Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ชีวิตที่พอเพียง (บันทึกของคนเดินเท้า)

    ชีวิตที่พอเพียง


    ชีวิตของผมได้โผล่จากความมืด ออกมาเห็นแสงสว่าง เมื่อตอนย่ำรุ่ง วันขึ้นหนึ่งค่ำ เดือนห้า ปีมะแม ตามที่แม่ได้บันทึกไว้เมื่อกว่าเจ็ดสิบปีมาแล้ว

    ท่านว่าคนเรานั้น เมื่อเกิดมาต่างก็มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองมาเกาะกุมจิตใจ เมื่อมีชีวิตต่อมาจึงได้เกิดกิเลสตัณหาคือความอยากขึ้น และทวีขึ้นทุกทีที่เห็นโลกมากขึ้น อยากมี อยากเป็น อยากไม่เป็น แล้วก็เกิดอุปาทานยึดมั่นว่า ตัวตนเป็นของเรา นั่นเป็นของเรา นี่ก็เป็นของเรา สิ่งที่ชอบก็อยากให้อยู่นาน ๆ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง สูญเสียหรือพลัดพราก ก็เกิดความทุกข์ สิ่งที่ไม่ชอบก็อยากให้พ้น ๆ ไปเสีย แต่เมื่อยังคงอยู่ก็เกิดความทุกข์ ชีวิตจึงต้องเป็นทุกข์ เพราะความอยากไม่มีที่สิ้นสุด

    แต่อีกด้านหนึ่งท่านว่า คนเรามีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย และเราจะต้องได้รับผลกรรมนั้น ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงทำให้เชื่อว่า กรรมที่เป็นกำเนิด ก็คือกรรมที่ได้เคยทำไว้ในชาติก่อน ๆ แต่ยังใช้กรรมไม่หมด จึงติดตัวมาถึงชาตินี้ โดยยังมิได้ทำสิ่งใดเลย

    นั่นคือการเกิดมาเป็นคนที่สมบูรณ์หรือพิการไม่สมประกอบ เกิดมาสวยงามหรือน่าเกลียด เกิดมาฉลาดหรือโง่ เกิดในตระกูลยากจนหรือร่ำรวย เกิดมาในครอบครัวที่มีคุณธรรมหรือไร้คุณธรรม

    และต่อมาก็ได้ทำกรรม ซึ่งอาจจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ตามแต่กิเลสที่เพิ่มขึ้น มากหรือน้อย ตามเผ่าพันธุ์ที่ได้เกิดมา และต้องได้รับผลของกรรมนั้นไปจนตลอดชีวิต

    ผมเกิดมาท่ามกลางความยากจนค่นแค้น ขาดแคลนไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งเครื่องอุปโภคบริโภค การศึกษาเล่าเรียนก็ไม่สำเร็จ ต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงชีวิต จากจุดที่ต่ำที่สุด ค่อย ๆ เลื่อนฐานะขึ้นมาช้า ๆ เหมือนตัวทากที่ไต่กำแพงจากที่ต่ำไปหาที่สูง สิ่งที่ได้กระทำลงไปตลอดชีวิตนั้น ก็คงเป็นไปตามกรรมที่ติดตัวมาแต่เกิด และด้วยกรรมที่เกิดมากับความต่ำต้อยด้อยค่าในสังคมนั้นเอง

    แต่เมื่อผ่านโลกมาจนเกือบจะสุดหนทางนั้น กลับได้รับผลตอบแทนเป็นกำไรมากมายในชีวิต โดยมิได้คาดหวังมาก่อนเลย น่าจะเรียกได้ว่าเป็นชีวิตที่มีกำไร

    กิเลสหรือความอยาก หรือเรียกให้ไพเราะว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตนั้น เริ่มแรกเรียนหนังสืออยู่ใกล้กับโรงเรียนนายร้อยทหารบก เห็นนักเรียนมีเครื่องแบบสง่างาม ก็อยากจะเป็นนักเรียนนายร้อย แต่สงครามทำให้ชีวิตที่ย่ำแย่อยู่แล้ว กลับยอบแยบลงไปอีก จนเรียนไม่สำเร็จ เพราะต้องออกไปเร่ขายขนม ในเวลาที่ควรจะอยู่ในห้องเรียน ความยากจนตกลงถึงขั้นจะไม่มีกิน น้องต้องไปพึ่งท่านผู้มีพระคุณรับไปอุปการะ

    เหลือแต่ผมที่ต้องหาเลี้ยงแม่ที่ป่วยไข้ไม่สามารถประกอบอาชีพครู ที่ทำมาแต่ดั้งเดิมได้ จึงต้องเลิกเรียน เข้าทำงานในระดับกรรมกรใช้แรงงาน เพราะมีความรู้น้อยกว่ามาตรฐาน

    แต่ความที่ชอบอ่านหนังสือ จึงเกิดความอยากที่จะเป็นนักเขียน หรือสมัยนั้นเรียกว่านักประพันธ์ ได้พยายามอยู่เป็นเวลานานถึงสิบปี ก็ไม่สามารถจะเป็นได้อย่างที่อยาก เพราะความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่เพียงน้อยนิดนั่นเอง

    สุดท้ายเมื่อแม่เสียชีวิตด้วยโรคร้าย ไม่มีห่วงแล้ว จึงสมัครเข้าเป็นทหารกองประจำการ เพื่อให้มีกินมีใช้โดยเอาร่างกายเข้าแลกกับการฝึก ที่ไม่ได้หนักหนาไปกว่าชีวิตกรรมกรที่ผ่านมา ชีวิตที่ใฝ่ฝันจึงถูกลืมไปได้เลย

    ชีวิตที่ไม่ใช่ความใฝ่ฝันนั้น ได้ผ่านเข้ามาตามเหตุปัจจัยที่เหมาะสม จึงทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการทหาร อย่างต่อเนื่อง เมื่อเป็นพลทหารอยากไปรบในสงครามเกาหลี สงครามนั้นก็สงบไปเสียก่อน สมัครเข้าเป็นทหารสื่อสารเพราะไม่อะไรที่ดีกว่านั้นให้เลือก แต่ก็ไม่มีความรู้ด้านการสื่อสาร กลายเป็นเสมียนเขียนและพิมพ์หนังสือราชการ

    อยากไปราชการสนามในที่ต่าง ๆ เพื่อเอาเงินเพิ่มสู้รบ ก็ไม่มีโอกาส เพราะนายต้องการเอาตัวไว้ใช้ในสำนักงาน แต่กลับได้ไปช่วยราชการที่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกถึงสองครั้ง ๆ ละ สิบกว่าปี ทำให้ได้เบี้ยเลี้ยงเพิ่มจากเงินเดือน และเพิ่มขึ้นตามตำแหน่งงานที่สูงขึ้น จนพ้นจากความยากจนและขาดแคลนที่มีมาในอดีต

    เป็นคนไม่ชอบการพนันไม่ชอบเสี่ยงโชค แต่จากการออมทรัพย์ด้วยวิธีซื้อสลากออมสินพิเศษ กลับถูกรางวัลที่หนึ่ง ได้เงินแสน ซึ่งใช้เป็นเงินทุนสำหรับชีวิตในอนาคตของลูกที่เหลือสองคน โดยไม่กล้าเอาไปลงทุนทำกิจการอะไรเลย

    ชีวิตครอบครัวก็เช่นกัน เมื่ออยู่ในวัยรุ่นและวัยหนุ่ม ก็อยากได้ชีวิตที่หวานจ๋อยเหมือนนวนิยาย แต่ไม่ว่าจะรักผู้หญิงคนไหน เขาก็ไม่มีจิตใจที่ตรงกันเลย อย่างมากที่ได้ก็แค่ความสงสาร แล้วเขาก็แต่งงานมีครอบครัวไปตามความเหมาะสม เพราะผมไม่มีความพร้อม ในการที่จะทำให้ครอบครัวมีความมั่นคงในชีวิตได้

    จนถึงคนที่เกิดมาเป็นคู่ชีวิต เขาไม่มีความทะเยอทะยานหรือหวังสูงเช่นคนอื่น เขาคิดจะฝากชีวิตไว้กับผม ผมจึงหยุดความเพ้อฝัน หันมารับความจริง และเขาก็ไม่ผิดหวัง เพราะตลอดชีวิตครอบครัว ไม่เคยมีความทุกข์ ความเดือดร้อน ทั้งกายและใจ มีสภาพที่ดีกว่าอีกหลายครอบครัวที่อยู่ในระดับเดียวกัน

    กิเลสหรือความอยากอีกอย่างหนึ่งก็คือ อยากมีลูกผู้ชายเป็นคนแรกเพื่อสืบตระกูล แต่เมื่อได้มาเพียงหกวัน เขาก็จากไปด้วยโรคที่ไม่สามารถรักษาในขณะนั้นได้ ช่วงเวลานั้นรู้สึกว่าความทุกข์ในการสูญเสียนี้ มากมายเสียจนแทบจะทนไม่ได้

    แต่เมื่อสามสิบปีผ่านไปก็คิดได้ว่า ถ้าเขาอยู่จนถึงบัดนี้ ด้วยความพิการ ชีวิตของเราก็คงจะมีแต่ความทุกข์ตลอดทั้ง สามสิบปีเหมือนกัน

    โชคยังดีที่ได้ลูกชายมาทดแทนอีกสองคน ซึ่งเมื่อเวลาได้ผ่านมาพอสมควร ความหวังที่อยากจะให้เขาเป็นนั่นเป็นนี่ ก็ละลายหายไป พ่อก็มีกรรมอย่างนั้น แม่ก็มีกรรมอย่างโน้น จะให้ลูกมีกรรมที่ดีเลิศอย่างที่อยากจะให้เป็นได้อย่างไร เพียงแต่เขาเอาตัวรอดไปได้ ไม่หาความทุกข์มาให้พ่อแม่ก็นับว่าดีมากแล้ว เพราะเขาไม่ใช่ของเราอย่างที่อุปาทานยึดมั่นถือมั่นจะให้เป็น เขาก็เป็นตัวเขาเอง ที่มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เช่นเดียวกับเราเหมือนกัน

    ชีวิตเช่นนี้ไม่ใช่ชีวิตที่ใฝ่ฝัน แต่เป็นชีวิตที่ไม่ได้เลือก อาจจะเป็นชีวิตที่ถูกกำหนดมาแล้ว เพราะมันเป็นของมันไปตามกรรมของทุกคนที่เกี่ยวข้องกัน แต่ก็เป็นชีวิตที่ดีที่สุด มีค่าที่สุด ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้คาดหวังไว้ก็ตาม

    ในที่สุดก่อนที่จะหมดกรรม หลังจากที่ได้เป็นพลทหารและนักเรียนนายสิบอยู่สองปี ก็ได้เป็นนายสิบอยู่สิบสามปี แล้วจึงเป็นนายทหารอีกสิบเจ็ดปีก็ได้ยศสูงสุด ทั้ง ๆ ที่ไม่มีวุฒิอื่นใดเลยนอกจากมัธยมปีที่หก ซึ่งสอบเทียบเอาเมื่อปีกึ่งพุทธกาลเท่านั้น จึงเป็นการไต่ระดับขึ้นถึงชั้นสูงสุดเท่าที่จะสามารถเป็นได้ สำหรับผู้ที่เริ่มต้นจากพลทหาร

    สำหรับความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเขียนนั้น ก็ไม่เคยมอดดับไปจากความคิด ได้ใช้ความพยายาม มานะ บากบั่น ขยัน อดทน เขียนอยู่ตลอดเวลาห้าสิบปี ก็ได้ประสบความสำเร็จ ที่แม้จะนับว่าน้อยนิดสำหรับผู้อื่น แต่เป็นความสมหวังที่ได้ตั้งใจไว้

    คือได้รับการพิมพ์หนังสือวางขายในท้องตลาด หนึ่งชุด จำนวนสามเล่ม เป็นการฝากชื่อไว้ในบรรณพิภพ ชื่อหนึ่งในจำนวนมากมายที่ใช้เขียนหนังสือ เมื่อมีอายุได้หกสิบเจ็ดปี

    ชีวิตที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน เป็นชีวิตที่พอมีพอกิน ไม่เหลือเฟือฟุ่มเฟือย แต่ก็ไม่ขาดแคลน ไม่อยากได้สิ่งที่ไม่จำเป็นแก่การครองชีพ ไม่จำเป็นในการดำรงชีวิต แต่ก็ไม่ได้ประหยัดเสียจนอดอยาก วิกฤติทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ จึงไม่ทำให้เกิดความยากแค้นเหมือนเมื่อครั้งสงครามที่ผ่านมา มีบำนาญทั้งสองคนพอใช้สอย และได้ทำบุญบ้างพอสมควร แม้จะไม่มีเก็บให้กองทุนเพิ่มพูนขึ้นก็ตาม

    และบัดนี้ ความอยากต่าง ๆ ของผมก็ได้จืดจางลงไปเกือบหมดแล้ว เหลือแต่ชีวิตที่ไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่านี้ ทำงานเพื่องาน ไม่ต้องการเงินทอง ไม่ต้องการชื่อเสียง ทำงานเพื่อให้สมองมีคุณค่าต่อชีวิต ที่ยังเหลืออยู่ แม้จะไม่ต้องการที่จะอยู่ให้ยาวนานเกินไปก็ตาม

    เป็นชีวิตที่มีความพอเพียง เป็นชีวิตที่ถูกกรรมเป็นตัวกำหนด รออยู่แต่โอกาสสุดท้าย ที่จะผลุบเข้าไปในความมืดอย่างเดิมเท่านั้น ซึ่งก็เลือกไม่ได้ว่า ที่ไหน เมื่อใด และอย่างไร เพราะถูกกำหนดมาแล้วเช่นกัน

    และทั้งหมดที่เล่ามานี้ ก็อยู่ในหลักกรรม ตามที่ได้นำมาขึ้นต้นไว้นั่นเอง.

    ##########

    ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๔

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ วันเนา (14) 06:59:05 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom