Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    สยามแห่งรัก

    สยามแห่งรัก : แบบฉบับจินตนาการจากรักแห่งสยาม

                             ***********
    "มิว"
    เสียงเรียกชื่อมิวดังอยู่ด้านหลัง มิวรู้สึกคุ้นเสียงเด็กหนุ่มชะงักเล็กน้อยค่อยๆหันหน้ามาเพื่อนๆของมิวก็ชะงักตามทั้งกลุ่มหยุดเดิน ในขณะที่รถตู้กำลังติดเครื่องยนต์รออยู่
    ภาพที่มิวเห็นปรากฏตรงหน้า โต้งยืนอยู่ด้านหน้าเวทีที่มิวเพิ่งขึ้นไปแสดงคอนเสิร์ตเมื่อสักครู่ ทั้งสองยิ้มให้กัน
         "ไงโต้ง!!"
         "เพลงเพราะดีนะ" โต้งเขินๆไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
         "ฟังแล้ว...โต้งว่าไง" มิวยิ้มๆอยากฟังความรู้สึกของอีกฝ่าย
         "ก็...เอ่อ...เราคงคบกับมิวเป็นแฟนไม่ได้" โต้งพูดเบาๆเหมือนไม่ค่อยแน่ใจตัวเองพลางหลบสายตามิว
         "แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่ได้รักมิวนะ!!"
    โต้งรีบพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้าของมิวเจื่อนลง นั่นเป็นภาพจากภายนอกที่โต้งเห็น หากโต้งเป็นมิวในขณะนี้ คงรับรู้ถึงความเจ็บปวดราวกับเข็มที่ทิ่มลงตรงกลางหัวใจ ไม่ต้องถึงร้อยเล่มแสนเล่มหรอก...เพียงแค่เล่มเดียวมิวก็แทบล้มทั้งยืน
        "ขอบคุณนะ" มิวเงยหน้าสบตากับโต้งช้าๆ ถ้าหากมิวหายตัวได้คงไม่ต้องเอ่ยคำใดๆออกมาให้ได้เสียใจมากไปกว่านี้
         "งั้นเราไปก่อนนะ เพื่อนรอ" มิวบอกกับโต้งอีกครั้ง พยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ พลางหันไปทางกลุ่มเพื่อนๆที่ยืนรอด้วยใบหน้าเซ็งๆ
         "เดี๋ยวก่อน...มิว...." โต้งเรียกไว้ รีบหยิบของสิ่งหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกง
         " อ่ะ!!...ให้"
    มิวค่อยๆเอื้อมมือไปรับของสิ่งนั้นจากมือของโต้ง
         " อะไรน่ะ!!" มิวแปลกใจ
         " ของขวัญวันคริสต์มาสไง" โต้งบอกยิ้มๆ ใบหน้ามีความสุขราวกับวัยเด็กที่เคยให้ของขวัญกับมิว
         " ขอบคุณนะ!!" มิวพูดย้ำอีกครั้ง แม้ฟังดูออกมาจากใจ แต่ก็เป็นใจที่ร้าวรานเต็มทน
         "งั้น!! เราไปก่อนนะ" มิวหันไปทางเพื่อนอีกครั้ง ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้โต้งอีกครั้ง ทั้งสองคนสบตากันนิ่ง
         " โชคดีนะ" มิวบอกเบาๆแต่หนักแน่น
         "โชคดี" โต้งบอกตาม มิวตัดสินใจหันหลังเดินไปหากลุ่มของเพื่อนๆ สมาชิกวงออกัสอดแซวมิวไม่ได้ มิวยิ้มให้กับเพื่อนๆเป็นการขอโทษที่รอนาน แต่สองเท้าของมิวรีบเดินให้ถึงรถตู้เร็วๆเพื่อจะได้กลับถึงบ้าน แต่ก็อดหันกลับมามองโต้งอีกครั้งไม่ได้ โต้งโบกมาไหวๆอยู่ด้านหลัง มิวมองด้วยแววตาที่รวดร้ายและรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก

                                       ********
    ที่บ้านของโต้ง เขาเดินเข้ามาด้วยบรรยากาศเงียบเหงา กรผู้เป็นพ่อหลับลงบนตั่งไม้ตัวเดิม มีเพียงสุนีย์ผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ในมุมมืด สายตาทอดมองไปที่ต้นคริสต์มาสพลาสติกที่ตกแต่งโคมไฟดวงเล็กๆเพียงลำพัง โต้งทรุดตัวนั่งลงใกล้ๆแม่ สุนีย์หันมามองใบหน้าเรียบเฉย
       "พี่จูนเขามาหรือเปล่า?" โต้งถามแม่เบาๆ สุนีย์ส่ายหน้าช้าๆแต่มีรอยยิ้มบางๆเจือด้วยความขื่นขม
       " ไม่มาหรอก เค้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว ต่อไปนี้จะมีแต่เรานะลูก"
    สุนีย์โผกอดลูกชายไว้แน่น ราวกับกลัวลูกชายหนีหายไปไหน โต้งเงยหน้ามองไปด้านหลังเห็นผู้เป็นพ่อนอนยิ้มให้อยู่บนที่นอน โต้งยิ้มให้กับพ่ออย่างมีความสุขและกอดแม่แน่น เหมือนยอมรับความจริงบางอย่าง

                                         ********
    เวลาเดียวกันกับที่บ้านของมิว เด็กหนุ่มเดินไปที่โต๊ะทำการบ้านใกล้ๆกับเตียงนอน  ตุ๊กตาไม้ยังวางอยู่ที่เดิมมิวค่อยๆสอดก้านจมูกที่เพิ่งได้รับเป็นของขวัญวันคริสต์มาสจากโต้งในปีนี้ ก้านจมูกค่อยๆสอดเข้าไปอย่างช้าๆแม้จะลำบากอยู่บ้างเพราะคนละขนาดกัน แต่มันก็ทำให้ตุ๊กตาไม้มีชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ขึ้น ราวกับเป็นตัวแทนของโต้งที่จะมาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปของมิวให้สมบูรณ์เช่นกัน
         "ขอบคุณนะ!!"
    มิวพูดคนเดียว พลางเหม่อมองไปที่ตุ๊กตาไม้นั้น แล้วหยาดน้ำตาแห่งความรู้สึกข้างในก็ทะลักไหลอาบแก้มโดยไม่ต้องกักเก็บอีกต่อไป รอบข้างตัวมิวมีแต่ความว่างเปล่าและอ้างว้างแม้จะมีเครื่องดนตรีที่วางอยู่ใกล้ๆตุ๊กตาไม้ แม้จะมีกรอบรูปของอาม่าที่เคยถ่ายคู่กันในวันคริสต์มาสปีก่อนๆ รวมทั้งที่เคยถ่ายกับโต้งด้วยแต่สำหรับปีนี้มิวต้องฉลองคริสต์มาสด้วยความรู้สึกเหงาเพียงลำพัง...

                          ************

          เสียงเปียโนของอาม่าดังขึ้นอีกครั้ง เป็นท่วงทำนองที่อาม่าเคยเล่นให้กับมิวฟังเมื่อตอนที่มิวยังเด็ก สายตาของผู้เล่นยังคงทอดมองไปตามกรอบรูปที่วางอยู่ไม่ไกลนัก บ้างก็วางอยู่บนหลังเครื่อง อย่างภาพของอากงกับอาม่าที่เล่นเปียโนเครื่องนี้ด้วยกัน  มิวมองภาพอาม่าที่ถ่ายคู่ร่วมกันวันงานคริสต์มาสเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ถัดมาไม่ไกลกันเป็นประกาศนียบัตรและถ้วยรางวัลการประกวดดนตรีด้านต่างๆ และสุดท้ายสายตาของมิวก็หยุดอยู่ที่กรอบรูปวันรับปริญญา ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่กี่วัน
        " อาม่า มิวทำได้แล้วนะ!!"
    มิวยิ้มให้กับภาพถ่ายของอาม่า และบรรเลงเปียโนต่อไปอย่างมีความสุข

                                        *******
    วันรับปริญญา นอกจากเอ็กส์ และเพื่อนๆที่มหาวิทยาลัยจะร่วมแสดงความยินดีกับมิวแล้ว ก็ไม่เห็นมีใครอีก มิวได้รับโทรศัพท์จากป๊าที่โทร.มาแสดงความยินดีด้วยในตอนบ่ายๆหลังพิธีการเสร็จสิ้น สำหรับมิวไม่มีความรู้สึกพิเศษใดๆกับเหตุการณืในครั้งนี้สักนิด
    หลังจากนั้นมิวก็กลับมาบ้าน ด้วยความรู้สึกเหงาๆ อดคิดถึงใครบางคนไม่ได้ ภาพความทรงจำต่างๆผุดขึ้นมาเป็นระยะๆ รวมถึงผู้ที่ทำให้มิวมีวันนี้ได้
      " มิว มิวไม่อยากไปอยู่กับป๊าที่ระยองเหรอ?"
      " เปล่า!!ไปทำไม เค้าไม่อยากให้มิวไปอยู่ด้วยสักหน่อย" มิวตอบไปตามประสาเด็ก
      "ไม่ช่าย..." อาม่าลากเสียงยาว นั่งลงใกล้ๆหลานที่กำลังงอน หน้าบึ้งหน้าบูดเป็นจวัก เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้
       "เค้าเห็นว่ามิวนะโตแล้ว จะได้อยู่ดูแลอาม่าไง"
    มันเป็นภาพความทรงจำที่ฝังลึกในความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่ยากจะลบเลือน
        "ถ้าวันนึง มิวไม่ได้อยู่ที่นี่กับอาม่า อาม่ายังจะรอมิวหรือเปล่า?"
    มิวเงยหน้าดูภาพถ่ายของอาม่าบนโต๊ะ แล้วพูดกับภาพถ่ายนั้น ไม่มีอะไรมาหยุดความคิดของมิวในวันวานได้ เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนที่นอนสีเขียวอ่อนผืนโปรด ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความคิด...
                           **********
    มิวพลิกตัวหลับมา สายตายังคงจ้องมองที่เพดาน ก่อนที่จะลุกขึ้นเดินไปหยุดพิงที่ขอบหน้าต่าง เหม่อมองออกไปด้านนอกท่ามกลางความเงียบสงัดในยามวิกาล ป่านนี้เพื่อนๆคนอื่นคงสนุกสนานในผับกันที่ไหนสักแห่ง เพราะเอ็กส์โทรศัพท์มาชวนแต่มิวปฎิเสธไป
    ภาพเก่าๆยังคงเรียงลำดับออกมาจากลิ้นชักความทรงจำเป็นระยะๆความรู้สึกในยามนี้ไม่เคยจางหายไปจากชีวิตของมิวเลยสักนิด หรือจะเป็นคำสาปที่เขาเคยบอกกับใครคนหนึ่งว่า
    "ความเหงามันเอี้ยใส่"
    ความรู้สึกแบบนี้เคยเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า อ่อนแอบ้าง เข้มแข็งบ้างตามสถานการณ์ของความเหงาที่มันเกาะกินหัวใจ ...ภาพในจินตนาการอย่างหนึ่งวูบเข้ามาในความคิด คือภาพของป๊าเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารหรูๆในร้านอาหารที่มีชื่อเสียงและอร่อย มีโต้งนั่งอยู่ใกล้ๆและอาม่าที่ตักหูฉลามใส่ถ้วยเล็กๆส่งให้ทั้งมิวและโต้ง ป๊าพูดชื่นชมพร้อมกับยื่นกล่องของขวัญในวันรับปริญญาให้เป็นการเซอร์ไพร์ส...แต่มันก็เป็นแค่ความฝันสั้นๆที่แว๊บเข้ามาในความคิดเพราะความจริง เขาแทบจำหน้าป๊าไม่ได้เลย ส่วนอาม่าก็จากไปนานแล้ว รวมทั้งโต้งที่เขาไม่เคยได้ยินข่าวคราวด้วยซ้ำ
    ทุกคนทิ้งให้มิวอยู่ในโลกใบใหญ่ที่โหดร้ายเพียงลำพัง ภาพการจากไปของอาม่าผุดขึ้นมาในขณะที่มิวยังคงทอดมองไปที่ตึกตรงกันข้าม....
    วันนั้นป้าที่คอยดูแลอาม่าไปรับมิวกลับจากโรงเรียนเร็วกว่าปกติ บอกว่าอาม่าอยากคุยด้วย มิวกลับมาถึงบ้านเห็นอาม่านอนซมอยู่ที่เตียงเล็กๆด้านล่าง โดยมีป๊านั่งอยู่ที่โต๊ะตัวโปรดของอาม่า เวลาที่อาม่าถักไหมพรมอาม่าชอบนั่งถักตรงโต๊ะเก้าอี้ตัวนี้ หรือไม่ก็โซฟายาวที่วางอยู่ด้านหลังเครื่องเปียโน ใกล้ๆกับป๊ามีเด็กผู้หญิงวัย5-6 ขวบยืนเกาะอยู่ใกล้ๆขาของป๊า และที่นั่งบนเตียงอาม่าคือผู้หญิงอีกคนที่มิวไม่คุ้นหน้า และมิวก็ไม่ได้สนใจใครนอกจากมองอาม่าเพียงคนเดียว สายตาของอาม่าที่มองมายังมิว เหมือนกับต้องการวิ่งโผมากอดมิวอย่างไงอย่างนั้น ...แต่สภาพความจริงของอาม่าไม่สามารถแม้แต่จะผงกศีรษาะขึ้นจากหมอนได้
    " ได้ข่าวว่าช่วงที่อาม่าไม่อยู่ เกเรเหรอ?"
    อาม่าทักขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อนๆแต่แฝงด้วยความรักและอบอุ่น มิวอยากจะทุบตีอาม่าให้หายงอนด้วยความคิดถึงอาม่า เพราะตอนที่ป๊ามารับอาม่าไปหาหมอ อาม่าไม่บอกมิวสักคำ
    ไม่มีเสียงตอบจากเด็กน้อย นอกจากการทิ้งตัวลงนอนใกล้ๆกับอาม่าบนที่นอนเดียวกัน น้ำตาของอาม่าไหลรินลงข้างหมอน สองมือที่เหี่ยวห่นยกขึ้นเพื่อลูบศีรษะของหลานรักสั่นเทาริกๆ มิวมองดูมือของอาม่าที่ไขว่คว้าอยู่กลางอากาศเพราะไม่สามารถเบี่ยงตัวมากอดหลานได้สมใจ เด็กน้อยยกมือขึ้นสัมผัสกับมือของหญิงชราไว้ สัมผัสได้ถึงความรักและห่วงใยที่มีให้กันและกัน ไม่นานมือน้อยๆก็ต้านทานแรงของมือที่สั่นเทาไม่ได้ เมื่อร่างกายที่อ่อนแอของหญิงชราไม่อาจฝืนกับแรงโน้มถ่วงของโลกได้ มือนั้นก็ล่วงลงกับที่นอนพร้อมกับวิณญาณก็ล่องลอยจากร่างไป ไม่ต่างจากได้กระชากความรักและความอบอุ่นออกจากชีวิตของเด็กน้อยที่พยายามจะไขว่คว้าให้อยู่กับตัวเองตราบนานเท่านั้นได้
    มิวเช็ดน้ำตากับสองฝ่ามือของตัวเอง เงยหน้ามองไปที่ตึกแถวที่เคยเป็นที่อยู่ของใครคนหนึ่งที่มิวพยายามจดจำไว้เพียงแค่ความทรงจำในวัยเด็ก ...และที่ตึกแถวหลังเดิมก็เปลี่ยนมาเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง คนที่สอนให้เขาได้รู้จักกับ "ความหวัง...ถ้าตราบใดที่ยังมีความรัก"
    แต่ความรักของมิว มันก็จบลงไปพร้อมๆกับความหวังโดยที่ ไม่เหลือความหวังใดๆอีกเลย...และท้ายที่สุดผู้หญิงคนนี้ก็ทิ้งเขาไปอีกคน
    "หญิง" และหม่าม้า ย้ายไปอยู่กับอาเฮียที่จังหวัดสระแก้ว อาเฮียได้ภรรยาที่นั่นหลังจากที่หญิงเรียนจบมัธยมปลาย "จอย" เป็นคนบอกเรื่องนี้ให้เขาได้รับรู้ เป็นการย้ายออกไปอย่างกระทันหัน ครอบครัวของหญิงมีปัญหาด้านการเงิน เตี่ยของหญิงมีหนี้สินมากมาย จนต้องใช้ความตายเป็นทางออกให้กับตัวเอง หม่าม้าของหญิงรับกับเหตุการณ์นี้ไม่ได้ถึงกับป่วยทางจิต และโชคดีในความโชคร้ายที่จังหวัดสระแก้วมีโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยด้านนี้โดยเฉพาะ ช่วงนั้นผลการเรียนของหญิงย่ำแย่มาก ส่งผลให้สอบเข้าสถาบันที่ต้องการไม่ติด แต่หญิงก็ตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐในเวลาต่อมา
                            ******

    แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 51 12:37:56

    จากคุณ : ออมสินไตตั้น - [ 21 พ.ค. 51 10:10:10 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom