Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ละเลย

    ผมได้มีโอกาสได้ดู MV เพลงนี้ เห็นแล้วอยากเอามาเขียนเป็นเรื่องสั้นมากๆ เลยคึกขอแต่งตามใจอยากดูครับ ฝีมืออาจยังไม่ถึงขั้น อีกทั้งไม่ใช่แนวถนัด แต่ใจทุ่มเต็มที่ครับ อย่างไรก็ขอฝากผลงานเรื่องสั้นเรื่องแรกที่เอามาลงพันทิปไว้ด้วยนะครับ

    Credit : เพลงละเลย  In Famous , แนวคิดเรื่องกองไฟจากเรื่องหมากลางถนน
    หนังสือสิ่งมีชิวิตที่เรียกว่าคน ของวินทร์ เลียววาริณ



    คุณอาจไม่เคยสนใจนิ้วเท้าตัวเองถ้ามันยังไม่ขาด อาจไม่สนใจฟันตัวเองถ้ามันยังไม่หัก พอๆ กับไม่ดูแลร่างกายตัวเองถ้ายังไม่เป็นอัมพาต ความสำคัญของเรื่องใกล้ตัวเหล่านี้มันอยู่ใกล้ชิดจนเราเคยชินและแปรเปลี่ยนกลายเป็นละเลยอย่างไม่รู้ตัว อย่าว่าใครเลยผมก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน

    ผมชื่อ ‘ขาม’ เป็นคนเพชรบูรณ์ เกิดในโรงพยาบาลประจำอำเภอ บ้านอยู่ชานเมืองแวดล้อมด้วยแมกไม้ร่มรื่น ฐานะดี พ่อเป็นคุณปลัดใจดีและแม่เป็นคุณครูใจดี ตัวผมเป็นลูกคนเดียวที่คนทั้งหมู่บ้านต่างยกย่องว่าเป็นเด็กดี ผมอายุสิบสองและมีความฝันอยากเป็นนักดนตรี ไม่ได้โม้แต่ผมสามารถใช้กีตาร์ไล่คอร์ดได้ชำนาญเกินเด็กในรุ่นเดียวกันมาก คือผมเปรียบเทียบกับเด็กในโรงเรียนผมนะ  

    “อ้าว...ขาม มาซื้อดอกไม้ไหว้พระหรือลูก” ป้าน้อมหญิงชราวัยใกล้เจ็ดสิบทักทายผมเสียงดังคับตลาด ปกติป้าน้อมมักพูดจาโผงผางเสียงดังแบบนี้เสมอ แกยิ้มแฉ่งเห็นเหงือกเปื้อนน้ำหมากแดงเรื่อ ผมทักทายแกกลับไปด้วยรอยยิ้ม

    “เปล่าครับป้า” ผมจอดจักรยานเลือกดูแผงดอกไม้ที่ป้าแกขาย หยิบดอกกุหลาบขึ้นมาหนึ่งดอก “เท่าไหร่ครับ”

    “ชะ...อายุสิบสองเองซื้อดอกไม้ให้สาวแล้วรึ”

    ผมยิ้มหน้าแดง “แก้วเธออยากได้น่ะป้า”

    “เออ...อีหนูนั่นเป็นยังไงบ้าง เห็นเมื่อวานก่อนนังพิมมันบอกว่าชักเกือบตาย”

    ป้าน้อมกำลังหมายถึงแก้วซึ่งก็คือคนที่ผมมาซื้อดอกกุหลาบให้นี่แหละ ส่วนพี่พิมเป็นสาวใช้ประจำบ้านผมเอง มาว่ากันถึงแก้วก่อน เธอเป็นผู้หญิงอายุเท่าผม มาอยู่บ้านผมได้ประมาณเดือนกว่าแล้ว เธอตัวเล็ก ผิวขาว ตาโต ชอบถือตุ๊กตาผ้ารูปหมาเก่าๆ ติดตัวอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญเธอมักแสดงอารมณ์อยู่แค่สองอย่าง ไม่หัวเราะยิ้มร่าก็ร้องไห้น้ำตานอง แม่บอกว่าเธอเป็นญาติห่างๆ ผมเคยถามแม่ว่าห่างแค่ไหน แม่ลูบหัว ตอบผมด้วยรอยยิ้ม ห่างมากๆ เลยจ๊ะ

    อันที่จริงผมไม่ได้อยากเป็นเด็กดี ถ้าการเป็นเด็กดีคือการต้องดูแลผู้ป่วยปัญญาอ่อน ผมเพิ่งอายุสิบสอง ผมยังอยากเอ้อละเหยเล่นอยู่กับเพื่อนหลังโรงเรียนเลิก อยากไปขลุกที่ร้านเกมส์คอมพิวเตอร์ในวันหยุด ให้ตาย ทำไมต้องยัดเยียดหน้าที่นี้ให้ผม มันหนักเกินไป แต่ผมก็บอกกับแม่ว่าผมจะทำให้เต็มที่ นั่นมันตรงกันข้ามกับใจจริงผมเลย

    “ไม่มีอะไรมากหรอกป้า ดีขึ้นแล้ว”

    “ดีแล้ว” ป้าน้อมหยิบกุหลาบให้ผมดอกหนึ่ง “เอาไปเถอะป้าให้ฟรี ถือว่าเป็นของขวัญให้อีหนูแก้วมัน”

    “จะดีเหรอป้า” แบเงินในมือให้ป้าน้อมดู “ผมเตรียมเงินมาด้วย”

    ป้าน้อมโบกมือเหมือนตำรวจจราจรสั่งให้รถหยุด “ช่างมันเถอะ เก็บเงินเอ็งไว้ซื้อขนมให้อีหนูแก้วเถอะวะ” ป้าน้อมถอนหายใจ “ว่าก็ว่าเถอะ เอ็งนี่เป็นเด็กดีจริงๆ ตัวแค่นี้ก็รู้จักดูแลเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแล้ว”

    ผมหัวเราะยิ้มเก้อ ก็เพราะแบบนี้แหละ โธ่ ทุกคนมองผมเป็นเด็กดี (ดีกว่าความเป็นจริงเสียอีก) แล้วแบบนี้จะให้ผมทำตัวเสเพลอย่างที่ใจต้องการได้ไงกัน

    “งั้นผมขอบคุณป้ามากๆ ครับ”

    ป้าน้อมนำดอกไม้ห่อใส่กระดาษหนังสือพิมพ์ให้ผม ผมรับมาใส่ลงไปในตะแกรงหน้ารถ แล้วจึงฉีกยิ้มเป็นการขอบคุณแกอีกครั้ง


    ………………………………………………….

    ...ผมในวัย 15 ปี

    “เฮ้ย! หยุดเดี๋ยวสิไอ้เด็กตัวอย่าง!”

    ไอ้โกเด็กเก๋าประจำหมู่บ้านตะคอกใส่ผมขณะที่พวกมันกำลังจะลงเตะบอลที่สนาม มันหัวเราะจนพุงมหึมากระเพื่อมพลางชี้ไปที่เด็กสาวที่นั่งอยู่ริมสนาม ผมมองตามนิ้วมัน ทุกคนที่ยืนหันมองตามด้วย แก้วใบหน้าขะมุกขะมอมนั่งหัวเราะใช้มือไขว่คว้าแมลงปออยู่ริมสนามหญ้า เธอมีน้ำลายไหลย้อยเลอะปกคอเสื้อ ทุกคนซุบซิบราวกับเธอเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าขยะแขยง

    “ถึงปัญญาอ่อนก็คนนะโว้ย!” ผมตะโกนใส่หน้าพวกมันอย่างเดือดดาล

    “อ๋อ...เหรอ” มันกวนพร้อมกับทำท่าปัญญาอ่อนเลียนแบบแก้ว

    ผมกัดฟันเดินผละออกไปอย่างไม่แยแส ไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรอก ตั้งแต่ผมได้รับหน้าที่ดูแลแก้ว ต้องกลับจากโรงเรียนเร็วและใช้เวลาส่วนใหญ่เอาใจใส่เธอ ความดีที่ผมสร้างก่อให้ผมได้รับคำชมจากผู้หลักผู้ใหญ่อยู่เป็นประจำ ผมกลายเป็นเด็กตัวอย่างที่จะถูกยกออกมาเปรียบเทียบกับเด็กนิสัยไม่ดี นั่นแหละทำให้ไอ้โกหัวโจกประจำหมู่บ้านไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม มันเลยพาล คนอื่นเลยเป็นกันไปด้วย

    กำลังจะเดินไปหาแก้ว ไอ้โกเดินเข้ามาข้างหลังเอามือผลักหัวผมอย่างแรง พละกำลังของเด็กผู้ชายที่อายุมากกว่าผมสองปี ลำตัวอ้วนสูงใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เด็กผอมกะหร่องอย่างผมจะล้มหัวทิ่มไปกระแทกพื้น ทุกคนหัวเราะกับความอ่อนแอที่ผมแสดงออก

    “คู่ผัวเมียปัญญาอ่อน” ไอ้โกสำทับผมต่อหัวเราะฮา  

    ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด เพียงแต่ไม่อยากมีเรื่อง ถึงสู้ไม่ได้แต่เลือดนักเลงของคุณปู่ก็ไหลเวียนอยู่ในร่างผม กระโจนลุกขึ้นว่องไว กำหมัดแน่น ภาพในวันของคุณพ่อโผล่ขึ้นมาระงับความเดือดในอารมณ์ให้เย็นลง คุณพ่อผมไม่ได้แค่เป็นปลัดอำเภอที่ดี ยังเป็นนักเดินป่าชั้นยอดอีกด้วย มีวันหนึ่งผมกับพ่อไปออกแค้มป์ เราสองพ่อลูกค่ำไหนนอนนั่นเที่ยวป่าถ่ายรูปสัตว์ป่าหายาก วันสุดท้ายก่อนเราจะกลับ ซึ่งพ่อต้องเข้าเมืองแต่เช้าเพื่อร่วมประชุมงานการจัดการประจำอำเภอ หลังจากเก็บอุปกรณ์เดินป่ารื้อแค้มป์เรียบร้อย เราสองพ่อลูกเดินกันประมาณสิบห้ากิโลเมตรจนใกล้จะออกจากป่า พ่อถามผมว่า

    “ขาม จำได้ไหมพ่อสั่งให้เราดับไฟหน้าแค้มป์”

    ผมตอบ “ครับ”

    “มันจะมีถ่านคุอยู่ในกอง ขามก็รู้ถ้าดับไม่สนิทลมจะหอบถ่านพวกนี้ไปไหม้ที่อื่น”

    ผมพยักหน้าชักเริ่มวิตก

    “พ่อสั่งให้ขามดับ พ่อจำได้ว่าพ่อกำชับขามด้วยนะ ขามดับสนิทดีแล้วรึเปล่า”

    ผมรู้ความรุนแรงของไฟป่าดี มันจะทำพืชพันธุ์เสียหายมหาศาลและทำให้สัตว์ล้มตายเป็นจำนวนมาก ผมไม่อยากให้ความผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นจากผม แล้วผมก็คิดว่าตัวเองดับไฟกองนั้นดีแล้ว ถึงอย่างนั้นมาลองนึกไตร่ตรองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจอยู่ดี

    “เอ้าว่าไงล่ะขาม” พ่อเร่งรัดเสียงเข้ม

    ผมตอบไม่ได้ อึกอัก ใบหน้าเครียด เราทั้งคู่เงียบ บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึดอัด สักพักพ่อก็บอกว่าจะย้อนกลับไปดู เราต้องเดินกันอีกสิบห้ากิโลเมตรเพื่อย้อนกลับไป  ตลอดทางเราไม่ได้คุยกันเลย เร่งฝีเท้าตลอดจนเด็กอายุแค่สิบสี่อย่างผมหัวเข่าแทบหลุดออกมานอกเนื้อ  พอไปถึงซึ่งก็ดึกสงัดแล้ว ผมรีบไปดูกองไฟก่อนทันที แน่นอน ผมคิดถูกต้องเมื่อสภาพกองไฟมันถูกดับดีแล้ว
    “เห็นไหมพ่อ” ผมยิ้มลิงโลด พ่อจุดบุหรี่สูบไม่ได้เดินมาดูกองไฟกับผม

    “ดูดีแล้วใช่ไหม” พ่อยิ้มมุมปาก โบกมือให้ผมเดินออกมา “ลูกยังเดินไหวอยู่ไหม?”

    ผมนั่งอย่างหมดแรง ขาสั่นจนแทบขยับไม่ได้ พ่อเดินมาหยุดข้างๆ ผม

    “พ่อรู้อยู่แล้วเรื่องไฟ”

    พ่อไม่ได้ตอบอะไร แค่หัวเราะในลำคอ

    “ขาม...ลูกอยากเป็นผู้ชายหรือลูกผู้ชาย”

    ผมหันไปมองพ่อ เห็นพ่อยักคิ้วให้ผมอย่างล้อเลียน พ่อกำลังสอนให้ผมรู้จักความรับผิดชอบ แน่ล่ะ เรื่องดับไฟเป็นหน้าที่ที่พ่อกำชับให้ผมทำ แล้วผมก็รับปากแล้วด้วย ผมควรใส่ใจและยึดมั่นกับงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีกว่านี้ พ่อพาผมลากขามาสิบห้ากิโลเมตรเพื่อสอนให้รู้ว่ามีแต่ลูกผู้ชายเท่านั้นที่จะกล้ารับผิดชอบต่อผลเสียที่เกิดจากตัวเราเอง

    “ผมต้องเป็นลูกผู้ชายอยู่แล้วครับพ่อ”

    พ่อยิ้มแล้วลูบหัวผม “งั้นก็เตรียมตัวเดินกลับ เพราะพ่อต้องแสดงความเป็นลูกผู้ชายด้วยการเข้าประชุมพรุ่งนี้ให้ทัน”

    ผมคลายกำปั้นออก การที่ผมต่อยไอ้โกไปมันย่อมส่งแต่ผลเสีย ลูกผู้ชายน่าจะมีสติและยับยั้งมันได้ ผมลุกขึ้นยืน เดินน้ำตานองหน้าไปหาแก้ว ได้ยินเสียงหัวเราะจากพวกไอ้โกดังครื้นเครงจากเบื้องหลัง พอแก้วเห็นผมร้องไห้เธอรีบกุลีกุจอมาดูผม เธอทำท่าจะร้องตาม ผมจับมือเธอฉุดอย่างแรงพาเดินออกมาให้พ้นเสียงหัวเราะ

    ................................................................................

    เมื่อก่อนผมอาจไม่ใช่ลูกผู้ชายก็ได้ เพราะตลอดเวลาผมเบื่อกับการต้องดูแลแก้ว ผมไม่รู้แก้วเป็นใครและสำคัญอย่างไร ทำไมครอบครัวเราต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องเธอนัก วันนี้เป็นวันที่ผมอายุใกล้สิบแปดแล้ว ผมผ่านช่วงเบื่อหน่ายแก้ว จนปัจจุบันความใกล้ชิดทำให้ผมเห็นเธอเป็นน้องสาวที่น่ารัก เธอโตขึ้นมาก พูดชัดขึ้น แน่ล่ะ ก็ผมสอนให้เธอพูดทุกวันนี่ เธออ่านออกเป็นบางคำ เธอชอบฟังเพลง เหนือกว่านั้นเธอชอบร้องด้วย ที่สำคัญผมรู้ว่าแก้วใส่ใจผมล้นเหลือเหมือนโลกนี้สำหรับแก้ว ผมคือคนๆ เดียวที่เธอเก็บไว้ในหัวใจ

    ...อย่าแม้เพียงจะคิดนะครับ ถึงไง ให้ตายผมก็ไม่เอาคนสติไม่สมประกอบมาเป็นแฟนหรอก    

    ...ผมบอกตัวเองแบบนี้เสมอแล้วก็เชื่อตัวเองคิดแบบนี้จริงๆ มาโดยตลอด

    แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 51 15:23:39

    แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 51 15:14:19

    แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 51 15:13:01

    แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 51 13:50:04

    จากคุณ : ญาณวุฒิ - [ 3 มิ.ย. 51 13:48:22 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom