนั่งเล่นอยู่บนเตียง
ผมซึ่งมีอาการง่วงมาตั้งแต่ช่วงเย็นตัดสินใจทิ้งตัวลงนอนทางขวางบนเตียงข้างๆ กับเพื่อนที่นั่งเล่นอยู่บนเตียง ความสบายที่ได้เอนหลังทำให้ผมพลิกตัวเล่นไปมาบนเตียง
ด้วยความนึกสนุกผมก้มหัวลงที่ใต้เตียงอีกฝั่งซึ่งใต้เตียงนั้นเป็นที่โล่งๆ เนื่องจากเป็นเตียงซึ่งเป็นโครงเหล็กประกอบ
และ...เมื่อสายตามองผ่านช่องว่างใต้เตียงไปที่อีกฝั่งหนึ่ง...ผมเห็นขาสองคู่กำลังแกว่งอยู่อย่างทอดอารมณ์ด้วยจังหวะการแกว่งที่แทบจะไม่แตกต่างกันเลยแม้แต่น้อย
...ขาสองคู่อย่างนั้นหรือ...ก็คนที่นั่งอยู่บนเตียงฝั่งนั้นมีคนเดียวนี่นา...
ด้วยความสงสัยและไม่แน่ใจตัวเองเท่าที่ควร ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงและมองดูรอบๆ ห้องอีกครั้ง...เพื่อนทุกคนยังคงอยู่ที่เดิม
...ยังคงนั่งขัดสมาธิเฉยๆ...ยังคงดูทีวี...ยังคงคุยโทรศัพท์...และ...ยังคงนั่งเล่นอยู่บนเตียง...
...เพียงลำพัง...
ผมล้มตัวลงนอนและมองลอดใต้เตียงอีกครั้งด้วยสมองอันงุนงง และที่ใต้เตียงนั้น ภาพทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ขาทั้งสองคู่ยังคงแกว่งอยู่อย่างไม่ขาดระยะ
สมองอันว่างเปล่าทำให้ผมมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ยอมละสายตา
...ทันใดนั้น...บางสิ่งบางอย่างค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป...
ขาคู่หนึ่งจากสองคู่นั้นเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง มันค่อยๆ คล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ เนื้อเริ่มปริให้เห็นรอยแยกและเลือดสีดำข้นๆ ค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากรอยปรินั้น
น้ำตาผมเริ่มไหลซึมออกมาอย่างที่ไม่ตั้งใจ สายตาไม่กล้าละออกจากเป้าหมาย
...ร่างกายเบาโหวง...จิตใจล่องลอย...
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง หัวใจยังคงเต้นแรงและน้ำตายังคงไหลซึมๆ ออกมา นาฬิกาบนหัวเตียงบอกเวลาตีสาม
ผมนึกทบทวนอยู่สักครู่ก่อนจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้
...เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาหลังเลิกงาน ผมง่วงมากและกลับเข้ามายังห้องพักโดยที่ไม่มีใครแม้เพียงคนเดียวมาเที่ยวที่ห้องของผม ความง่วงทำให้ผมหลับไปอย่างไม่รู้ตัว...
...เรื่องที่ผมเห็นเป็นเพียงเรื่องในความฝันเท่านั้น...มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง...ถึงแม้ผมจะคิดอย่างนั้น แต่ความรู้สึกแปลกๆ ทำให้ผมไม่กล้านอนต่ออีกต่อไป...
ผมลุกขึ้นเปิดไฟในห้องและนอนลืมตาคลุมโปงอยู่จนกระทั่งเพื่อนของผมลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปเข้าทำงานในช่วงเช้ามืด
ผมเปิดผ้าห่มออกและเห็นเพื่อนของผมกำลังจะปิดไฟในห้องก่อนที่จะออกไปทำงาน
ไม่ต้องปิดไฟนะ
เพื่อนของผมหันกลับมาตามเสียงของผม และยังคงพูดกับผมด้วยความหวังดี
อ้าว...ทำไมล่ะ...ไม่ปิดไฟแล้วจะนอนหลับเหรอ
ไม่ต้องปิดไฟ
เสียงผมแข็งขึ้นเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงความจริงจังในคำพูด ดังนั้นเพื่อนของผมจึงเดินออกไปจากห้องด้วยอาการงุนงง
หลังจากที่ท้องฟ้าเริ่มเผยให้เห็นความสว่างเต็มที่แล้ว ผมลุกจากที่นอนขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะไปทำงานเช่นเดียวกับทุกวัน ฝันร้ายเมื่อคืนที่ผ่านมาทำให้ผมมีอาการงัวเงียและหวาดผวาอยู่ไม่น้อยทีเดียว
หลังจากจัดการธุระในช่วงเช้าเรียบร้อยแล้วผมเดินไปจับลูกบิดประตูเพื่อที่จะออกไปนอกห้อง
...แป๊ก...เสียงสลักลูกบิดถูกดีดออกจากตัวล๊อก...
...กึกๆๆ...เสียงประตูไม่ยอมเปิด...มันติดอะไรอยู่...
ผมเงยหน้าขึ้นมองที่ด้านบนของลูกบิดประตู และสิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมตกใจสุดขีด
...กลอนประตูซึ่งเป็นแบบสลักเลื่อน...มันถูกล๊อกอยู่อย่างเรียบร้อยทั้งสองตัว...
ก็ในเมื่อช่วงรุ่งสางที่ผ่านมา มีเพียงผมกับเพื่อนเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่ในห้องแห่งนี้ และเพื่อนก็ออกไปก่อนในช่วงเช้ามืด
...แล้วใคร...เป็นคนลงกลอนประตูในห้อง...ใครกัน...!!!...
........................................
ในเย็นวันนั้นน้องคนนี้ก็จัดแจงซื้อดอกไม้ธูปเทียนและพากันไปไหว้ศาลซึ่งตั้งอยู่หน้าหอเพื่อเป็นการบอกกล่าวว่าขอมาอยู่อาศัยและขอขมาหากมีสิ่งใดที่ล่วงเกินไป และหลังจากวันนั้นก็ดูเหมือนสิ่งต่างๆ จะเข้าที่เข้าทางดี
...เพียงแต่ในบางครั้ง...ความหวาดระแวงก็ยังคงตามมาหลอกหลอนให้เสียวสันหลังอยู่เป็นระยะๆ อย่างช่วยไม่ได้...
จากคุณ :
KTHc
- [
22 มี.ค. 51 22:45:29
]