link เก่าค่ะ
http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6510192/W6510192.html
บทที่สาม
เฮ้อ.....เหนื่อย จะไม่ให้เหนื่อยได้ยังไงล่ะครับ ก็เมื่อคืนดันพายายตัวร้ายวิ่งหนีตายกันอุตลุด
เข็ด ไม่เอาอีกแล้วครับท่าน คราวหน้าต่อเอาช้างมาขู่ผมก็จะไม่พามันไปเที่ยวงานวัดอีกแล้ว เรื่องของเรื่องมันก็มีอยู่ว่า หลังจากที่ผมของอนุญาตคุณแม่ไปเที่ยวงาน ผมกับมัน เอ้ย... เธอ ก็ออกเดินทางนั่งรถเมล์กันไปที่งานวัดพระโขนงที่อยู่ไม่ไกลนัก เริ่มงงๆใช่มั๊ยครับ ทำไมไอ้ลูกคนพอมีอันจะกินอย่างผมกับยายนี่เนี่ยต้องนั่งเมล์ด้วย จะว่าไปแล้วผมก็มีรถส่วนตัวขับไปไหนมาไหนเอง หลังจากวันเกิดอายุสิบแปดของผมเดือนที่แล้ว คุณพ่อยอมใจอ่อนตามใจคุณแม่ที่ขอให้ซื้อรถให้ผมขับไปเรียนเ เหตุผลของคุณแม่ก็ง่ายๆครับ บอกว่าระยะระหว่างบ้านกับโรงเรียนมันใกล้กันแค่นี้เอง ขับรถไปเรียนไม่อันตรายหรอก แล้วก็ถือเป็นการซ้อมมือไปด้วยเพราะว่าเข้ามหาลัยแล้วจะได้ไม่ต้องไปรับไปส่งที่กันอีก ท่านสงสารผมที่โดยล้อเรื่องที่คุณพ่อให้นายเม้ยขับรถไปรับไปส่งผมเรียนทุกวันเป็นประจำตั้งแต่เด็กจนโต นี่ก็เป็นที่มาของฉายา คุณชาย ที่เพื่อนๆเรียก ซึ่งผมไม่ค่อยจะภูมิใจกับมันเลยและตอนนี้ผมก็เลยได้ขับรถไปเรียนเองซะที
วกกลับมาเรื่องเมื่อคืนต่อ ก็ยายแพทตัวดีบอกผมว่าอย่าขับรถไปเพราะคงหาที่จอดยาก ผมมาคิดๆดูก็คงจะจริงอย่างที่ยายนี่พูด เพราะว่ามีงานใหญ่แบบนี้คนก็ต้องมากอยู่แล้ว ยายแพทก็เลยชวนนั่งรถเมล์กันไปแล้วรถก็ดันติดอยู่เป็นเกือบชั่วโมง กว่าจะไปถึงงานก็สี่ทุ่มกว่าๆ เรื่องรถติดนี่ปกติยายแพทจะบ่นตลอด แต่วันนี้กลับนั่งงำเพลงเฉยเลยผมล่ะแปลกใจจริงๆแต่สงสัยคงดีใจที่ได้มาเที่ยวงานวัดเป็นครั้งแรกในชีวิต เสี่ยวจริงๆเลยยายแพทเอ้ย ผมเคยได้ยินคุณลุนุบ่นเรื่องยายแพทกับรถติดเวลามานั่งดวลเหล้ากับพ่อผมบ่นอยู่บ่อยๆ
"เฮ้อ.... ข้าว่าข้าไม่มีเมียแล้วจะสบายเพราะไม่มีใครบ่นให้ฟังว่ะ แต่ที่ไหนได้ กรรม.... ดันมามีลูกแบบยายแพท มันบ่นได้ตลอดตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ ยิ่งตอนนั่งด้วยกันบนรถแล้วรถก็ติดนะโว้ย ข้าเนี่ยอยากขุดหลุมฝังตัวเองอยู่ตรงเลยล่ะ" เสียงลุงนุซึ่งเริ่มจะมึนๆบ่นขึ้น
"ไมว่ะ.... ข้าเห็นตอนที่ยายหนูแพทมาที่บ้านข้า เมียข้าก็บอกว่าแกคุยสนุกดีนี่หว่า จนเมียข้าเนี่ยบ่นอยากได้ลูกสาวสักคนแบบยายหนูแพท แต่ข้าคงไม่มีปัญญาทำให้แล้วว่ะ" พูดจบพ่อผมก็หัวเราะซะดัง น้ำเสียงเริ่มมึนๆไม่แพ้กัน
"อ้าวก็จะไม่ให้คิดอย่างนั้นได้ไงว่ะ รถติดทีมันก็บ่นที มันบอกว่าก็เพราะมีคนอย่างข้ากับแกนี่แหละซื้อรถมาขับกันเต็มถนนทำให้รถติด ขนส่งมวลชนมีก็ไม่ใช้ ทั้งรถไฟฟ้าเอย รถไฟใต้ดินเอย แล้วยังรถเมล์อีก มันพูดทีเนี่ยข้าอยากจะถีบมันลงจากรถไปนั่งรถเมล์ซะให้เข็ด"
"แต่เอ...มันก็จริงอย่างที่ยายแพทว่ามานะ ข้าว่า" พ่อผมพูด
"เออ... จริงงั้นพรุ่งนี้แกนั่งรถเมล์ไปทำงานนะวะ" เสียงรวนๆของลุงนุตอบพ่อผมมา
"ม่ายเอาโว้ย ร้อนตายห่ะ เมืองไทยนะโว้ยไม่ใช่ยุโรปหรือเมกาที่จะได้ยืนใส่สูทรอรถเมล์ เอาๆๆ กินเหล้าต่อดีกว่า"
แล้วพ่อผมกันลุงนุก็ดวลกันจนหลับกันไปข้างตามธรรมเนียม ผมไม่สงสัยแล้วว่ายายแพทติดนิสัยรวนๆมาจากใคร
ที่งานวัดพระโขนง คนคับคั่งเต็มพื้นที่ ตอนแรกผมไม่รู้หรอกว่าเวทีมงเวทีมวยมันตั้งอยู่ตรงไหน แต่ยายแพทก็พาเดินกึ่งลากกึ่งจูงผมผ่านผู้คนไปทางด้านที่คนแน่นขนัดและส่งเสียงดัง "เอ้ย..... เอ้ย" อยู่ไม่ขาด แล้วในที่สุดเราก็มาถึงเวทีจนได้ครับและยายแพทยังพาผมแหวกมายืนข้างเวทีซะด้วย
ฝ่ายแดงกำลังทำคะแนน คลุกวงในส่งหมัดและเข่าไปให้คู่ต่อสู่อยู่อย่างเมามัน พี่เลี้ยงฝ่ายน้ำเงินก็ตะโกนโหวกเหวกพร้อมทั้งออกท่าทางบอกให้นักมวยฝ่ายของตนที่กำลังเพลี่ยงพล้ำป้องกันตัวโดยการเตะและ ถีบสวนไปอย่าให้อีกฝ่ายเข้ามาประชิดตัวได้ ผมก้มลงมองคนข้างๆตัวเห็นยายแพทกำลังดูคู่มวยอยู่อย่างไม่กระพริบตาพร้อมทั้งส่งเสียงเชียร์ประสานไปกับคนดูที่มีอยู่อย่างเนืองแน่น
เฮ้อ....พวกคนชอบความรุนแรง เชียร์ให้คนทะเลาะกัน ผมคิดอย่างปลงๆ ผมไม่ค่อยชอบกีฬาที่เน้นความรุนแรงทุกชนิดตรงข้ามกับยายแพทที่ดูจะชอบไปซะหมด เราดูมวยต่ออีกสองคู่ฝ่ายแดงชนะติดๆกันผมคิดอย่างปลงๆว่าคู่ต่อไปคนที่ได้เป็นฝ่ายน้ำเงินคงจะสยองๆ เพราะว่าคืนนี้ ต่อยมาสามคู่ยังไม่มีฝ่ายน้ำเงินชนะเลยสักครั้ง
ผมมองดูนาฬิกาข้อมือ จะเที่ยงคืนแล้วลุงนุกำชับให้กลับบ้านก่อนเที่ยงคืน ผมเลยบอกกับยายแพทว่าเราควรกลับกันได้แล้ว
"แพท กลับเหอะ จะเที่ยงคืนแล้ว"
"เอาน่าอีกหน่อยนึงนะ เดี๋ยวเราโทรบอกป๊า ว่าจะนอนบ้านแกไม่ต้องเป็นห่วงแล้วจะโทรบอกยายนวลด้วยว่าไม่ต้องรอเปิดประตู ป๊าต้องบินไปเชียงใหม่พรุ่งนี้เช้าเพราะว่ามีบรรยายที่ม.ช ก็เลยบอกให้เรากลับเร็วเพราะไม่อยากนอนดึก ไม่มีไรหรอก ถ้าเราโทรไปบอกว่านอนบ้านพาย ป๊าก็ไม่ว่าแล้ว" ยายตัวดีต่อรองมา
"ม่ายเอาหรอก แม่เราก็บอกว่าว่าให้กลับก่อนเที่ยงคืน แพทไปนอนบ้านเราก็ได้นะแต่ต้องกลับ....." ผมพูดยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงคล้ายๆเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัดทางด้านตรงข้ามของเวทีที่พวกเรายืนอยู่ สักอึดใจก็ได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้นมาว่า"เฮ้ยยยยยยยยยยยยย คนถูกยิง" เท่านั้นแหละ ทุกอย่างก็ชุลมุนไปหมดคนวิ่งหนีกันอย่างสุดชีวิตไปรู้ใครเป็นใคร
ผมและยายตัวดียังยืนนิ่งอย่างไม่ขยับเขยื้อน สงสัยเราคงจะช๊อค ผมคิดหลังจากได้มาทบทวนเหตุการณ์ภายหลัง ส่วนนักมวยบนเวทีที่กำลังรำท่าไหว้ครูค้างอยู่นั้นก็กระโจนลงจากเวทีมาแบบที่จา พนมเห็นยังอาย ผมได้สติตอนนั้นเองและคว้ามือยายแพทมาจับไว้แน่นก่อนที่จากลากเธอวิ่งหนีออกจากบริเวณงาน เบียดเสียดกันกับคนส่วนใหญ่ที่พากันวิ่งหนีมาทางเดียวกัน หลายครั้งที่มือของเราเกือบหลุดออกจากกันเพราะแรงเบียดที่มาปะทะ แต่ผมก็ยึดมือเธอเอาไว้แน่นและผมก็พบว่าเธอก็ทำเช่นเดียวกันกับผม
เรามาถึงบ้านอีกทีตอนตีสองกว่าๆ นั่งรถแท็กซี่กันมา ซึ่งกว่าจะยื้อแย่งคนอื่นๆที่มารอรถอยู่เหมือนกันได้ก็เล่นเอาเหนื่อย แล้วยังจะต้องคอยห้ามยายแพทที่ปะทะฝีปากและแทบจะวางมวยกับพวกคนเมาที่ชอบแซงคิวซะอีก ยังดีที่ผมดึงๆเอาไว้เพิ่งผ่านเรื่องมาหยกๆยังจะซ่าส์ไม่เลิก ยายแพทเอ้ยยย ผมคิดอย่างปลงๆ นึกสงสารแฟนยายแพทในอนาคตซะจริงๆ ระหว่างรอรถยายแพทก็จัดแจงโทรบอกทางบ้านว่าจะค้างกับผม เอ้ย... บ้านผมส่วนผมก็โทรไปที่สถานีตำรวจเรื่องคนโดนยิงปรากฏว่ามีพลเมืองดีหลายรายชิงตัดหน้าโทรมาแจ้งแล้ว และจริงๆ บริเวณงานก็มีตำรวจระวังรักษาความปลอดภัยอยู่ด้วย
ผมเปิดไขกุญแจประตูรั้วหน้าบ้านบานใหญ่ออก และพายายแพทเดินตัดสวนมาที่ประตูบ้าน ผมไม่อยากกดกริ่งเรียกนายเม้ยมาเปิดประตูรั้วเพราะเห็นว่าดึกคงจะนอนหลับไปแล้ว หลังจากไขกุญแจประตู ผมก็พายายแพทเดินย่องเข้ามาในบ้าน พยายามให้เงียบที่สุดเพราะกลัวว่าถ้าหากพ่อกับแม่ผมตื่นมาคงจะต้องถามให้วุ่นวายว่าทำไมกลับดึกอย่างนี้ ผมไม่อยากเล่าเรื่องชวนระทึกให้ฟังกลางดึก เราผ่านห้องโถงแล้วย่องขึ้นบันไดอย่างปลอดภัย ผมสังเกตเห็นห้องนอนพ่อกับแม่ซึ่งอยู่ทางด้านปีกซ้ายปิดไฟเรียบร้อยแล้ว
คงจะนอนหลับกันแล้วล่ะ เฮ้อ... โล่งอกไปที ผมคิด
ห้องนอนผม และของยายแพทอยู่ทางด้านปีกขวา เดิมบ้านเรามีห้องนอน 4 ห้อง เป็นห้องนอนของพ่อและแม่ ของผม และ ห้องรับรองแขกอีก สองห้องแต่พักหลังๆที่คุณลุงนุต้องเดินทางบ่อยๆ เพราะเรื่องงานวิจัย บรรยาย และงานสอนให้กับมหาวิทยาลัยต่างๆทั้งไทยและเทศ ยายแพทก็เลยกลายมาเป็นแขกประจำบ้านผม และตอนนี้ก็ยึดห้องนอนแขกที่ติดกับห้องของผมเป็นของตัวเองซะแล้ว
"แยกกันตรงนี้ล่ะ เดี๋ยวเจอกันพรุ่งนี้" ยายแพทกล่าวลาผมด้วยน้ำเสียงง่วงๆก่อนจะเปิดประตูห้องนอนเข้าไป
"อึม กูดไนท์" ผมก็ง่วงนอนเหมือนกันเลยไม่อยากจะพูดอะไรกันมาก
หลังจากอาบน้ำแต่ชุดนอนเสร็จ สมองแจ่มใสขึ้นมานิดหน่อย ผมมีลางสังหรณ์ว่าพรุ่งนี้คงต้องมีไรให้ปวดหัวที่เกี่ยวกับเรื่องคืนนี้อีกแน่ๆ
แก้ไขเมื่อ 13 เม.ย. 51 00:17:27
แก้ไขเมื่อ 12 เม.ย. 51 21:48:32
จากคุณ :
ริวไผ่
- [
12 เม.ย. 51 21:45:48
]