อภิรักษ์ ชัยปัญหา
หากมีสตรีผู้หนึ่งลุกขึ้นมากล่าวว่า ผู้หญิงไม่มีความแตกต่างกับผู้ชายเลยทุกประการ ดังนั้น ผู้หญิงจึงควรได้สิทธิต่าง ๆ เช่นเดียวกับผู้ชาย ทันใดนั้นชายหนุ่มผู้นั่งฟังอยู่อีกฟากก็ลุกขึ้นมาโต้ตอบทันทีว่า ทำไมจะไม่ต่าง ผู้ชายแข็งแรงกว่าผู้หญิงเป็นไหน ๆ และที่สำคัญผู้ชายไม่อ่อนไหวง่ายอย่างพวกผู้หญิง ความดีอย่างเดียวของผู้หญิงคือความสวยงามเท่านั้น ท่านคิดว่าเหตุการณ์นี้จะจบอย่างไร จบลงอย่างสันติหรือจะจบลงด้วยความรุนแรง
ผู้ที่เรียกร้องเรื่องความเท่าเทียมกันระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายนั้น เรารู้จักกันดีในนาม นักสตรีนิยม ซึ่งเกิดจากการที่ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งสังเกตเห็นความไม่เท่าเทียมกันในการจัดสรรบทบาทหน้าที่ อำนาจทางเศรษฐกิจและอำนาจในการครอบครองระหว่างหญิงกับชายในสังคม โดยเริ่มต้นราวศตวรรษที่ 17 และได้รับการสานต่อแนวคิดนี้เรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน แน่นอนจากสังคมเดิมที่เราเรียกว่า ชายเป็นใหญ่ การลุกขึ้นมาป่าวประกาศข้อเรียกร้องของเหล่าสตรีเช่นนี้ จึงเท่ากับเป็นการท้าทายอำนาจของผู้ชายในสังคมเดิม นำมาซึ่งการตอบโต้ระหว่างหญิงชายทั้งในรูปของการ วิวาทะทางปัญญา ผลงานทางศิลปะ และการใช้ความรุนแรงเข้าปะทะกันทั้งทางตรงและทางอ้อม
สำหรับประเทศไทย แม้ว่าเราเพิ่งรับแนวคิดสตรีนิยมสายตะวันตกเข้ามาไม่นานนัก แต่ก็ปรากฏหลักฐานการเรียกร้องสิทธิของสตรีไทยมาก่อนหน้านั้น หลักฐานแรกที่ปรากฏเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ในยุคที่สังคมไทยยังมีคำพูดยั่วล้อทำนองว่า ผู้หญิงเป็นควาย ผู้ชายเป็นคน นั่นคือเหตุการณ์ที่ อำแดงเหมือน ถวายดีฎีกาต่อรัชกาลที่ 4 กรณีที่นางรักใคร่กับ นายริด และได้เสียกันแล้ว แต่ถูกพ่อแม่ของอำแดงเหมือนบังคับให้แต่งงานกับ นายภู ครั้งนั้น ในหลวงรัชกาลที่ 4 ทรงพระราชวินิจฉัยให้อำแดงเหมือนตกเป็นภรรยาของนายริด เพราะทรงพิจารณาแล้วว่า การที่พ่อแม่บังคับบุตรให้แต่งงานครั้งนั้นมีลักษณะเป็นการขายบุตร นอกจากนั้นพระองค์ยังประกาศพระราชบัญญัติลักภา จ.ศ. 1227 (พ.ศ. 2408) ระบุว่าบิดามารดาจะขายบุตรได้ก็ต่อเมื่อบุตรยินยอมและชายที่คร่าหญิงไปนั้นจะถือว่าหญิงนั้นเป็นภรรยาได้ก็ต่อเมื่อหญิงนั้นยินยอมเท่านั้นเช่นกัน ยังความซาบซึ้งมาสู้พสกนิกรชาวไทยเป็นที่ยิ่ง แต่กระนั้น จวบจนวันนี้ ข่าวสารเรื่องความรุนแรงต่อผู้หญิงไทยก็ยังปรากฏตามสื่อต่าง ๆ มิได้ขาด
อย่างไรก็ดีปัจจุบันนักสตรีนิยมบางสาย ได้ลดความสำคัญของการตั้งคำถามว่าชายกับหญิงแตกต่างกันอย่างไรลงมากแล้ว และนักคิดฝ่ายชายก็เริ่มเห็นแง่งามของความเป็นหญิงมากขึ้นจากเดิมที่เคยเห็นว่าเป็นข้อด้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความแปรปรวนทางอารมณ์ ก็กลับมองว่าเป็นคุณสมบัติของผู้หญิงในการเข้าอกเข้าใจผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน ในความรับรู้อย่างสามัญสำนัก เราเองต่างก็ยอมรับกันว่ามีความต่างอยู่จริงระหว่าง หญิง ชาย ทั้งทางด้านกายภาพ วิธีคิด การใช้เหตุผล และภาวะอารมณ์ความรู้สึก แต่นั่นก็หาได้สำคัญเท่ากับคำถามที่ว่า แล้วเราจะอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างของมนุษย์ทั้งสองเพศนี้ได้อย่างไร
ผู้เขียนนึกถึง บางถ้อยคำ จากบทกวีที่ล่องลอยในโลกวรรณกรรมมาช้านาน ชื่อว่า Strength of a Man & Beauty of a Woman หรือ ความแข็งแกร่งแห่งบุรุษและความงดงามแห่งอิสตรี ผลงานของกวีนิรนาม ซึ่งตั้งคำถามเกี่ยวกับนิยามของความเป็นชายและหญิงไว้อย่างน่าสนใจ ความว่า...
ความแข็งแกร่งแห่งบุรุษ...หาวัดได้จากความนับถือของเพื่อนร่วมงาน
หากวัดได้จากความนับถือของคนที่บ้าน
..................................................
ความแข็งแกร่งของบุรุษ...มิได้อยู่ที่หมัดกล้าม
หากอยู่ที่ความหนักของภาระที่เขาต้องรับผิดชอบ
..................................................
ความงดงามของอิสตรีไม่ได้อยู่ที่ดวงหน้า..
แต่ความงามที่แท้..มันส่องสะท้อนอยู่ในจิตวิญญาณ
คือความรัก ความปรารถนาดี ความใส่ใจที่เธอมีให้แก่ใครอื่น...
อุดมคติเรื่องหญิง-ชายจากสายตาของกวี ชวนให้มองข้ามสิ่งที่เห็นได้จากภายนอกมาสู่คุณค่าภายใน ไม่สำคัญว่าเราต้องเหมือนกันจึงจะอยู่ร่วมกันได้ ข้อด้อยที่เราเคยตัดสินอีกฝ่าย เมื่อมองอย่างพินิจ มันอาจกลายเป็นข้อดีที่เกื้อกูลกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพียงแต่เราต้องพยายามข้ามพรมแดนแห่ง อคติทางเพศ ไปให้ได้เท่านั้น
**********************
อ้างอิง
วารุณี ภูริสินสิทธิ์.(2545). สตรีนิยม : ขบวนการและแนวคิดทางสังคมแห่งศตวรรษที่ 20. กรุงเทพ ฯ : คบไฟ.
Strength of a Man & Beauty of a Woman. 2008. [Online]. Available: http://gleez.com/articles/relationship/love-harmony/strength-of-a-man-beauty-of-woman
แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 51 10:00:51
แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 51 10:00:18
แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 51 09:59:52
แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 51 09:59:28
แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 51 09:59:01
แก้ไขเมื่อ 09 เม.ย. 51 09:56:22
จากคุณ :
โยคีรำพัน
- [
9 เม.ย. 51 09:55:00
]