ฉันค่อนข้างตื่นเต้นกับการเดินออกนอกประเทศครั้งแรกในชีวิต อดคิดไม่ได้ว่าถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ และได้กลับมาเยี่ยมบ้านบ้าง คงทำให้แม่มีความสุขมาก ฉันคิดไว้ว่า จะลองพยายามสืบหาญาติของแม่ที่เมืองไทย อย่างน้อยฉันก็อยากจะรู้จักเอาไว้ เผื่อวันข้างหน้าจะได้มีโอกาสไปมาหาสู่กันบ้าง
อากาศที่เมืองไทยค่อนข้างร้อนอบอ้าว ฉันถอดเสื้อโค้ชออกขณะเข็นกระเป๋าเดินทางมาตามทางออกด้านหน้า น้ำเสียงคุ้นเคยที่เรียกชื่อฉัน ทำให้ต้องหันมองกลับไป
"ยินดีต้อนรับสู่ประเทศไทยครับ คุณสริสตา" คุณเมธีว์ทักทายฉันพร้อมด้วยรอยยิ้มบางๆ
เขาดูเปลี่ยนไปบ้าง ผิวเข้มกว่าเดิม อาจคงเป็นเพราะออกไซด์งานอยู่บ่อยๆ หนวดเคราเขียวทำให้ใบหน้าดูเคร่งขรึมขึ้น หากแต่ดวงตาที่อ่อนโยนคู่นั้นยามมองมายังคงเหมือนเดิม
"ขอบคุณค่ะ มารอนานหรือเปล่าคะ" ฉันถามกลับไป คิดไม่ออกว่าจะพูดอะไรกับเขาดี รู้สึกกลัวนิดๆคล้ายกับเด็กที่ทำความผิดมา
ฉันขึ้นนั่งบนรถข้างหน้ากับเขา จุดมุ่งหมายคือชลบุรี บ้านของเขา ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในรถชั่วโมงกว่าๆ ฉันเป็นจะฝ่ายพูดคุยถามโน่นถามนี่เสียเป็นส่วนใหญ่ คุณเมธีว์ดูไม่ช่างคุยเหมือนแต่ก่อน ทำให้ฉันอดเป็นวัวสันหลังหวะไม่ได้ว่าเขาไม่พอใจอะไรฉันหรือเปล่า
ลุงปราชญ์ดีใจมากที่ได้เจอฉัน ต้อนรับดูแลเป็นอย่างดี อาหารไทยแท้ๆมื้อแรกทำให้ฉันคิดถึงแม่ขึ้นมาจับใจ แม่ของฉันก็ทำอาหารไทยอร่อยไม่แพ้ใครเหมือนกัน
ฉันพูดคุยกับลุงปราชญ์และคุณเมธีว์อยู่พักใหญ่ จึงขอตัวออกมาสูดอากาศนอกบ้าน ซึ่งอยู่ไม่ห่างทะเลมากนัก ลุงปราชญ์บอกว่าถ้าเป็นตอนกลางวันคงเดินไปได้ ใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีก็ถึง แต่คงไม่ปลอดภัยนักในตอนกลางคืน
ฉันสังเกตุได้ถึงความเปลี่ยนไปของคุณเมธีว์ เขาพูดน้อยมากเหมือนคนที่ไม่เคยสนิทกันมาก่อน แต่ฉันก็พยายามที่จะไม่คิดมาก เขาเดินออกมาเรียกฉันให้เข้าบ้าน หลังจากที่ฉันออกมานั่งบนม้าหินหน้าบ้านอยู่นาน ฉันเห็นบ้านหลังหนึ่งปลูกอยู่ในรั้วเดียวกัน แต่ไม่ได้เปิดไฟ จึงถามเขาว่า
"บ้านญาติของลุงปราชญ์เหรอคะ"
"เปล่า ของผมเอง ปลูกไว้สามสี่ปีแล้วมั้ง" เขาตอบ
"บ้านที่คุณอยู่ก็ออกจะใหญ่โต อยู่กันแค่สองคนก็น่าจะโอเคนี่คะ"ฉันพูดต่อ
"ตอนแรกตั้งใจปลูกหลังนั้นเพราะเข้าใจว่าจะมีคนมาอยู่เพิ่ม" เขาพูดน้ำเสียงเรียบๆและกล่าวต่อว่า
"แต่พอไม่มีใครมาเลยต้องอยู่เอง สลับกับหลังที่พ่ออยู่"
ฉันไม่กล้าถามว่า คนที่เขาพูดถึงคือใคร กลัวว่าจะทำให้เขารำคาญเสียเปล่าๆ เท่าที่ดูก็พอจะรู้ว่าเขาไม่ค่อยจะยินดียินร้ายกับการมาของฉันนัก
"อยากจะไปเที่ยวที่ไหนบ้างครับ ผมหยุดงานสองวัน จะได้พาไป" เขาเปลี่ยนเรื่องพูด
"ที่ไหนก็ได้ค่ะ แล้วแต่คุณเมธีว์จะสะดวก" ฉันตอบและหันกลับไปมองเขา
เขามองหน้าฉัน สายตาคู่นั้นเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง ฉันรู้สึกอึดอัดใจที่สัมพันธภาพระหว่างเราไม่เหมือนเดิม ถ้าฉันรู้ว่าเขาไม่เต็มใจต้อนรับ ฉันคงไม่ดั้นด้นมาถึงนี่
"มีเรื่องอยากจะถามค่ะ"
ฉันเอ่ยขึ้น หลังจากที่คิดว่าฉันควรจะถามให้กระจ่างดีกว่ามานั่งคิดสงสัยไปเอง เพราะฉันถือว่า ความจริงที่ได้รู้มักจะไม่ค่อยเจ็บ แต่บางอย่างที่ไม่รู้แล้วกลับเดาเอาเองนี่แหละตัวร้ายนัก
"อืมมม ว่ามาสิ" เขาตอบรับ
"ดิฉัน...เอ่ออ" ฉันชักไม่ค่อยแน่ใจขึ้นมา
"มีอะไรล่ะ" เขาถาม
"ดิฉันอยากจะรู้น่ะค่ะ ว่า....ทำอะไรผิดที่ทำให้คุณไม่พอใจหรือเปล่าคะ"ฉันถามอย่างน้อยใจ
"อะไรทำให้คุณคิดเช่นนั้นล่ะครับ" เขาถามพร้อมกับจ้องหน้าฉัน
"ไม่รู้สิคะ แต่ดิฉันรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเดิม" ฉันตอบไปตามความรู้สึก
"แล้วอะไรล่ะครับที่คุณสริสตาว่าไม่เหมือนเดิม" เขาย้อนถามฉัน
"ช่างมันเถอะค่ะ ฉันคงคิดมากไปเอง เข้าบ้านกันเถอะนะคะ" ฉันตัดบท ไม่อยากจะรู้อะไรให้มากไปกว่านี้
ฉันอยู่บ้านนอนเล่นริมระเบียงรับลม คุยกับลุงปราชญ์บ้างอยู่สองวันเต็มๆ คุณเมธีว์ติดธุระที่ที่ทำงานกลับบ้านประมาณสองทุ่มทั้งสองวัน กินข้าวเสร็จเขาก็ไปนอนค้างที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ฉันไม่ได้คิดสงสัยว่าเขายังรู้สึกดีๆกับฉันอยู่อีกหรือเปล่า เพราะความหมางเมินที่เขามีต่อฉันเป็นคำตอบที่ชัดเจนดีอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม คุณเมธีว์ก็พาฉันไปเที่ยวหาดบางแสนในวันรุ่งขึ้นตามที่บอกเอาไว้ ถึงแม้เขาจะดูเงียบๆไปบ้างแต่ฉันก็สุขใจที่ได้เห็นหาดทรายขาวสะอาดและน้ำทะเลใสๆ ...
ฉันมองทะเลที่กว้างไกล ..คิดว่าฉันทำได้ดีที่สุดเพียงแค่นี้ ฉันตัดสินใจมาหาเขา มาตามความเรียกร้องของหัวใจ แม้เขาจะไม่มีเยื่อใยใดๆหลงเหลืออยู่อีก ฉันก็ดีใจมากพอแล้วที่ได้มีโอกาสเห็นหน้าเขาอีกครั้ง
อีกอาทิตย์กว่าๆ ฉันจะต้องกลับไปบ้านเมืองของฉัน กลับไปใช้ชีวิตเก่าๆ คนเดียวอย่างเดียวดายเหมือนเดิม ฉันปล่อยอารมณ์ความรู้สึกเสียใจไปกับเกลียวคลื่นที่เห็นอยู่ลิบๆ แหงนหน้าขึ้นไม่ให้หยาดน้ำใสๆไหลออกมา
"ลมทะเลเข้าตา หรือว่าร้องไห้ล่ะครับ" เขาเดินมายืนใกล้ๆขณะถาม
ฉันยืนเงียบไม่พูดอะไร
"ดูท่าทางคุณสริสตาน่าจะชอบทะเลนะครับ"เขาถามต่อ
ฉันพยักหน้ารับเพียงเล็กน้อย
"ถ้าชอบทะเลมากก็น่าจะกลับมาอยู่ที่เมืองไทยนะครับ มาอยู่ที่บางแสนกับผม รับรองว่าได้นั่งดูทะเลทุกวันจนเบื่อแน่" เขาพูดพร้อมหัวเราะเล็กน้อย
ฉันมองหน้าเขา มองสบตาคนที่ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่น พยายามกลืนก้อนแข็งๆที่จุกอยู่ในลำคอ
"เจอคุณสริสตาครั้งนี้ ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากนะครับ แต่ว่ายังขี้แยเหมือนเดิม"
เขาพูดพร้อมทั้งดึงฉันเข้าไปในอ้อมแขน มือเขาลูบไล้เรือนผมของฉันเบาๆ
"ผมคิดถึงคุณอยู่เสมอ บางครั้งผมนั่งทบทวนว่าทำอะไรผิดบ้าง ทำไมจู่ๆคุณถึงตัดขาดจากการติดต่อกับผม"
"ฉันขอโทษ" ฉันก้มหน้าแอบซ่อนน้ำตากับอกกว้างของเขา สองแขนกอดเขาไว้แน่น
"กลับมาอยู่ที่นี่เถอะครับ อย่าให้ผมต้องรอนานไปกว่านี้เลย ปีนี้ผมอายุสามสิบห้าแล้วนะครับ แก่กว่านี้ผมคงหมดเรี่ยวแรงและกำลังใจที่จะรอ"
ใบหน้าที่ก้มต่ำลงจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ สายตาที่เว้าวอนของเขา ทำให้หัวใจฉันเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ
ร่างกายอยากจะต่อต้าน แต่ว่าความรู้สึกภายใน กลับยอมจำนนท์โดยสิ้นเชิงเมื่อสัมผัสริมฝีปากอุ่นของเขา ฉันหลับตาลง..ผ่อนลมหายใจยาว ปล่อยความรู้สึกให้ล่องลอยไปกับสัมผัสแปลกใหม่ที่นุ่มนวลอบอุ่นจากคนที่ฉันรักและผูกพันมากคนหนึ่งในชีวิต
สัมพันธภาพที่ดีของฉันและคุณเมธีว์ชัดเจนขึ้นตามลำดับ หลังจากที่เราทั้งสองมีเวลาพูดคุยปรับความเข้าใจในเรื่องต่างๆมากขึ้น เขาบอกฉันว่าเขารู้สึกเสียใจ พร้อมทั้งไม่เข้าใจที่ฉันทำตัวห่างเหินไปในช่วงสามปีที่ผ่านมา แต่เขาก็ยอมรับและเคารพสิทธิส่วนบุคคลของฉัน แม้ลึกๆข้างในจะยังห่วงฉันอยู่ และหวังว่าสักวันหนึ่งเมื่อสถานการณ์ต่างๆในชีวิตของฉันดีขึ้น ฉันคงจะมีเวลาคิดทบทวนและค้นหาความสุขให้ตัวเองบ้าง
การใช้เวลาราวๆสองอาทิตย์ที่นี่กับเขา ทำให้ฉันได้รู้จักตัวตนและรับรู้เรื่องราวในชีวิตของเขามากขึ้น คุณเมธีว์เล่าให้ฉันฟังว่า ตั้งแต่เขาเกิดมาก็รู้ว่ามีเพียงแม่ที่เป็นทุกๆอย่างให้เขา ไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม้แต่ครั้งเดียวและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นพ่อ เขาเป็นลูกที่เกิดมาด้วยความไม่ตั้งใจของผู้ใหญ่สองคน แต่ทว่าความรักความอบอุ่น ที่แม่มีให้เขา ทำให้ไม่รู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไป และไม่รู้สึกโหยหาที่อยากจะมีพ่อเหมือนคนอื่นเขา และยอมรับว่าชีวิตของเขาเขาโชคดีอย่างที่สุด ที่มีพ่อบุญธรรมที่รักเลี้ยงดูเขาเหมือนลูกในไส้
คุณเมธีว์บอกว่า ไม่มีใครเกิดมามีชีวิตที่ดีสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง อยู่ที่ว่าเราจะปรับตัวและยอมรับการเปลี่ยนแปลงของชีวิตได้มากน้อยแค่ไหน มีเรื่องบางเรื่องที่เข้ามาในชีวิตและทำให้เขารู้สึกท้อแท้บ้าง เช่นการสูญเสียแม่อันเป็นที่รัก จนทำให้เขาหมดกำลังใจที่จะเรียนต่อให้จบปริญญาโท รวมทั้งการเลิกราจากคนรักเก่า แต่เขาปรับเปลี่ยนตัวเองโดยการหันหลังให้กับความเจ็บช้ำในอดีต เลือกจดจำแต่ในสิ่งที่ดีๆ และมีชีวิตเพื่อวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป
การมาเมืองไทยครั้งนี้ ทำให้สมองของฉันปลอดโปร่งขึ้นมาก ไม่ต้องกังวลกับเรื่องงาน หรือว่าปัญหาอื่นๆ เจ้าบ้านทั้งสองคน ดูแลเอาใจใส่ฉันดีมาก จนฉันรู้สึกอบอุ่นเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ฉันสังเกตลักษณะการพูดคุยและการปฎิบัติต่อกันระหว่างลุงปราชญ์และคุณเมธีว์ บ่งบอกถึงความรักความผูกพัน ของพ่อลูกทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี อย่างนี้นี่เองที่คุณเมธีว์ว่า เขาไม่รู้สึกว่าชีวิตของเขาขาดอะไรไป
หลังจากที่คุยกันหลายๆเรื่อง สุดท้ายมาลงเอยที่เรื่องการกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยของฉัน หลังจากที่เขาเอ่ยปากขอฉันแต่งงาน
ฉันบอกคุณเมธีว์ไปว่า เขาคงไม่ต้องสงสัยว่า ฉันรักและไว้วางใจเขามากแค่ไหน แต่ฉันต้องการที่จะปรับตัวให้เข้ากับสังคมของคนไทย รวมทั้งเรียนรู้และใกล้ชิดกับเขาในฐานะคนรักให้มากกว่านี้ หากว่าทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ถึงตอนนั้นฉันก็ยินดีที่จะใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาอย่างสามี ภรรยาโดยทั่วไป ดูท่าทางคุณเมธีว์จะเข้าใจและยอมรับในจุดนี้แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนักก็ตาม
จริงดั่งคำเขาว่า เวลาที่เรามีความสุขดูเหมือนเวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว สองสัปดาห์แห่งความสุขทีฉันมีในเมืองไทย จะคงอยู่ในความทรงจำอันดีงามของฉันเสมอไป
ในวันเดินทางกลับ คุณเมธีว์ไปส่งฉันขึ้นเครื่องที่สนามบิน ฉันรู้สึกใจหายเล็กน้อยที่จะต้องเอ่ยลาเขา คุณเมธีว์ก็ดูเศร้าๆบ่นไม่อยากให้กลับ ฉันบอกเขาว่า..ฉันรักเมืองไทย..และที่สำคัญ ฉันรักเขา.. ฉันรู้ว่า..ฉันจะต้องกลับมาอีกแน่นอน
คุณเมธีว์ยิ้มกับฉันพลางพูดทีเล่นทีจริงว่า
"หวังว่าอากาศของเมืองลอนดอนไม่ทำให้คุณเปลี่ยนใจไปจากผมและเมืองไทยนะครับ"
" We will see " ฉันตอบเขากลับ พร้อมกับหัวเราะอย่างสุขใจ
----------------------------------------------------------------------------
ฉันจบการบันทึกเรื่องราวของฉันขณะนั่งเครื่องบินกลับลอนดอน จริงๆแล้วก็ไม่อยากจะกลับ เพราะฉันทิ้งหัวใจไว้ที่เมืองไทย หากแต่ภาระที่คั่งค้างอยู่ทำให้จำใจต้องจาก อีกไม่นานฉันจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนไทยเต็มตัว เพราะฉันรักเมืองไทย และรักเขาคนนั้นที่อยู่เมืองไทยอย่างหมดหัวใจ
------------------------ ขอบคุณกาลเวลา ที่พาเรามาพบกัน -----------------
แด่ คุณแม่เปรมวดี และ คุณเมธีว์ จาก สริสตา
สุดท้ายอย่าลืมฟังเพลงนี้นะคะ ขอบคุณทุกๆท่านที่พยายามอ่านจนจบค่ะ
http://www.esnips.com/doc/f63cc43a-85bf-476a-bb3a-51d95c169ed7/เนอสเซอรี่-ซาวด์---05-อยู่ตรงนี้
แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 51 03:28:13
แก้ไขเมื่อ 10 เม.ย. 51 03:03:45
แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 51 03:53:40
แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 51 02:45:47