ฉันกลับมาเยือน ณ แดนดินถิ่นไทยด้วยความอิ่มเอิบใจยิ่ง ได้หมดตัวภาระไปซะที งานการก็ไม่ได้ทำ ต้องคอยมาดูแลพาวัตถุเคลื่อนที่ไวไปป้อนข้าวป้อนน้ำ ห้ามวิ่งเล่น ห้ามบ้าพลังเดินตามคนพยายามทำงานอย่างฉัน
นี่มันคนอายุสามสิบหรือลิงเด็กป่วยกันแน่หือ?
โชคดีที่ตัวภาระหน้าหล่อยังรู้จักมีหิริโอตัปปะ ทดแทนคุณหลังจากสร้างบาปให้ฉันได้บุญคุ้มหัวที่ต้องเอาตัวไปดูแลคนเจ็บขาเดี้ยงด้วยเวระที่ตัวเองเป็นคนก่อจนเสียงานเสียการ เสียความตั้งใจที่จะไปซึมซับความเป็นลาวดั้งเดิมเพื่อกลับมาสรรค์สร้างงานศิลปะเพื่อ(เงิน)ชาวต่างชาติคนหนึ่ง คุณนทีต้องรื้อเอาภาพถ่ายที่ลาวเมื่อครั้งก่อนมาให้ฉันได้ยลทุกรูปเพื่อเสาะหาความเป็นลาวที่อาจสอดแทรกอยู่ในติ่งใดติ่งหนึ่งของรูปเหลี่ยมๆ
"ผมรับเล่ารายละเอียด สถานการณ์ สภาพแวดล้อมทุกอย่างให้คุณลูกชุบฟังแบบฟรีๆ ไม่มีชาร์จเลย ไม่ต้องกลัวเรื่องอารมณ์ของศิลปะว่าจะไม่เหมือนชมของจริง รับประกัน"
ฉันกลัวคุณมากกว่าค่ะ คุณนทีไม่มีหยุดพูดค๊า...
"ดีซะอีกสิครับ คุณจะได้เกิดความภาคภูมิใจในงานที่สร้างได้จากอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริง จากการคิดตามและสัมผัสด้วยใจ มากกว่าใช้การมองเห็นด้วยตา...มันน่าภูมิใจออก"
ความภาคภูมิใจของคุณมันดูเข้าข้างตัวเองยังไงชอบกล หากความภูมิใจของคนมันแอบสแทรก(Abstract) ขนาดนั้นล่ะก็ฉันขอสมัครเข้าพวกวัตถุนิยมอีกคนก็แล้วกัน ฉันเข้าไม่ถึงหรอก โชคดีที่พี่ฝรั่งแกติสท์มากพอมั่วบิวท์อารมณ์ไปกับวัตถุหน้าตาประหลาดขนาดฟุตครึ่งที่ฉันอธิบายว่าส่วนเว้าส่วนโค้งมันเป็นลาวยังไง โอย...เกือบไม่รอด
นี่ยังไม่เหมารวมเรื่องที่ทำให้ฉันเสื่อมเสียสถานภาพโสดไปอย่าง(ไม่)ตั้งใจอีกนะ ข่าวค(ร)าวฉาวโฉ่ระหว่างฉันกับคุณนทีที่พากันมั่วนิ่มเป็นสามีภรรยาในลาวกลับกำจรกำจายผ่านสายโทรศัพท์ได้ชัดแจ๋ว ขอบคุณวิทยาการทางการสื่อสารที่ล้ำหน้ามากนะคะ คิดดูเอาเถอะ ตอนขากลับมาอวิกามันโทรทักทายฉันทันทีที่เปิดเครื่องเหมือนมีเหยี่ยวข่าวคาบไปบอกมันตั้งแต่เครื่องแลนดิ้งที่ดอนเมือง
"เสียประตูให้ช่างภาพไปแล้วหรือไงหล่อน นี่ลำเพยเขาถึงกับโทรมาซักฉันตื่นเต้นยกใหญ่เลยนะว่าแกไปได้เสียกันตอนไหน"
หืม ปาก...จริงๆ นะเพื่อนฉัน เชื่อว่าคนน่ารักรู้จักใช้ภาษาไทยมากกว่าคนในชาติอย่างลำเพยพรรณมณีต้องใช้ภาษาสวยหรูดูดีมีสกุลกว่านั้นแน่ๆ แต่แม่นี่เล่นแปลมาตรงๆ ทำเอาสะเทือนไปถึงลิ้นปี่
"แหม...ฉันรู้น่าว่ามันไม่จริง แซวเล่นหรอก หน้าตารูปร่างอย่างหล่อนยั่วใครไม่ขึ้นหรอกน่า..." อือ...ขอบใจนะ "ที่โทรมานี่จะบอกว่ามีบัตรฟรีชมแฟชั่นโชว์การกุศลมาให้...ไปดูซะเลย ชั้นได้เดินชุดฟินาเล่ด้วยนะแก๊..."
และอื่นๆ อีกมากมายเท่าที่คนช่างประชดอย่างมันจะพ่นและเล่าออกมาได้ให้หน่ายหัวอก และมาตบท้ายด้วยประโยคน่าเสยปลายคางสักทีก่อนวางสายไป
"เดี๋ยวชั้นส่งตั๋วให้แกสองใบ ชวนสามีแกไปด้วยล่ะ"
.................................................................................
พอถึงวันงาน ฉันกับสามี เอ้อ...ไม่ใช่สิ ฉันกับคุณนทีก็พากันทำตัวขวางโลกเดินลงจากแท๊กซี่สีม่วงสดเข้างานไปท่ามกลางสายตาบรรดาไฮโซราตรียาวรองเท้าแหลมเปี้ยบที่ควงคู่กันมากับหนุ่มน้อยใหญ่ในสูทราคาแพงทำให้ต้องก้มลงมองตัวเองจากเท้าขึ้นมาจดตัว ไปหัวไม่ได้...มันไม่เห็น ก็ไม่เห็นจะเลวร้ายตรงไหน นี่ชุดออกงานฉันเลยนะนี่ รองเท้าสานป่านปอสุดเดิ้น กระโปรงยาวลายผ้าไทยป้ายหน้าป้ายหลังแถมกระพรวนแมวประดับตามขอบเอวที่พับป้ายลงมาออกน่ารัก เสื้อสายเดี่ยวตัวสั้นผ้าฝ้ายคุ้มไทยออกเก๋ไก๋ขนาดนี้ แล้วฉันถึงกับลงทุนเข้าร้านให้เขาเกล้ามวยสวยเด้งเชียวนะนี่ ปักปิ่นที่ได้มาจากสาวลาวอีกที อู้ย...เป็นนางแบบแทนยัยเพชรยังได้
ชื่นชมตัวเองหนำใจก็หันไปสำรวจคนข้างๆ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน แต่งตัวมาได้เข้ากับฉันจะตาย เสื้อคอปกผ้าฝ้ายเนื้อพลิ้ว สีขาวสะอาดตา ประดับด้วยผ้าทอตีนจกลายสวยพาดผ่านที่บ่าข้างหนึ่ง กางเกงผ้าไหมไทยสีเข้มนั่นก็ออกจะดูดี หล่อมีจรรยาบรรณ นี่ขนาดไม่ได้นัดกันแต่งตัวมานะ
"เอ่อ...เราเข้างานไปเขาจะไล่ออกมามั๊ยล่ะนี่" คุณนทีกระซิบกระซาบกับฉันท่าทางหวาดๆ
"ถ้าเป็นงั้นก็ไม่ต้องกลัวค่ะ อย่างน้อยคุณก็มีเพื่อนโดนไล่อีกคน"
มันใช่ความผิดฉันที่ไหน แค่ฉันโทรไปหาเขาบอกสั้นๆ ง่ายๆ ให้ไปเป็นเพื่อนฉันออกงานแฟชั่น 'ผ้าไทยปลายศตวรรษยี่สิบเอ็ด' เพราะบัตรมันเหลือหนึ่งใบ แค่เนี้ย เขาเองก็ดีใจหายรับคำฉับไวทันใจตั้งแต่ยังชวนไม่จบประโยค ในบัตรก็ไม่ได้ระบุไว้นี่นา ว่ามันจะเป็นงานใหญ่ หรูหราขนาดนี้
"เอาเถอะ...จะเป็นไรไป เพราะเราภาคภูมิใจในความเป็นไทย!" คุณนทีสร้างความฮึกเหิมให้เราทั้งสองก่อนเดินยืดอกเข้างานไปพร้อมบัตรเชิญ อ้อ...ขาเขาหายดีแล้ว เราเลยดูไม่น่าสมเพชเท่าไร
ปรากฏว่างานนี้ไม่มีใครโดนไล่ เจ้าหน้าที่ต้อนรับหน้างานแทบเปลี่ยนกิริยาอาการจากเหยียดบึ้งมาเป็นหมอบคลานแทบไม่ทันเมื่อได้เห็นบัตรเชิญขอบทองที่เพชรมันส่งมาให้เข้า ต้องยกประโยชน์ให้ความเด็ดดวงของ นางสาวอวิกา นางแบบชุดฟินาเล่ของคืนนี้ ที่มีความใหญ่ของนามสกุลและมีทุนหนาโปะค่าใช้จ่ายในงานไปไม่น้อยจนทำให้ฉันได้บัตรเชิญขอบทองแสดงความมี 'ระดับ' ของอภิมหาอมตะค่อดพ่อบัตรวีไอพี!
สาวสวยขนตางอนเช้งเดินยักย้ายร่ายรำนำเรามาถึงที่นั่งบริเวณด้านหน้าเกาะขอบเวที รู้สึกดี๊ดีเหมือนเป็นลูกท่านหลานเธอ ในเมื่อมีโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตติสท์ๆ ปอนๆ ได้มานั่งยืดคอเสมือนเป็นพญาหงส์กลางพงไพร
การเดินแฟชั่นยังไม่เริ่ม ตอนนี้ก็มีแต่ภาพฉายจากวีดีโอจอยักษ์ประกาศเกียรติคุณความงามของผ้าไทยและรางวัลทั้งหลายที่ดีไซเนอร์คู่บัดดี้ชื่อดังไปคว้ามาจากทั่วโลกจากการออกแบบชุดหลากสไตล์โดยเน้นใช้เฉพาะผ้าไทยพื้นเมืองล้วนๆ เล่นเอาฉันเพลินดูไปพอนาน สักพักคนข้างๆ ก็เริ่มยุกยิกเสมือนผีลิงตัวเก่าที่ลาวมาเข้าร่างอีกครั้ง ยังไม่ทันจะเอ่ยปากถากคนอยู่ไม่สุข โทรศัพท์ฉันก็สั่นสะเทือน
"ยัยชุบ มาช่วยฉันหลังเวทีหน่อย เดินๆ เข้ามาเลยบอกเป็นเพื่อนอวิกา ใครหน้าไหนมันไม่ให้เข้ามาบอกฉัน" กรอกเสียงฮัลโหลไปไม่ทันจบลอลิงเพชรก็สวนกลับมารวดเร็วน้ำเสียงกระวนกระวายแปลกๆ ลางสังหรณ์ฉันชักไม่ค่อยดีแล้วสิ
ฉัยเลยต้องปล่อยคุณนทีนั่งทำหน้าเป๋อเหรออยู่ลำพัง อกคงแตกตายเลยมั้งนั่น กล้องก็ไม่ได้เอามาหาคนคุยด้วยก็ไม่ได้ ฮ่า ฮ่า สม...
...............................................................
ไม่เคยนึกรังเกียจลางสังหรณ์ตัวเองได้เท่าครั้งนี้มาเลยตลอดชีวิตที่ผ่านมา ตอนก้าวขามาประตูหลังเวทีที่เป็นส่วนแต่งตัวสาวๆ นางแบบแท้และเทียมทั้งหลายก็ว่าตาซ้ายตาขวามันขยิบสลับกันอยู่ ใครจะไปรู้ว่ามันจะซรวยได้ใจขนาดนี้
"น่า น้องช่วยเจ๊หน่อยเถอะ...ชุดนี้มันเป็นเกาะอก แล้วร้านพี่ตัดมาเล็กไปไม่พอดี พอดีน้องเพชรเขานึกได้ว่าน้องลูกชุบแบ...เอ่อ...เล็กกว่านิ๊ดนึง น่าพอได้" หนุ่มร่างใหญ่ใจสาวแตกจีบปากจีบคอพูด ตรงประโยคช่วงท้ายปรายตามองส่วนเจ้าปัญหาที่ว่าของเพชรและฉันสลับกัน ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเบาลง เล่นเอาฉันต้องกอดอกปกป้องสิทธิสตรี (ที่ดันมีอยู่น้อยนิด)
และอย่างที่ฉันรำคาญตัวเองอยู่ตลอดเวลาคือความขี้เกรงใจไม่รู้จักมีปากของฉันนี่แหล่ะ ผสมกับความเจ้ากี้เจ้าการอันน่าชังของเพื่อนสาวทอร์นาโด (ทั้งนิสัยและหน้าอกหน้าใจ) ทำให้ฉันไหลไปตามกระแสอย่างช่วยไม่ได้ กระแสอะไรกันฟะ ทำฉันต้องมานั่งหน้าเมื่อยเป็นตุ๊กตาอีกแล้ว
"แหม...มันจะอะไรนักหนา แค่เดินๆ ไปก็พอน่า เนี่ยๆ เดินตรงๆ ไป พอสุดทางก็หมุนซ้าย หมุนขวา ยิ้มสวยๆ ใส่หน้ากล้องสักที แล้วเดินกลับ...มันยากตรงไหน" เพชรบ่นตอนฉันทำท่าเหมือนจะตายเมื่อแต่งตัวเสร็จรอคิวขึ้นเดิน
"แล้วพูดก็พูดเถอะนะ...พอจับแต่งหน้าแต่งตา แต่งตัวดีๆ เข้าหน่อยแกก็สวยใช้ได้ มั่นใจหน่อย...เผื่อไงสามีแกจะได้หลง ไม่ดีเหรอ" ดูมันช่างสรรหาคำมาหว่านล้อมปลอบประโลมฉันเสียจริง ตัวเองผิดเองที่เกิดมาหน้าอกใหญ่ไซส์เอ็กซ์แอลเล่นเอาคนตัดผ้าหน้ามึนทำออกมาเล็กกว่าของจริง ดีนะว่าชุดฟินาเล่อะไรของเจ๊แกไม่ใช่เกาะอก เย็บๆ กลัดๆ อะไรเข้าหน่อยก็ปล่อยไปเฉิดฉายบนร่างกายแบบบางแต่อึ๋มจัดของอวิกาได้ อือ...อิจฉามันจัง
"เอ้า...คุณหญิง แหม...มาทันเวลาพอดีเลยค่ะ" สิ้นเสียงคำประชดของเจ๊เจ้าของร้านตัดเสื้อที่เหมางานนี้โดยตรงฉันก็รู้สึกเหมือนเดจาวูบังเกิดขณะที่หันไปสบตาคุณหญิงที่ว่านั่นพอดี
เจ้ย...สวยล่ะสิ
ไม่สวยยังไงไหว ก็ยัยคุณหญิงคนนี้ที่ฉันไปยืนด่าปาวๆ อยู่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนฉันยังร้อนๆ หนาวๆ ว่าแกจะส่งคนมาสืบหาพาลูกปืนมาเยี่ยมจากมือดีของแกบ้างรึเปล่า เอาล่ะหวา ยั๊งต้องมาเดินคู่กันอี๊ก...โอ ชะตาฟ้าแกล้งนางเอกอย่างฉันเสียจริง
ท่าทางผะอืดผะอมของฉันกับอาการกัดฟันเข่นเขี้ยวของคุณหญิง 'ดากานดา' มันคงชัดเจนแดงแจ๋มาก ขนาดหยาบๆ อย่างเพชรยังจับได้
"แกจะมีความหลังอะไรกับคุณหญิงรึเปล่าชั้นไม่สน แต่ขอบอกไว้ ว่าชั้นอย่างดีใจเลยที่ไม่ต้องเดินกับยัยคุณหญิงนี่ โชคดีนะแก" แล้วมันก็เดินตัวปลิวไปอีกทางตอนที่ช่างแต่งหน้าแต่งตัวมาเรียกไปประดิษฐ์ประดอยชุดฟินาเล่ของมันในคิวท้ายสุด
เพชร ฉันเกลียดแกว่ะ!
.........................................................................
<มีต่อค่ะ>
*แก้คำตามเม้นท์คุณชญาลีเค่อะ - -"*
แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 51 08:42:43
แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 51 13:16:05
แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 51 15:34:08