ข้าพเจ้าเห็นท่านทิกิเขียนประวัติตัว เรื่องที่ดินผืนนั้น
ก็อยากจะเปลือยชีวิตตัวให้ผู้อื่นได้อ่านบ้าง
แต่ใคร่ขอความกรุณาว่าผู้ที่จะอ่านประวัติข้าพเจ้า กรุณาอย่าหัวเราะ
เยาะประวัติบุคคลของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าซีเรียส นำชีวิตมาเปิดเผย
และเขียนด้วยความจริงอย่างที่สุด................................................
เริ่มจากจำความได้ ข้าพเจ้าก็เป็นข้าพเจ้าไปเสียแล้ว ซึ่งมีลักษณะหน้าตาดีมาก
มีเค้าหล่อเหลือเกินตั้งแต่เด็ก แต่ทุกเรื่องทุกประการย่อมมีแต่ ข้าพเจ้าถึงแม้จะหล่อ
เหลา แต่ดันฉลาดเฉียบแหลมจนน่าทึ่งเสียนี่
ตั้งแต่วัยเด็กข้าพเจ้าเป็นคนขี้เล่น อัธยาศัยดี ไม่ถือตัวไม่ดูถูกคน ข้าพเจ้าจมักยอม
ลดตัวลงไปเล่นกับเด็กอื่นๆ จะมีทะเลาะกันบ้างก็แต่เมื่อมีผู้กล่าวหาอย่างร้ายกาจว่า
ข้าพเจ้าหลงตัวเอง ซึ่งใครๆก็ทราบ ว่าไม่เป็นความจริง
ข้าพเจ้าเป็นคนรักสัตว์ มีครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเห็นสุนัขมีเห็บมันมากจนเป็นที่ทรมาน
ข้าพเจ้าก็ยอมเหนื่อยยากต้มน้ำร้อน แล้วราดฆ่าเห็บหมัดให้สุนัขหมานั่น เสียงร้อง
ขอบคุณดังลั่นของมัน ทำให้ข้าพเจ้าอิ่มใจ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
ร้านค้าร้านขนมแถวบ้านต่างรู้จักข้าพเจ้าเป็นอย่างดี เพราะข้าพเจ้าคอยตรวจสอบระบบ
ความปลอดภัยให้อยู่เสมอ เมื่อเห็นว่าร้านไหนล่ะหลวม ข้าพเจ้าก็จะหยิบฉวยเตือนสติให้
รู้ระวังระไว ใครก็ต่างว่าโตขึ้นข้าพเจ้าต้องเอาดีทางนี้แน่
แต่ผิดถนัด เมื่อเติบโตขึ้นข้าพเจ้าได้เรียนในชั้นมัธยม ข้าพเจ้าเรียนดีในทุกวิชาจึงอยาก
เป็นแพทย์ ข้าพเจ้าเชื่อในความปราดเปรื่องของตัวเป็นอย่างมากว่าต้องสำเร็จถึงเกลียดนิยม
เพราะข้าพเจ้าอายุยังน้อย ก็สามารถรู้จักยาพารา ยาทัมใจและยาหม่องเป็นอย่างดี
อนิจา...การเรียนการศึกษาของประเทศไทยช่างชักช้าและอุ้ยอ้าย กว่าจะจบมัธยมต้น
มัธยมปลายตั้งหกปี ข้าพเจ้ารอคอยที่จะเป็นแพทย์ไม่ไหว จึงตัดสินใจเลิกเรียน ทางโรง
เรียนพอเห็นข้าพเจ้าหน้าตาดีมีอุดมการณ์ ก็กลั่นแกล้งให้ศูนย์ให้ ร.ข้าพเจ้าเป็นการกลั่นแกล้ง
ข้าพเจ้าจึงหันหลังให้ระบบการศึกษาอันเหลวแหลก ข้าพเจ้าเชื่อในสองมือตน จึงเข้าสู่วงการ
อสังหาริมทรัพย์ ใช้สองมือเปล่าแบกอิฐผสมปูนเลี้ยงตัวไป ซึ่งข้าพเจ้าถือเป็นดาวเด่น เนื่องจาก
เป็นคนผสมปูนที่หน้าตาดีมาก ข้าพเจ้าทำงานนี้จนอายุยี่สิบสอง
แต่ครั้นผูกเหล็ก ฉาบปูนไปก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ซ้ำยังเหนื่อยอย่างบรรลัยจัง ข้าพเจ้าคิดถึง
การศึกษาที่ข้าพเจ้าหันหลังให้ นั้นตะหาก เป็นหนทางสู่ความรุ่งเรือง ข้าพเจ้าจึงกลับเข้าสู่วงการ
ศึกษา โดยกลับเข้าไปเป็นเลขาผู้ช่วยภารโรงในโรงเรียนอนุบาล "จิตเวช"
ข้าพเจ้าทำอยู่เพียงไม่ถึงสองปี ด้วยความใจถึงกล้าเก็บอุจจาระเด็กๆ แบบถึงลูกถึงคน อาจารย์ใหญ่
จึงให้สองขั้นกับข้าพเจ้า ได้เป็นภารโรงอย่างสมภาคภูมิ แต่นั้นไม่ใช่จุดหมายของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าค้นพบตัวเอง ว่าเป็นคนโรแมนติกแท้น๊อ จึงรวบรวมสติปัญญาแต่งนิยาย
อันเป็นอมตะนิยายรักแสนหวานเรื่อง "หอยยักษ์" ท่านลองดูตัวอย่างที่ข้าพเจ้าเขียนเป็นไร
สุรไก่มองหน้าวันละพาร์ วันละพาร์มองตอบ แล้วพูดกับสุรไก่
"สุรไก่ มองทำไม หน้าของเราคล้ายแม่เธอหรือ"
สุรไก่โกรธ จึงเตะเจาะยางเธอไปอย่างแรง แล้วดึงเธอมา เตะจูบ เตะจูบ
เมื่อสุรไก่ปล่อยมือวันละพาร์อ่อนระทวยอย่างเห็นได้ชัด
"สุรไก่ พอเถอะค่ะ พาร์ยอมคุณทุกอย่าง ขอเพียงคุณกรุณานำพาร์ไปโรงพยาบาลเดียว
นี้เถิด คร่อก...."
หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงนวนิยาย"หอยยักษ์" ขนาด 600 หน้า นำไปเสนอโรงพิมพ์ ซึ่งทาง
บก. อ่านแล้วถึงกับเอ่ยปาก
"เสียดาย...."
"เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่านหรือครับ"
"เสียดายกระดาษ"
ข้าพเจ้าไม่ขำ แต่ บก. ขำมาก ข้าพเจ้าจึงสวมบทสุรไก่ในนิยาย เตะเสยคาง บก. จนต้นฉบับ
เกลื่อนกระจาย นั่นเอง ต้นฉบับของนวนิยาย"หอยยักษ์"จึงเสียหายไป เพราะตำรวจและยาม
เหยียบย่ำเสียหายไปหมด ส่วนข้าพเจ้าก็รับข้อหาทำร้ายร่างกาย ทั้งที่ถูกคนในโรงพิมพ์รุมกระทืบ
การติดคุกแทนค่าปรับทำให้ข้าพเจ้าได้อะไรหลายอย่าง ได้เห็นชีวิตคนคุก หิด กลาก เกลื้อน
ไม่เคยเป็นก็ได้เป็น แต่ข้าพเจ้ายังไม่คิดล้มเลิกจะเขียนหนังสือ จึงอุปโลกนามธรรมดาสามัญขึ้น
มาแทนตัวข้าพเจ้า นามนั้นก็คือ"กระบี่ไม้ไผ่" จะยืนหยัดเขียนนิยายที่เรียกว่า
งานประพันธ์ประเภทปราศจากรายได้
จบแล้ว เป็นอย่างไรครับชีวิตคนหล่อ.......................(อายเหมือนกันน่ะเนี่ย แต่พูดโกหกไม่เป็นง่ะ)
จากคุณ :
กระบี่ไม้ไผ่
- [
วันแรงงาน 03:40:26
]