Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ผู้มีคุณ (บันทึกของคนเดินเท้า)

    บันทึกของคนเดินเท้า

    ผู้มีคุณ

    “ เทพารักษ์ “

    มีท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า บุคคลที่เกิดและเจริญเติบโตขึ้นมาได้นั้น ต่างก็ได้อาศัยความอนุเคราะห์จากผู้อื่นทั้งสิ้น ตั้งแต่บิดามารดาผู้ให้กำเนิด ครูอาจารย์ผู้อบรมบ่มนิสัยให้เป็นมนุษย์ ที่เป็นคนดีมีคุณธรรม รวมตลอดไปจนถึงธรรมชาติทั้งมวล ซึ่งให้อากาศสำหรับหายใจ สัตว์และพืชที่เป็นอาหารเลี้ยงชีพ เป็นเครื่องนุ่งห่ม เป็นที่อยู่อาศัย และเป็นยารักษาโรค

    สำหรับผมนั้นนอกจากที่กล่าวมาแล้ว ช่วงเวลากว่าเจ็ดสิบปีที่เติบโตขึ้นมา ก็ได้พึ่งพาอาศัยบุคคลอื่น ที่ช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูประคับประคอง อีกเป็นจำนวนมาก คิดว่าน่าจะบันทึกไว้ก่อนที่จะลืมเลือนไปตามกาลเวลา และกฎของอนิจจัง

    เมื่อผมยังอายุไม่ถึงสิบขวบ อยู่กับแม่ซึ่งอาศัยคุณตาที่ตรอกโรงเรียนนายร้อย ถนนราชดำเนินนอกนั้น แม่มีอาชีพเป็นครูสอนหนังสือเด็กชั้นประถม ในโรงเรียนราษฎร์แถวถนนพะเนียงนางเลิ้ง

    สอนอยู่จนเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือสงครามโลกครั้งที่ ๒ แม่ก็เจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ด้วยโรคปอด พอดีโรงเรียนหยุดให้นักเรียนและผู้ปกครอง หลบภัยสงครามไปอยู่ตามชนบท แม่ก็ขาดรายได้ประจำ ต้องไปขอเบิกเงินจากท่านเจ้าของโรงเรียนเป็นครั้งคราว ซึ่งท่านก็เมตตาให้มาบ้าง แม้จะไม่กี่บาทแต่ก็ช่วยประทังชีวิตไปได้เป็นช่วง ๆ  

    แม่เป็นครูตั้งแต่ยังสาว สมัยนั้นอยู่กับคุณตาซึ่งเป็นผู้พิพากษาของจังหวัดตราด แม่ก็สอนหนังสือที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็มีลูกศิษย์ที่  เติบโต มีครอบครัวประกอบอาชีพเป็นหลักฐานแล้วหลายคน แม่ก็ไปหาลูกศิษย์คนหนึ่ง อยู่แถว     สี่แยกอุรุพงษ์ ขอความช่วยเหลือยืมเงินจำนวนไม่มาก แต่ขอเป็นรายเดือน โดยไม่มีกำหนดว่าจะได้ใช้คืนเมื่อไร

    ท่านผู้นั้นก็ยินดีที่จะช่วยเหลือครูของตนตามคำขอ และผมเองก็เป็นคนไปรับเงินยืมแต่ละเดือนนั้นหลายครั้ง ยังจำได้ไม่ลืม เพราะเมื่อสงครามสงบลง และผมเองมีงานการทำพอเลี้ยงกันได้แล้ว แม่ระลึกถึงคุณของลูกศิษย์ผู้นี้ได้ จึงให้ผมเอาเงินไปคืน ตามจำนวนเดิมซึ่งมีค่าต่ำกว่าเมื่อตอนยืมมาเป็นอันมาก

    ท่านผู้นั้นดีใจมาก เพราะคาดไม่ถึงว่าจะได้คืน  แต่ท่านก็รับไว้แล้ว       ดูเหมือนจะแบ่งให้ผมเป็นรางวัลในความซื่อสัตย์อีกด้วย

    ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งเป็นเด็กหญิงอยู่ในบ้านคุณตา ตั้งแต่จังหวัดตราดจนย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ แม่ก็สอนทั้งวิชาความรู้และการบ้านการเรือน แล้วแม่ก็แต่งงานไปอยู่กับพ่อที่จังหวัดกระบี่และธนบุรี จนแม่หอบลูกกลับมาอยู่กับคุณตาอีกครั้ง ลูกศิษย์ผู้นี้ก็ไม่เคยลืมพระคุณของครูเลย

    ต่อมาเมื่อแม่ยากจนค่นแค้นลง ท่านผู้นี้มีฐานะเป็นปึกแผ่นมั่นคง แม่ก็ต้องไปพึ่งพาด้านการเงิน เช่นเดียวกับลูกศิษย์คนแรก ซึ่งท่านก็เต็มใจช่วยเหลือเกื้อกูล และรับเอาน้องสาวผมไปอุปการะ จนจบการศึกษาเป็นครูโรงเรียนรัฐบาลที่มีชื่อเสียง แล้วก็เลยมาถึงผม

    เมื่อเข้าเป็นทหารกองประจำการ และสมัครเป็นนักเรียนนายสิบทหารสื่อสาร ท่านก็ให้เบี้ยเลี้ยงส่วนตัวทุกอาทิตย์ จนสำเร็จหลักสูตร เป็นเวลาสองปี

    เมื่อผมเข้าเรียนชั้นมัธยม ที่โรงเรียนวัดสมอราย คุณครูผู้ซึ่งเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพ่อผม สมัยเมื่ออยู่จังหวัดกระบี่ และภรรยาของท่านได้ทำคลอดผมที่นั่น ท่านก็รับดูแล ผมทั้งการเรียนและความประพฤติ โดยที่แม่ไม่ต้องยุ่งยากเลย จนผมออกจากโรงเรียนทำงานทำการเป็นหลักฐานแล้ว เมื่อไปกราบคราวะท่านในโอกาสอันควร ท่านก็ยังสั่งสอนเหมือนพ่อกับลูกทุกครั้ง

    ผมได้ตอบแทนคุณท่านเพียงสองครั้งคือ มีโอกาสได้ทำหนังสือที่ระลึกในวาระที่ท่านมีอายุครบ ๗ รอบ ๘๔ ปี และทำหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิง เมื่อท่านมีอายุได้ ๙๐ ปีเศษ

    ในระหว่างสงครามนั้นเอง การโจมตีทางอากาศของสัมพันธมิตร ต่อจุดหมายทางยุทธศาสตร์ ในกรงเทพ รุนแรงหนักหน่วงมากขึ้น จำเป็นต้องอพยพหลบภัยไปอยู่ตามชนบท ครอบครัวของเราก็ได้อาศัย บิดาของเพื่อนรุ่นน้องของผมซึ่งมีบ้านอยู่ที่ลาดกระบัง และในสมัยนั้นยังเป็นบ้านนอก ทั้ง ๆ ที่อยู่ในเขตจังหวัดพระนคร เป็นที่หลบภัยโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ

    แต่เราก็อยู่ได้ไม่นาน  เพราะไม่มีเงินเลี้ยงชีพ จะเก็บผักดักปลากินเหมือนอย่างชาวบ้านก็ทำไม่เป็น ต้องหอบหิ้วกันกลับมาอยู่ที่สวนอ้อยตามเดิม เพื่อนที่ว่านี้บ้านอยู่ใกล้กัน และคบหาสมาคมกันอย่างสนิทสนมกลมเกลียว จนเขาเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุ เมื่ออายุเพียงสามสิบปีเศษ ทุกวันนี้ผมก็ยังอยู่ที่เดิม และนับถือพี่สาวทุกคนของเพื่อน เหมือนเป็นญาติอันสนิท

    เมื่อสงครามสิ้นสุดลงใน พ.ศ.๒๔๘๘ ผมต้องออกจากโรงเรียน โดยไม่จบชั้นมัธยมปีที่หก ซึ่งเป็นหลักสูตรมัธยมปลายในสมัยนั้น และไม่มีทางเรียนต่อที่ไหน ต้องทำขนมถ้วยตะไล เร่ขายเลี้ยงท้องไปวัน ๆ ญาติของแม่คนหนึ่งเป็นร้อยโท อยู่กรมพาหนะทหารบก ท่านเรียกแม่ผมว่าน้า  กลับจากราชการสนาม ทั้งอินโดจีนและเอเชียบูรพา กำลังเป็นหัวหน้าหน่วยคลังพัสดุ มาเยี่ยมแม่แล้วก็พบว่าป่วยมาก จนไม่สามารถกลับไปสอนหนังสือได้ ลูกชายก็ออกจากโรงเรียน ลูกสาวก็ยังไม่จบหลักสูตรฝึกหัดครู

    จึงเอาตัวผมเข้าไปบรรจุเป็นลูกจ้างประจำ อย่างง่ายดาย เพราะท่านเป็นหัวหน้าอยู่คนเดียว ผู้มีอาวุโสกว่านั้นส่วนใหญ่ถูกปลดออกจากราชการ หลังสงครามสงบ ผมจึงได้ทำงานมีเงินเดือนเท่าผู้ใหญ่ ทั้ง ๆ ที่อายุเพิ่งจะย่างเข้าสิบหกแค่นั้น

    ขณะนั้นผมไม่มีเสื้อและกางเกงขาสั้นที่ไม่ชำรุด จะสวมใส่ไปทำงาน แม้แต่เงินจะตัดผมก็ไม่มี ท่านก็ควักกระเป๋าจัดการให้ทั้งหมด

    ต่อมาเมื่อทางราชการบรรจุผู้มีอาวุโส เข้ามาดำรงตำแหน่งแทน ท่านก็ย้ายไปอยู่หน่วยอื่น แต่ผมก็ได้อาศัยเงินเดือนนั้น เลี้ยงและรักษาพยาบาลแม่ ไปตามกำลัง เท่าที่จะทำได้

    ในที่ทำงานแห่งนั้นเอง หัวหน้าคลังท่านหนึ่งเห็นผมดายหญ้าอยู่ข้างหลังคลัง เกิดเมตตาเรียกผมขึ้นไปทำงานบนสำนักงาน ในหน้าที่นักการภารโรง ปิดเปิดกวาดถูสำนักงาน รับใช้ผู้ใหญ่ในเรื่องจิปาถะ ผมจึงมีโอกาสได้เรียนรู้การทำงาน ในหน้าที่ทางธุรการ และเลื่อนขึ้นเป็นเสมียนได้ ในเวลาไม่นานนัก

                           คราวนี้ผมมีเพื่อนรุ่นพี่หลายคนทั้งหญิงชาย ที่เขาเอ็นดูผมว่าเป็นไอ้เปี๊ยกที่เขาใช้สอยได้ทุกอย่าง เขาจึงเอื้อเฟื้อเจือจานผมอยู่หลายประการ ต่างกรรมต่างเวลากัน บางคนชักชวนไปเที่ยวดูหนังดูลคร บางคนก็เลี้ยงข้าว แล้วก็หัดให้ผมกินเหล้า

    แต่มีอยู่คนหนึ่งที่รู้ว่าผมมีนิสัยชอบงานศิลปะ เขาซื้อกล้องถ่ายรูปแบบธรรมดามาเล่น แล้วก็ชักชวนผมไปเที่ยวนอกเมืองหรือจังหวัดใกล้เคียง ฝึกหัดศึกษาเท็คนิคการถ่ายภาพ โดยเขาออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด จนภายหลังผมได้ใช้ความรู้นี้ เป็นเครื่องมือหากินแทนงานอดิเรก

    ต่อมาเขาลาออกจากราชการ ไปทำฟาร์มเลี้ยงไก่ ขายไข่ไก่ ในยุคที่กิจการด้านนี้กำลังเฟื่องฟู เขาเปิดร้านอยู่ที่หน้าไปรษณีย์บางกระบือในปัจจุบัน ส่วนฟาร์มดูเหมือนอยู่แถวซอยถนนพหลโยธินใกล้ ๆ สนามเป้า

    ผมไปช่วยเขาทุกอย่างนอกเวลาราชการ แต่ไม่นานนักกิจการก็เสื่อมโทรมลง จนแทบจะหมดตัว เขาก็ไม่ย่อท้อ กลับตั้งหน้าตั้งตาดูหนังสือเข้าสอบวิชากฎหมาย ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งค้างคามาเป็นเวลานาน ก่อนที่จะเป็นมหาวิทยาลัยปิด

                            ภายในเวลาเพียงสามสี่ปี เขาก็สามารถคว้าปริญญานิติศาสตรบัณฑิต และเนติบัณฑิตไทย มาครอบครองได้อย่างเต็มภาคภูมิ เขาจึงเริ่มชีวิตราชการใหม่ด้วยการเป็นอัยการ และผู้พิพากษา จังหวัดที่ห่างไกลก่อน แล้วค่อย ๆ ย้ายใกล้เข้ามาจนถึงกรุงเทพ สุดท้ายเกษียณอายุราชการในตำแหน่ง หัวหน้าผู้พิพากษาศาลแพ่ง

    ท่านที่เล่ามาข้างต้น และยังมีอีกหลายท่าน ที่ผมไม่ได้เล่านั้น ผมไม่มีวันลืมพระคุณ
    แม้เวลาจะล่วงไปนานสักเพียงใดก็ตาม

    ซึ่งจะได้นำมาเล่าในตอนต่อไป.

    #############

    จากคุณ : เจียวต้าย - [ 2 มิ.ย. 51 16:38:55 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom