Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    บทความของหลิวยง ตอน อย่าตายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

    หลิวยง ตอน อย่าตายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

    คำนำ

    อย่าตายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว


    บทความโดย อ.หลิวยง แปลโดย อนุรักษ์ กิจไพบูลทวี


       พ่อของผมเรียนด้านเภสัชกรรม ทำงานอยู่ในโรงงานยาที่คุณลุงรองของผมเป็นเจ้าของอยู่หลายปี และเคยเป็นหัวหน้า "สถานบำบัดผู้ติดบุหรี่เมืองสั่นซี" เมื่อคุณพ่อเสีย ท่านทิ้งหนังสือเกี่ยวกับยาจำนวนมากเอาไว้ให้ผม หนังสือพวกนั้นผมอ่านไม่รู้เรื่องเลย แต่มีประโยชน์อย่างหนึ่ง ก็คือตอนผมอายุสิบสามขวบเกิดไฟไหม้บ้าน เนื่องจากหนังสือบนชั้นนั้นวางแน่นเต็มกำแพง จึงกลายเป็น "กำแพงกันไฟ" ทำให้ไฟไม่ลุกลามไปถึงเพื่อนบ้าน

       เพื่อนบ้านของผมในขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายห้องพักผู้ป่วยในของโรงพยาบาลไถต้า หลังจากคุณพ่อเสีย คุณแม่มักกล่าวว่า เสียดายที่พวกเขาย้ายมาอยู่สายเกินไป มิเช่นนั้นหากรู้จักกันเร็วกว่านี้ คุณพ่อก็คงไม่ตาย คำพูดของคุณแม่ ผ่านไปแล้วหลายสิบปีผมเพิ่งจะเข้าใจ คุณแม่ยังมักตำหนิคุณพ่อ ว่าร่ำเรียนเรื่องยามาชั่วชีวิต นอกจากไม่เป็นประโยชน์แล้ว ยังเป็นผลร้ายอีกต่างหาก เพราะคุณพ่อมักถือว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งเข้ากันได้ดีกับแพทย์ผู้รักษา ทั้งคู่คุยเล่นหัวเราะกันทุกวัน ถ่วงจนกระทั่งอาการเลวร้าย บรรดาเพื่อนที่เป็นหมอจึงบอกกับเขาตรงไปตรงมาว่า "โรงพยาบาลของพวกเรารักษาไม่ไหว คุณย้ายโรงพยาบาลเถอะ!"

       สามปีหลังจากที่บ้านไฟไหม้ ผมมักจะไอและปวดหน้าอก ไปหาหมอสองครั้งต่างก็บอกว่าไม่เป็นไร เป็ญปัญหาที่ระบบประสาทเท่านั้น

       ต่อมาไม่นาน กลางดึกคืนหนึ่งผมอาเจียนเป็นเลือดออกมาครึ่งกะละมัง ถูกส่งเข้าศูนย์กลางการแพทย์ไทเป คุณหมอตรวจผมสองที ถ่ายฟิล์มเอ็กซ์เรย์ แล้วก็ไม่สนใจผมอีก หันกลับไปเรียกคุณแม่ของผมไปยังห้องข้างๆ แล้วด่าใส่ยกใหญ่ บอกว่าเด็กเกือบจะตายอยู่รอมร่อแล้ว ทำไมไม่รู้เสียบ้าง ไม่เคยพาไปหาหมอบ้างเลยหรืออย่างไร ต่อจากนั้น ผมต้องพักการเรียนหนึ่งปี


           ผ่านไปอีกสองปี ผมรู้สึกหัวใจเต้นถี่และหายใจแรง มีคนแนะนำให้ไปหาแพทย์ชื่อดังที่มาจบมาจากนอก ผลการตรวจบอกว่า "ประสาทตึงเครียด อัตราการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ" จ่ายยาระงับประสาทให้ผมมาก่อน แล้วก็จ่ายยาประเภทลดความดันอีกขนานหนึ่ง รักษาอยู่หลายปี ไม่รู้สึกดีขึ้น เคราะห์ดีที่พยาบาลแอบแนะนำให้ผมไปตรวจที่แผนกเมตาบอลิซึ่ม (metabolism)

           ผมไปพบนายแพทย์เฉินฟังอู่ที่โรงพยาบาลไถต้า โดนสวดเข้ายกใหญ่ว่า "ทำไมปล่อยจนกระทั่งตาโปนออกมาแล้วถึงมาหา" ไม่นานนัก เขาก็รักษาอาการ "Hyperthyroid" (ไทรอยด์เป็นพิษ) ของผม จนหายดี นายแพทย์เฉินฟังอู่เป็นคุณหมอที่ตรงไปตรงมา เขานอกจากด่าผมแล้ว ยังด่าหมอคนก่อนของผม ด่าเพื่อนร่วมงานของเขาเอง

           เพื่อรักษาอาการตาโปน ผมไปหาหมอที่แผนกจักษุ คุณหมอท่านนั้นฉีดคอร์ติโซน (Cortisone)เข้าไปบริเวณหลังดวงตา คุณหมอเฉินฟังอู่รู้เข้า เขาลากตัวผมวิ่งผ่านระเบียงยาวเหยียดและข้ามตึกอีกหนึ่งชั้น เพื่อไปด่าคุณหมอแผนกจักษุคนนั้นยกหนึ่ง "คุณฉีดยาให้เขา ถ้าร่างกายของเขาหยุดหลั่งสารแล้วล่ะ จะทำอย่างไร"


       สองปีหลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัย ผมเข้าทำงานในแผนกห้องข่าวของสถานีจงซื่อ วิ่งข่าวแวดวงการแพทย์และตำรวจ สายข่าวสองสายนี้ไม่เลวเลยทีเดียว ทำให้ผมได้เห็นคุณหมอดีๆ จำนวนไม่น้อย ได้ยินด้านมืดของวงการแพทย์ก็ไม่น้อย อีกอย่างหนึ่งก็คือ การช่วยเหลือผู้อื่นหาคอนเนกชั่น อาจทำให้คนที่ "ถึงฆาต" กลายเป็น "รอดตาย" ได้ เช่นเดียวกัน ผมก็พบเห็นว่าอีกหลายๆ คนที่น่าจะ "รอดตาย" กลับต้อง "ถึงฆาต"

       ผมยังมีข่าวสารประเภทนี้อีกไม่น้อย ที่ได้ยินได้ฟังมาจากพยาบาล นอกจากนี้กลางวันผมวิ่งข่าว กลางคืนผมยังสอนพิเศษวิชาวาดรูปพู่กันจีน นักเรียนของผมสองคนทำงานอยู่ในโรงพยาบาลแห่งใหญ่แห่งหนึ่งด้วยกัน ผมก็มักจะได้ยินพวกเธอ "ซุบซิบ" กันว่า การผ่าตัดในวันนั้น ไอ้งั่งคนหนึ่งทำคนตายไปอีกคนอีกแล้ว


           ทำข่าวการแพทย์และตำรวจเป็นเวลาห้าปี ผมก็ไปต่างประเทศ มีอยู่สองครั้งที่เดินอยู่บนถนนดีๆ ก็เวียนหัว จนเกือบถูกรถชนตาย ไปหาหมอฝรั่ง หมอบอกว่าเป็นเพียงอาการเสียสมาธิ "lost concentration" ธรรมดาเท่านั้น ทานวิตามินเยอะๆ ก็หาย

           จนกระทั่งหลายปีต่อมา ผมไปทำเรื่องภาษี สามีของนักบัญชีเป็นศาสตราจารย์วิชา "อายุรกรรมทรวงอก" ของคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยโคลัมบัส คลินิกของเขาตั้งอยู่ข้างๆ นี่เอง เมื่อผมเข้าไปแล้วเอ่ยถึงเรื่องนี้ เขาจึง "ลองฟัง" ให้ผม เขาเพิ่งฟังได้ครู่เดียวก็บอกว่าผิดปกติ "บริเวณด้านล่างของปอดของคุณไม่มีเสียงเลย ทางเดินหายใจอุดตันนี่! ทำไมไม่รู้ตัวเลย"

           ผมไปหาแพทย์ภูมิแพ้ซ้ำอีกครั้ง เอาเครื่องเป่าลมมาเป่าแล้วเป่าอีก จึงพบว่าปอดของผม "ทำงาน" เพียงห้าสิบสองเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถ้าไม่รีบรักษา อาจพังได้ตลอดเวลา


       หกปีที่แล้ว คุณแม่ของผมเส้นเลือดสมองแตกในสวนสาธารณะ ส่งตัวเข้าโรงพยาบาล ถึงแม้จะช่วยชีวิตฉุกเฉินจนรอดกลับมาได้ แต่เดินไม่ได้ พูดไม่ได้และฟังไม่ได้แล้ว รั้งอยู่หนึ่งปี ในที่สุดก็เสียชีวิต

       ต่อมาผมเพียรอ่านตำราการแพทย์ พบว่ามีสิ่งที่คนไข้เส้นเลือดสมองแตกควรต้องทำหลายอย่าง ที่ห้องฉุกเฉินไม่ได้ทำให้คุณแม่ของผมเลย เมื่อขอความรู้จากเพื่อนฝูงที่เป็นแพทย์ เพื่อนผมก็ตอบยิ้มๆ ว่า "ใครใช้ให้คุณเมื่อตอนนั้นไม่พาเพื่อนหมอที่คุณสนิทไปด้วยสักคน ถ้ามีคนวงในอยู่ด้วย พวกเขาก็ไม่ทำอย่างนั้นหรอก"

       ผมบอกว่าผมจะไปฟ้องโรงพยาบาล

       เพื่อนผมยิ้มๆ อีกครั้ง พูดว่า "ฟ้องไม่ชนะหรอก แม่ของคุณแก่เกินไป! ไม่มีค่าพอ!" จากนั้นเขาก็แนะนำผมถึงวิธีหลีกเลี่ยงการเป็น "หนูลองมีด" หลายอย่าง เขาพูดได้เยี่ยมมาก หมอมือใหม่ทั้งหลายต่างก็ต้องค่อยๆ สะสมความชำนาญกันทั้งนั้น! แต่จะใช้ใครมาลองมีดเล่า ก็ต้องหาพวกที่ไม่เป็นไร พวกที่ไม่กลัวรักษาจนตายนั่นเอง

       ทำให้ผมนึกถึงพี่เขยของช่างทำผมของภรรยาผม--มะเร็งตับ หมอชาวอเมริกันผ่าตัดให้ ผ่าเปิดเสร็จแล้วก็เย็บปิดเหมือนเดิม บอกว่าหมดทางแล้ว รอวันตายเถิด! เคราะห์ดีที่ลูกชายของคนคนนั้นเรียนหมออยู่ที่วิทยาลัยแพทย์ไถต้า รีบติดต่อศาสตราจารย์ รีบหาช่องทางส่งตัวคนไข้มาผ่าตัดที่ไต้หวันทันที ปรากฏว่ายืดอายุต่ออีกห้าปี ซ้ำยังเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว เสพสุขกับชีวิตที่เหลืออีกไม่น้อย


           เพื่อนฝูงที่เป็นแพทย์ของผมมีเยอะมาก สมมติว่าโยนก้อนหินก้อนหนึ่งออกไปจากสวนหน้าบ้านของผม คนที่โดนก้อนหินแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นหมอ บ้านข้างซ้ายของผมเป็นแผนกกุมารเวช บ้านตรงกันข้ามเยื้องไปทางขวาเป็นแผนกขา บ้านตรงกันข้ามเยื้องไปทางซ้ายเป็นแผนกหัวใจ สัปดาห์หนึ่งผมจะตีเทนนิสสามวัน มีสองวันที่ตีกับหมอ คนหนึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล อีกคนหนึ่งเป็นทันตแพทย์ชื่อดัง

           ด้วยเหตุนี้ ด้วยความใกล้ชิด พบมากเห็นมากได้ยินมาก ทำให้ผมรู้จักวงการแพทย์ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม

           ผมก็ชอบหมอในไทเปมาก เมื่อผลการตรวจไขมันในเลือดของผมออกมา: ปกติ หมอก็จะบอกผมว่า "ขอโทษนะ! คุณปกตีดี ไม่สามารถจ่ายยาให้คุณได้ ต้องผิดปกติจึงจะจ่ายยาได้" ผมบอกว่า "มันปกติก็เพราะผมกินยานี่นา!" คุณหมอท่านนั้นก็ตรงไปตรงมา ถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วพูดว่า มันเป็นกฎของการประกันสุขภาพ เขาเองก็จนใจ

           ผมไปเล่าให้หมออีกคนอื่นๆ ฟัง พวกเขากลับถลึงตาใส่ผมแล้วพูดว่า "นายนี่โง่จริง! นายก็หยุดยาสักสองอาทิตย์ค่อยไปตรวจสิ!"

           นอกจากนี้ มีอีกคนหนึ่งที่พูดได้เยี่ยมกว่า "ตอนเช้าคุณทานอาหารเช้าที่มันๆ หน่อย แล้วค่อยไปตรวจ เสร็จแล้วคุณก็บอกว่าคุณ "ท้องว่าง"

           ผมเล่าเรื่องตลกเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ฟัง ที่ไหนได้ พวกเขาไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เลย กลับบอกให้ผมเข้าไปในอินเทอร์เน็ต ค้นดูเอาเองว่า ด้านมืดข้างในนั้นมีเท่าไหร่กันแน่

           สหายร่ำรวยคนหนึ่งของผมในอเมริกา รู้จักกับคนใหญ่คนโตมากมาย แต่ก็เคยหลงกลติดกับเหมือนกัน เขาหกล้มขาแพลงในประเทศจีน หมอบอกว่ากระดูกข้อเท้าร้าว ใช้เงินไปไม่น้อย นอนโรงพยาบาลอีกหลายวัน ภายหลังเขาเอาแผ่นฟิล์มเอ็กซ์เรย์กลับมาที่อเมริกา หมอที่นั่นตรวจดูแล้วกลับพูดว่า "ไม่เห็นจะร้าวตรงไหนเลย!"

           ปัญหาก็คือก่อนนี้เขามีอาการเจ็บหน้าอก เคราะห์ดีที่เข้ารับการรักษาทันเวลา ทำให้เอาชีวิตกลับมาได้ แล้วจึงพบว่าหมอของเขาในอเมริกาก็สะเพร่า หลายปีมานี้ไม่เคยใช้ "เครื่องวิ่ง" ตรวจสอบการทำงานของหัวใจกับเขาเลย


       กว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านไป ผมทั้งประสบกับตัวเอง ทั้งยืนมองอยู่ข้างๆ มองเห็น "ปรากฏการณ์ในวงการแพทย์" มากมายเหลือเกินที่น่าสงสาร น่าสมเพช น่าเศร้า น่าแค้น และน่าสะเทือนใจ ผมยังเคยหลบซ่อนตัวอยู่ในมุมของสังคม ออกไปขอสัมภาษณ์เพื่อหาหลักฐาน พบเห็นความพิลึกพิลั่นเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของโรงพยาบาลหรือหน่วยงานแพทย์ไม่น้อย แต่ผมก็อดทนอดกลั้น ถึงแม้จะเขียนหนังสือชุด "โคตรโกง" มาแล้วถึงสี่เล่ม แต่ไม่เคยแตะต้องพล็อตเรื่องเกี่ยวกับการแพทย์เลย เพราะผมรู้ตัวดีว่าผมเป็นคนนอก ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอสำหรับการลงความเห็น

       จนกระทั่งสามปีก่อน เพื่อนสนิทคนหนึ่งของผม บอกกับผมว่าเขาถูกหมอหลอกถ่วงเวลาอย่างไร ทั้งๆ ที่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ของอเมริกาได้ "ทันที" แต่หมอในไต้หวันกลับบอกเขาว่าต้องอาศัยช่องทาง ใช้คอนเนกชั่นพิเศษ จึงจะลัดคิวได้ ซ้ำยังขอให้เขา "ส่งบรรณาการ" ครั้งแล้วครั้งเล่า

       ตอนที่เขาเล่าให้ผมฟัง อาการของเขาสาหัสมากแล้ว ลำคอถูกผ่าไปแล้วหนึ่งในสาม เสียงของเขาเหมือนเปล่งออกมาจากกล่องใบเล็กๆ สั่นเครือและแทรกเสียงสะท้อน ผมฟังอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่ผมรับปากเขาว่าจะเขียนมันออกมา เพื่อให้ผู้อื่นไม่ต้องหลงกลซ้ำรอย

       นั่นเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้ วิเคราะห์เจาะลึกพฤติกรรมลวงโลกของการแพทย์ การรักษา การตรวจ การให้ยา พฤติกรรมต่ำช้าของพ่อค้า ความผิดพลาดในระบบการแพทย์ การช่วยกันปกปิดบาดแผลของข้าราชการโกงกินคอรัปชั่น เพื่อเตือนใจให้ชาวบ้านตาดำๆ รู้จักระมัดระวังตัว

       ผมไม่ได้ตำหนิกลุ่มใดเป็นพิเศษ เพียงแค่เขียนสิ่งที่ผมสังเกตเห็นและความรู้สึกของตนเองเท่านั้น ดังนั้นเนื้อเรื่องในหนังสือเล่มนี้ ต่อให้เป็นเรื่องจริง ก็ผ่านการดัดแปลงมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชื่อคน ชื่อยา ชื่ออาหารเสริม ชื่อเครื่องสำอาง ล้วนแต่งขึ้นใหม่ทั้งสิ้น

       เป็นเรื่องบังเอิญมาก ตอนที่หนังสือเล่มนี้แต่งเสร็จ ศาสตราจารย์ Jerome Groopman M.D. ของคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก็วางแผงหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า "หมอคิดอย่างไร" (How Doctors Think) ในหนังสือเปิดเผยปัญหาในวงการแพทย์มากมาย จากสถิติที่ Groopman กล่าวถึง ในสหรัฐอเมริกามีคนไข้หนึ่งในห้าที่ถูกรักษาผิดวิธี ทุกปีมีคนตายด้วยความผิดพลาดเช่นนี้ถึงเก้าหมื่นคน

       อเมริกาเป็นเช่นนี้ แล้วไต้หวันล่ะ ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ล่ะ เกรงว่าจะมากกว่านั้นมาก!

    ที่มา http://www.syzbooks.com/archives/425_news.php?lang=big

    โปรดติดตามบทที่หนึ่ง

    ชื่อตอน

    รอยผ่าสองแผล

    "เมื่อผ่าตัดผิดพลาด ปล่อยตายเสียง่ายกว่า"

    จากคุณ : beer87 - [ 10 เม.ย. 51 23:31:49 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom