"มาร์ติน ... เจ้าจงจ้องมองข้าให้ดี"
นี่คือข้าที่เจ้าเคยหลงใหลมาก่อน
ข้าอยากให้เจ้าจดจำภาพของข้าเช่นเดียวกันกับที่เจ้าเคยรู้สึกอย่างนั้นเอาไว้
แล้วข้าจะได้ตายอย่างเป็นสุข"
ทันใดนั้นปลายดาบของหัวหน้ากองทัพของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ก็เสียบกลางอกเผยปลายดาบทะลุแผ่นหลังและผ้าหลุมไหล่ หนุ่มน้อยยืนยิ่งตัวสั่นเทา เสมือนว่าบุคคลก่อนที่วิญญาณจะหลุดออกจากร่างนั้นรู้ดีว่าเขาอยู่ที่นั่น เขาไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากสบตากับคนที่เขารู้จักดี ซึ่งตอนนี้เธอจากไปแล้ว ... ตลอดกาล ...
"ท่านทั้งสอง โปรดช่วยข้าด้วย"
เด็กชายตัวน้อยผมดำตัดกับผิวสีขาวที่ราวกับหิมะวิ่งกระหืดกระหอบมายังนักดาบทั้งสองที่กำลังควบมาจะไปล่าหมาจิ้งจอกที่กำลังอาละวาดในเมืองแซงกูรี พี่น้องฝาแฝดชายหญิงหันมองเด็กชายคนนั้น
"ท่านโปรดช่วยข้าด้วย พวกค้ามนุษย์กำลังตามล่าข้า"
"ท่านพี่ ข้าจะดูแลเด็กคนนี้เอง ที่เหลือท่านคงจัดการได้ใช่ไหม"
"เทร่า เจ้าก็เป็นอย่างนี้ทุกที"
"ก็ข้าไม่ได้แข็งแรงเหมือนท่านนี่"
"เจ้าจงไปด้วยกับข้า เผื่อข้ามีอะไรให้เจ้าช่วย"
มือเรียวสวยของแฝดผู้น้องอุ้มเด็กชายตัวน้อยคนนั้นควบม้าของเธอแล้วตามพี่ชายไปยังทางที่เด็กชายคนนี้วิ่งมา ไม่นานก็พบพวกค้ามนุษย์ควบม้ามุ่งมาทางนี้เช่นกัน พวกมันมีกันห้าคนและมีรถกรงเหล็กอีกหนึ่งคัน สองฝาแฝดควงดาบฟาดฟันพวกค้ามนุษย์ที่ฝีมือดาบปลายแถวล้มราวกับใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วงที่ร่วงโรย แฝดผู้น้องใช้ดาบตัดลูกกุญแจและโซ่ที่ล่ามกรงนั้น แล้วพาเด็กผู้หญิงผมสีบรอนซ์ออกมาอีกคนแล้วควบม้ากลับเมือง
"เจ้าชื่ออะไร"
"มาร์ตินขอรับ"
"อายุเท่าไร"
"11 ขอรับ แล้วท่านมีนามว่าอะไร"
"ข้าชื่อเทร่า นั่นเป็นพี่ชายฝาแฝดชื่อเซร่า เราสองคนอายุ 15 ปี"
"ท่านทั้งสองยังอายุยังไม่มาก ทำไมถึงเก่งเช่นนี้"
"ฮ่า ๆ ๆ ... เจ้านี่ ปากหวานแต่เล็ก ๆ แล้วหรือไร เจ้าต้องเป็นลูกของพวกขุนนางที่มีฐานะส่งลูกเรียนเป็นแน่"
"ใช่ขอรับ ข้าเป็นลูกของอัศวินเมืองอิลด์เด แต่... ครอบครัวข้าตายในสงครามหมด ข้าเลยถูกขายมากับพวกค้ามนุษย์"
"เจ้าอยากเป็นอัศวินอย่างพ่อของเจ้าหรือเปล่า"
"อยากขอรับ ถ้าข้าโตกว่านี้ น่าจะปกป้องใครได้บ้าง"
นางยิ้มให้เด็กน้อยคนนั้น สายตาของเข้าจ้องมองเธอ หัวใจของเขาเต้นรัว เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันใด ภาพที่หญิงสาวผู้นี้จับดาบต่อสู่กับคนพวกนั้นอย่างง่ายดายยังติดตรึงในดวงตา สายลมพัดเส้นผมของสีดำขลับของเธอพริ้วไสวตามแรงกระเพื่อมของจังหวะที่ม้าวิ่ง เขาจ้องมองนางด้วยสายตาที่เป็นประกาย
"อะไรกัน มาร์ติน เจ้าคร้านฝึกซ้อมดาบเยี่ยงนี้เจ้าจะชนะการประลองได้อย่างไร"
"ท่านหญิงเทร่า"
"จับดาบขึ้นมา"
หลังจากเสียงกระกระทบกันไม่ถึงเสี้ยวอึดใจ ดาบของนางพวยพุ่งไปยังมาร์ติน เขาปัดดาบออกก่อนที่คมของมันจะตึงต้นคอ เสียงโลหะกระทบราวกับเป็นเสียงจังหวะของหัวใจ การดวลดาบที่คล้ายกับผีเสื้อตอมดอกไม้ มาร์ตินได้แต่ตั้งรับเท่านั้น
"เจ้าต้านข้าได้นานขึ้นนี่ แสดงว่าฝีมือของเจ้าก็เก่งขึ้นกว่าเดิมมาก"
"ไม่หรอกขอรับท่านหญิง ข้าจะเก่งกว่าคนที่สอบวิชาดาบให้ข้าได้อย่างไร"
"เจ้าจะเป็นองครักษ์ของข้า ต้องเก่งกว่าข้าสิ"
เทร่าเริ่มจู่โจมหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่มาร์ตินก็ต้านทานนางไหว ทันใดนั้นเขาสามรถหลบวิถีดาบและถอยห่างจากนางได้ แต่หลังของเขาก็ไปกระแทกคันโยกของกลที่ใช้ในการฝึกดาบ
"ระวัง!"
เทร่าพุ่งเข้าหามาร์ติน ทั้งคู่ล้มลงก่อนที่กระสอบทรายจะทิ้งดิ่งลงจากคานอย่างหวุดหวิด ฝุ่นจากกระสอบทรายฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ ยิ่งทำให้ลำแสงที่ลอดจากช่องหน้าต่างของปราสาทเป็นลำสีส้มเปลือกไข่อ่อนละมุน นางลุกขึ้นจากร่างของเขาแล้วยืนขึ้น มาร์ตินลุกขึ้นนั่งแต่ก็ยังตกใจไม่หาย เขามองนางยื่นมือมาหาเขาเพื่อช่วยให้ยืนขึ้น
"ท่านหญิง ไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ"
"ข้าน่าจะถามเจ้ามากกว่า ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้ากับข้าใครจะปกป้องใครกันแน่"
"ขออภัยด้วยขอรับท่านหญิง"
"เจ้าจงไถ่โทษครั้งนี้ด้วยการชนะการประลองในอาทิตย์หน้า ข้าต้องการองครักษ์ที่คุยเรื่องวิทยาการของกรีกกับข้าได้ ไม่ใช่เพียงแค่ฟันดาบเป็นอย่างเดียว"
"ขอรับ ท่านหญิง" นางหันหลังเดินจากเขาไป เขามองนางอย่างไม่กระพริบตา
เทร่าเดินไปยังโบสถ์เพื่อไปพบอาของนาง ตระกูลของนางตอนนี้เหลือเพียงมารดาและอาอยู่เพียงเท่านั้น หลังจากที่บิดาและพี่ชายนำทัพไปสมทบกับกองทัพจักรวรรดิ์โรมันในสงครามครูเสดได้หลายเดือนก็ไม่ได้ข่าวคราวอีกเลย แต่การที่บิดาของนางทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่านางเป็นผู้ชายและเลี้ยงดูนางเยี่ยงบุรุษเพื่อให้บรรดาอัศวินยอมรับอำนาจในการปกครองของนาง มีเพียงคนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ความลับนี้
"ท่านอา..." นางเดินเข้าไปในโบสถ์ที่เงียบสงัด แสงจากกระจกสีสาดส่องลงมายังแท่นบูชาเบื้องหน้ารูปปั้นพระแม่มาเรีย เบื้องบนเป็นรูปปั้นพระเยซูที่ถูกตรึงกับไม้กางเขน ชายร่างใหญ่นั่งคุกเข่าภาวนาอยู่ท่ามกลางลำแสงนั้น นางค่อย ๆ เดินเข้าไปหา แล้วหยุดอยู่ด้านหลังของเขา
"พ่อสังหรณ์ใจ ราวกับว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับเมืองของเรา" ชายวัยกลางคนค่อย ๆ หันมา ชุดของบาทหลวงสีดำยิ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูเศร้าหมองขึ้น
"ท่านอา ท่านมีเรื่องไม่สบายใจอันใด" นางเอ่ยถามด้วยความที่ยังไม่เข้าใจถ้อยคำเหล่านั้น
"พระสังฆราชที่โรม ส่งสารมาขอให้เมืองเราช่วยกองทัพของจักรวรรดิ์โรมัน แต่เมืองเราเหลือผู้ชายเพียงสองร้อยกว่าคนเท่านั้น มีแต่เด็กกับคนแก่ จะให้ทรัพย์สินเงินทองหรือเสบียงก็หามีมากไม่"
"ข้าพอจะช่วยอะไรท่านได้บ้าง"
"ลูกเป็นเพียงผู้หญิง จะนำทัพที่มีแต่เด็กกับคนแก่ไปสู้รบปรบมือกับใครได้"
"ท่านเองก็เกลียดการทำสงครามมิใช่หรือ"
"พ่อรู้ว่าลูกทั้งเก่งและทั้งฉลาด"
"คนที่ข้าส่งไปสืบข่าวของท่านพ่อและท่านพี่ก็ยังไม่กลับมา ไม่รู้ทางนั้นจะเป็นเช่นไร"
"อีกหนึ่งเดือนกองทัพจะเดินทางผ่านเมืองเรา พ่อว่ามันผิดแปลกไป"
"ทำไมหรือคะ"
"เพราะมันคือทางที่จะไปเมืองคอนสแตนติโนเปิล"
"แสดงว่า..."
"มันคนละทางกับไปปาเลสไตน์ ผู้นำทัพต้องการอะไรกันแน่"
นางขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจว่ากองทัพของจักรวรรดิ์โรมันที่ระยะหลังพ่ายแพ้และพาผู้คนไปล้มตายในสงครามครูเสดเป็นจำนวนมาก มันเป็นพระประสงค์ของผู้เป็นเจ้าจริงหรือ
"พรุ่งนี้พ่อจะส่งพระธรรมฑูตไปคอนสแตนติโนเปิลเพื่อแจ้งข่าวนี้ให้ทราบ ลูกช่วยเตรียมขบวนคุ้มกันได้ไหม"
"ค่ะ"
"พ่อขอโทษลูกด้วยนะ ที่รบกวนกำลังทหารที่เหลือน้อยนิด"
"อาทิตย์หน้าก็จะมีการประลองเพื่อคัดเลือกองครักษ์ของข้า ในปราสาทเองก็จะคัดเลือกคนมาเป็นนักรบเพิ่มขึ้นด้วย ท่านอย่ากังวลไปเลย"
ในใจของทั้งสองคงคิดว่า เมื่อใดเล่าที่การเข่นฆ่าในสงครามมันจะจบลงเสียที
ท้องฟ้าฤดูร้อนเป็นสีครามกระจ่างนิ่งสงบกับก้อนเมฆสีขาวนุ่มราวกับปุยของขนแกะ แสงตะวันทำให้เกราะของเหล่านักรบบนลานประลองสะท้อนแสงและเป็นเงาขลับให้ดูสง่างาม ชายวัยหนุ่มห้าสิบกว่าคนฟาดฟันคมดาบใส่กันคนแล้วคนเล่า รอบแล้วรอบล่า บ้างเหนื่อยล้า บ้างฝีมือยังอ่อนด้อย จึงต้องตกรอบไป บนระเบียงของห้องชมลามประลองมีมุกเม็ดงามในชุดเกราะสีดำคลุมด้วยผ้าคลุมไหล่กำมะหยี่สีแดงเลือดนก จ้องมองหนุ่มน้อยมาร์ตินที่ชนะการประลองตามที่นางสั่งสำเร็จ
"ข้าทำสำเร็จแล้วท่าน...หญะ ท่านเทร่า"
"ดีมาก" นางเอื้อมตัวลงไปกระซิบเขาขณะเอาผ้าคลุมไหล่สีน้ำตาลหลุมไหล่แล้วติดเข็มประจำตำแหน่งให้มาร์ตินที่กำลังคุกเข่า
"ข้าไม่ว่าเจ้าหรอกที่เรียกข้าว่าท่านหญิง แต่คราวหน้าเจ้าต้องระมัดระวังกว่านี้"
"ทำไมเล่าท่าน"
"อย่าลืมว่าคนภายนอกเข้าใจว่าข้าเป็นชาย มีเพีงคนสนิทของข้าเท่านั้นที่รู้ว่าข้าเป็นหญิง จากนี้เจ้าต้องปกป้องข้า ในฐานะขององครักษ์เทร่า"
"ซึ่งความจริงนางเป็นผู้หญิง"
นางติดเข็มกลัดประจำตำแหน่งเป็นรูปหัวมังกร ดวงตาของมันเป็นสีม่วงของอะเมธิสต์ พอนางติดเรียบร้อยแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมา
"อะเมธิสต์เป็นอัญมนีที่เชื่อกันว่าสามารถปกป้องคุ้มครองอันตรายจากภัยต่าง ๆ เจ้าอยู่ในสถานะที่ข้าจะดูแลเจ้าดังเช่นเมื่อก่อนไม่ได้ จากนี้ไปเจ้าต้องดูแลข้าอย่างระมัดระวัง"
นางมอบดาบประจำตำแหน่ง เขารับแล้วเงยหน้ามองนางด้วยสายตาเดียวกันกับที่นางเคยพาควบม้ากลับเมืองที่ยังคงเป็นประกายเช่นนั้นอยู่เสมอ
"ขอรับท่านเทร่า "แต่แววตาในวันนี้ดูเข้มแข็งขึ้นกว่าเมื่อสี่ปีที่แล้ว
จากคุณ :
asary
- [
วันฉัตรมงคล 14:33:01
]