"คนเราไม่เคยนึกถึงตีนเมื่อรองเท้าไม่กัด"
คนเรามักมองไม่เห็นของดีที่ตนมีอยู่จนเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว
ไม่เห็นคุณค่าของสองแขน จนกระทั่งมันอยู่ในเฝือก
ไม่เห็นคุณค่าของงาน (ที่เราว่าแย่ๆ) จนกระทั่งตกงาน
ไม่เห็นคุณค่าคนรัก (ที่เราว่าไม่เพอร์เฟ็กท์) จนกระทั่งเธอหรือเขาไปแต่งงานกับคนอื่น
ไม่เห็นคุณค่าของพ่อแม่ (ที่เราว่าขี้บ่น) จนกระทั่งไปงานศพของท่าน
สิ่งที่คนจำนวนมากเลือกทำคือ บ่นว่าตนเองไม่มีความสุข ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่รวย ไม่ได้เป็นเจ้าของ
สิ่งนั้นสิ่งนี้ และเอ่ยประโยคยอดฮิตว่า "มันไม่แฟร์เลย"
ผมเจอเรื่องเล่าแนวปรัชญา ในเว็บบอร์ดของอะเดย์แม็กกาซีน
เป็นแนวคิดเรียบง่ายและมีความซับซ้อนอยู่ในตัว
ปรัชญาเป็นสิ่งที่ต้องนำมาขบคิดพิจารณา ถามคำถามให้ครบทุกมุมมอง
ถาม ถาม และ ถาม เกี่ยวกับสิ่งที่นำมาพิจารณา
จนกว่า จะพอใจกับคำตอบที่เหมาะสมและหัวใจตนเองจะยอมรับได้อย่างแท้จริง
แต่ส่วนใหญ่ คนส่วนมาก จะเหนื่อยกับการถามคำถาม ต้องการให้จบในวันนั้น นาทีนั้นและขณะนั้น
ขุดเค้นตนเองจนความคิดมึนตึง ลืมคิดไปว่า พักให้หายเหนื่อยจนเรี่ยวแรงกลับมา จึงถามกันอีกทีก็ได้
ใช้เวลานานกว่านั้นอีกนิดหน่อย รอคอยไม่นาน แล้วถามกันใหม่
ก่อนจะด่วนสรุปว่า ตนเองสิ้นแล้วซึ่งความสุข และ ชีวิตไม่มีความยุติธรรม
บางคนบอกว่าความสุขคือการมีเงิน
ผมลองให้ไปกู้เงินนอกระบบ แล้วถูกโทรทวงเช้าทวงเย็น หรือ สินเดือนต้องจ่ายหนี้จนไม่พอใช้
มีเงินแล้วไง ความสุขมีไหม
เขาตอบใหม่ ขอให้มีเงินแบบไม่มีหนี้
ก็ให้ประหยัดเก็บออม ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตออกไป
แต่ส่วนมากพอตอบแบบนี้ ก็ยอมรับกันไม่ค่อยได้ หรือ ทำไม่ไหวทั้งนั้น
ลองหาอ่านประวัติบุคคลสำคัญ หรือ ชีวิตผู้คนสามัญที่ทำอะไรพิเศษๆสักคน
จะทราบดีว่า ทุกคนมีเวลาที่ท้อแท้ เวลาที่สงสัย หาคำตอบให้ตนเองแล้วเดินตามคำตอบที่เหมาะกับตนเอง
ชีวิตคนเหล่านั้น มีความเปลี่ยนแปลง เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี
ไม่มีสักคนตัดพ้ออีกต่อไปว่าชีวิตไม่มีความสุขและไม่มีความยุติธรรม
เพราะ
มีคำตอบที่ถามตนเองเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
ผมชอบการสนับสนุนให้เป็นตัวของตัวเอง
แต่ขอให้ตอบกันได้ด้วยว่า ตัวเอง ประกอบขึ้นมาจากวิธีคิดหรือคำถามอะไรบ้าง ตอบตัวเองดีหรือยัง
ทำได้อย่างที่ตอบตัวเองไหม
หัวเราะกับตัวเองหรือร้องไห้กับตัวเองอย่างยินดี โดยไม่โทษคนอื่นได้ไหม
ในคำจำกัดความเรื่องความสุข สำหรับตัวผมเองต้องผ่านกระบวนการเช่นนั้นมาสักนิด
และโปรดจำไว้เลยว่า เราเกิดมาอย่างไม่เสมอภาค บนความไม่เป็นธรรม
ด้วยกฏอะไรสักอย่าง แม้แต่เวลาเกิดและเวลาตายก็ไม่เท่ากัน
แม้ทุกชีวิตต้องหายใจเหมือนกัน แต่จำนวนครั้งการหายใจของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน
ดังนั้นชีวิตมันไม่แฟร์แน่นอน แล้วจะบ่นไปก็ไม่มีประโยชน์สักนิด
อย่าเอามุมมองของความเท่าเทียมไม่เท่าเทียมทำร้ายตนเองกันอีกเลย
ยิ่งถามเรื่องนั้น คุณค่าของตนเองก็ลดลงไปทุกที ติดลบลงไปเรื่อยๆ
เป็นสิ่งที่ง่าย แต่ซับซ้อนพอสมควรจนเห็นว่ายาก
ความยากคือการจัดการสิ่งที่ซับซ้อนให้เป็นระเบียบแบบแผน เป็นขั้นเป็นตอน แล้วเดินตามนั้น
มีคนชอบพูดกับผมว่า เอาที่เป็นรูปธรรมสักนิดไม่ได้หรือ
รูปธรรมเป็นเรื่องส่วนบุคคล ผมเล่าได้เพียงแนวคิดและรูปธรรมของผม
รูปธรรมของเขาและทางเดินของเขา จำเป็นต้องตอบเอง
ดังนั้น สิ่งที่คุยกันมาทั้งหมดนี้
จึงเรียกว่า ปรัชญา นะครับ
จากคุณ :
กาแฟสอง
- [
23 มี.ค. 51 10:36:50
]