สามวันที่ผ่านมากับการเข้าร่วมประสบการณ์บนท้องถนนราชดำเนิน
สองวันแรกไปถึงช่วงเย็น อยู่จนถึงสาม-สี่ทุ่มจึงกลับบ้าน
แต่เมื่อวานพิเศษหน่อยไปกับเพื่อนคนหนึ่ง
และพิเศษยิ่งกว่านั้นคือราวสองทุ่มครึ่งขณะคาราวานขึ้นร้องนำและเล่นกีต้าร์โดย หงา คาราวาน
กำลังครวญเพลงเดือนเพ็ญได้ยังไม่ถึงครึ่ง ฝนเริ่มโปรยปราย ลมเริ่มพัดโหม เสียงลมหวีดหวิว
เพลงเดือนเพ็ญยังคร่ำครวญท้าทายลมฝนต่อไป
ผ้าใบปลิวไสว กลองก็เปียก กีต้าร์ก็เปียก นักดนตรีเริ่มเปียก
ภาพหงา คาราวานยืนเล่นกีต้่าร์ หลับตา ครวญคร่ำเพลงเดือนเพ็ญท้าทายลมฝนนั้นตราตรึง...
แล้วฝนจึ่งได้เทกระหน่ำ
ผู้คนเรือนหมื่นบนราชดำเนินแตกกระจาย บ้างกางร่ม บ้างใส่เสื้อกันฝน
บนเวทีไฟฟ้าไม่มี
คาราวานจึงฝากเดือนเพ็ญไว้ได้เพียงค่อนดวง....
จากฝูงชนที่แตกกระจายเมื่อได้สติก็จับกลุ่มรวมตัวกันใหม่
แม้ฝนกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา แม้ลมจะโหมกระพืออย่างไม่ล้าแรง จนร่มหลายคันโค้งงอ
ภาพอลหม่านตอนที่ต้องจำใจรับคำทักทายของเม็ดฝน
บัดนี้คือความสงบนิ่ง และกลายเปลี่ยนเป็นสนุกสนาน ราวอยู่ในงานวัด
ฝูงชนไม่ได้หนีไปไหน
เสียงเพลงถูกขับกล่อมและเพื่อยึดรวมจิตใจโดยนักร้องมืออาชีพ และมือสมัครเล่นหลายหน้าผลัดเวียนกัน
ไฟฟ้ายังคงไม่พร้อมสู้ห่าฝน แต่คลื่นคนพร้อมยิ่งกว่า ร่ายระบำบิดเกลียวล้อลมฝน
เมื่อไมค์พร้อมและไฟพร้อม เรื่องราวเริ่มถูกถ่ายทอดต่อโดย นักวิชาการ นักบริหารฯ พิธีกร ฯลฯ อย่างต่อเนื่องต่อไป
ราวเที่ยงคืนฝนยังคงโปรยบาง-บางหลังจากตัวแทนแกนนำขึ้นถ่ายทอดเรื่องราวปัญหาและสาเหตุของ น้ำตาล น้ำมัน ข้าว และ ภาพหน้าปกวารสารของกรมประชาสัมพันธ์ฉบับเดือนที่แล้ว
จึงชวนเพื่อนกลับบ้าน เพราะต้องขับรถไปส่งเพื่อนไกล ไม่อย่างนั้นคงอยู่นั่ง ๆ ยืน ๆ ต่อ ไหน ๆ ตัวก็เปียกปอนไปหมดแล้ว
คืนก่อน...มีพระครูรูปหนึ่งจากสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งกล่าวบนเวทีว่า
"คนทำดี อาจไม่ใช่คนดี เพราะเราเองคงไม่รู้ได้ว่าใครเป็นคนดี หรือคนไม่ดี แต่จงชื่นชมคนที่ทำดีเป็นสำคัญ แม้เขาอาจไม่ใช่คนดี"
เมื่อคืน...ผู้ขึ้นพูดบนเวทีที่อายุน้อยที่สุดคือ ๑๐ ขวบ เรียนอยู่ชั้น ป.๕
ส่วนคนที่อยู่ในช่วงวัย ๑๘ - ๓๐ นั้นหาได้ยากเย็น
พลังจากเหล่าปัญญาชนวัยหนุ่มสาวที่เป็นดั่งพลังหลักเฉกเช่นในอดีตนั้นเหือดหายสิ้นแล้ว?
บัดนี้คงผันตัวไปเป็นปัจเจกชนที่แยกตัวจากสังคมสาธารณะกันหมดแล้ว?
วันเสาร์ที่ผ่านมา...ไปบรรยายให้นักศึกษาหลักสูตรวิทยาการสารสนเทศ มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ได้พบปะคณาจารย์หลายท่าน เราพูดคุยกันถึงสังคมและเด็กรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป
และคุยกันมากอย่างท้อใจเกี่ยวกับการเมืองและทุจริตคอร์รัปชั่น...ที่ผสานผสมกับวัฒนธรรมไทยอย่างแยกกันไม่ออก
ในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ก็ใช่ย่อย
โครงสร้างอุตสาหกรรมนี้พิการตั้งแต่ยังไม่ทันได้โตเต็มที่ เราต่างเวทนากับอุบัติการณ์นี้
นักไอทีรุ่นใหม่มากมายร่ำเรียนและทำงานเพื่อเงินตรา
สังคมเปลี่ยนไปเช่นไรสัญลักษณ์แห่งเส้นทางสู่ 'อำนาจ' ยังคงเิดิมมิได้เปลี่ยนตาม
แต่อำนาจชอบล้อเล่นกับผู้คนเสมอ เพราะมักตกอยู่ในมือของคนที่ไม่รู้จักใช้...
ขณะกำลังเดินออกจากถนนราชดำเนิน...ฝูงคนยังมีปริมาณเท่าเดิมไม่ล้าถอยไปไหน
แต่ละคนเปียกปอน ดวงตาฉายแววมุ่งมั่น ประกายระยิบยับในดวงตาของผองชน คงรู้สึกราวว่าตนมาเที่ยวงานวัดกับเพื่อนฝูงลูกหลาน กำลังยืนดูมหรศพบนเวทีอย่างติดลม
สายฝนปรายโปรย-โรยตัว-อ่อนแรง ท้องถนนชื้นเปียก ขับแสงสะท้อนไฟของตึกราม ร้านค้า...
ขออย่าให้วันศุกร์นี้ราชดำเนินต้องเจิ่งนองด้วยน้ำสีแดงเลย........
================================================
หลังจากห่างหายไปจากที่นี่ร่วมสิบปี คิดถึงเหลือเกิน
สังคมแห่งนี้มีสมาชิกมากมายกว่าเก่าก่อนขึ้นจนผิดตา
หากผมเขียนอะไรขึ้นมาอีกเมื่อไรจะไม่ลืมนำมาฝากกันครับ :)
แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 51 01:49:26
แก้ไขเมื่อ 30 พ.ค. 51 01:48:45
จากคุณ :
ผู้ชายในเงาจันทร์
- [
30 พ.ค. 51 01:46:40
]