บันทึกของคนเดินเท้า
ผู้มีคุณ (๒)
เทพารักษ์
ในระหว่างที่ผมได้เลื่อนฐานะจาก ลูกจ้างใช้แรงงานเป็นข้าราชการชั้นเสมียนนั้น อาการป่วยของแม่ก็ทรุดลงเป็นลำดับ ผมก็ต้องดูแลพยาบาลแม่ซึ่งช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ ทั้งเวลาเช้าก่อนไปทำงาน และเมื่อกลับมาจากที่ทำงานแล้ว
จึงต้องฝากท้องทั้งมื้อเช้าและเย็น ไว้กับมารดาของเพื่อนรักอีกคนหนึ่ง ในละแวกสวนอ้อยด้วยกัน โดยคิดค่าใช้จ่ายเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
ท่านผู้นี้เรียกแม่ผมว่าคุณพี่ เมื่อท่านย้ายกลับจากหลบภัยสงครามในต่างจังหวัด เข้ากรุงเทพยังปลูกบ้านในสวนอ้อยไม่เสร็จ ก็มาอาศัยอยู่ที่บ้านกับแม่ และเอามะพร้าวห้าวมาให้ทำขนมถ้วยขาย หลายสิบลูก ลูกชายของท่านซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผมนั้น คบกันมาจนเกษียณอายุราชการ แล้วไปบวชไม่สึกอยู่จนบัดนี้
ในสมัยนั้นวัณโรคไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ หรืออาจจะมียาอะไรที่แพงลิบลิ่ว จนเงินเดือนอันน้อยนิดของผม ไม่อาจซื้อหามาได้ แม่จึงไม่ได้เข้าโรงพยาบาล แต่ให้ผมไปซื้อยามากินสองชนิด คือ โดเวอร์ส กับแอสโปร และกินเป็นประจำทุกมื้อทุกวัน ไม่ทราบว่ารักษาอาการใด มาทราบภายหลังว่า อย่างแรกนั้นแก้บิด และอย่างหลังแก้ปวด
ผมดูแลแม่อยู่ประมาณหกปี แม่ก็เสียชีวิตในอ้อมแขนของผม หลังจากได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูกชายแล้ว พอดีถึงเวลาที่จะต้องไปเกณฑ์ทหาร ผมไม่มีห่วงอะไรแล้วจึงสมัครเข้าเป็นทหารกองประจำการ เป็นเหล่าทหารราบ ในระหว่างสงครามเกาหลีกำลังเข้มข้นอยู่ แต่กว่าผมจะฝึกเสร็จเขาก็เลิกรบกันแล้ว
พลทหารเกณฑ์ในสมัยนั้นมีเบี้ยเลี้ยงวันละหนึ่งบาท กับเงินเดือนอีกเดือนละสี่บาท แต่ผมไม่เดือดร้อน เพราะได้รับเบี้ยเลี้ยงส่วนตัวจากท่านผู้มีพระคุณที่เล่ามาแล้ว อาทิตย์ละสิบบาท และ ผมยังได้รับความเอื้อเฟื้อจากเพื่อนทหาร ที่มีฐานะดีกว่าอยู่บ่อย ๆ
ผู้บังคับหมู่ก็บังเอิญเป็นเพื่อนนักเรียนมัธยมโรงเรียนเดียวกันอีก ผมจึงอยู่ได้อย่างสบายตามสภาพของ พลทหารสมัยนั้น
ทหารราบนั้นฝึกหนักตลอดปี ผมเป็นโรคไส้เลื่อนมาแต่กำเนิด จึงเกิดอักเสบต้องส่งไปผ่าตัดด่วน ที่โรงพยาบาลทหารบก หรือ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าในปัจจุบัน
ในสมัยนั้นยังไม่มีอุปกรณ์การแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีอันทันสมัย แต่ผมก็ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดี เท่าเทียมกับผู้อื่น ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่พลทหารเท่านั้น
ผมไม่เคยลืมพระคุณของนายแพทย์ผู้ผ่าตัด ซึ่งดูเหมือนท่านจะมียศเป็นนายพัน เพราะผมไม่เห็นหน้าท่านเลย ได้ยินแต่เสียงที่เต็มไปด้วยความกรุณาปราณีเท่านั้น
ผมไม่ยินดีที่จะปลดแล้วกลับไปรับราชการที่หน่วยเดิม จึงสมัครเข้าเป็นนักเรียนนายสิบเหล่าทหารสื่อสาร เมื่อเป็นพลทหารปีที่สอง ผู้บังคับหมวดก็กรุณารับรองค้ำประกันให้ ผมจึงได้เป็นนักเรียนนายสิบ รับเบี้ยเลี้ยงเท่าเดิม แต่ได้เงินเดือนสิบสองบาท กับเบี้ยเลี้ยงส่วนตัวดังที่เล่าแล้ว
ผมจึงผ่านหลักสูตรนั้นมาอย่างราบรื่น ออกรับราชการเป็นสิบโท ติดบั้งสองแง่ง และตั้งต้นชีวิตใหม่ ด้วยการเป็นทหารอาชีพเต็มตัว
ส่วนผู้บังคับหมวดท่านนั้น ได้โอนไปเป็นปลัดอำเภอเมื่อมียศร้อยเอก ไม่ทราบว่าอำเภอไหน ผมจึงไม่ได้พบกับท่านอีกเลย
ระหว่างที่เป็นเสมียนอยู่ที่กรมพาหนะทหารบกนั้น ผมกับเพื่อนรุ่นพี่ ๆ ได้สนใจในการประพันธ์ และอยากเป็นนักประพันธ์กันทุกคน แต่เขาก็เลิกรากันไปหมด มีแต่ผมคนเดียวที่ยังเขียนเรื่องสั้นส่งไปตามหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่านาน ๆ จึงจะได้ลงพิมพ์สักเรื่องก็ตาม
ท่านผู้มีพระคุณท่านแรกในการเขียนหนังสือของผม ก็คือ สันต์ เทวรักษ์ นักประพันธ์ชื่อดังในยุคนั้น ท่านเป็นบรรณาธิการนิตยสารโบว์แดงรายปักษ์ ได้นำเรื่องสั้นชิ้นแรกของผมลงพิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๑ ได้รับค่าเรื่อง ๒๐ บาท
ผมจึงมีกำลังใจเขียนเรื่องสั้นต่อมาอีก ๑๐ ปี มีผลงานปรากฏ อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสาร และวารสารต่าง ๆ ประมาณ ๒๐ ฉบับ จำนวนประมาณ ๕๐ กว่าเรื่อง แต่ได้รับค่าเรื่องเพียง ๖ ครั้งเท่านั้น และไม่มีชื่อเสียงให้ผู้อ่านรู้จัก เหมือนดังที่ตั้งความหวังเอาไว้
ถึงกระนั้นก็ดี ท่านบรรณาธิการทั้งหลายที่ได้กรุณานำเรื่องลงพิมพ์ ก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณเช่นกัน โดยเฉพาะท่านบรรณาธิการนิตยสาร รัตนโกสินทร์ กะดึงทอง สกุลไทย และ เพื่อนบ้าน
เมื่อผมรับราชการทหารแล้ว ผมก็ไม่ได้เลิกราการเขียน ยังเขียนอยู่จนถึงปัจจุบัน จึงมีผลงานออกมาอีกเป็นจำนวนมาก แม้จะไม่มีชื่อเสียงเช่นเดิม แต่ก็เป็นงานหลักหลังเกษียณอายุราชการ ได้เขียนประจำอยู่ในนิตยสาร กองพลทหารม้าที่ ๑ ทหารปืนใหญ่ ฟ้าหม่น วารสารของศูนย์การทหารม้า ทหารสื่อสาร
และ โล่เงิน ซึ่งฉบับนี้ได้ให้เกียรติบรรจุชื่อผม ไว้ในคณะผู้ดำเนินการด้วย สำหรับ
นิตยสารต่วยตูน พ็อคเก็ตบุ๊คส์ สำหรับผู้อ่านที่มีระดับนั้น ก็พอจะได้ลงพิมพ์บ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ที่สำคัญที่สุดก็คือได้รับการพิจารณาพิมพ์ สามก๊กฉบับลิ่วล้อ เป็นชุด ๓ เล่ม ออก วางตลาดเมื่อได้เขียนหนังสือมาครบ ๕๐ ปี โดย สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์น
หลังจากนั้นอีก ๕ ปี ก็ได้พิมพ์ ซ้องกั๋ง
..วีรบุรุษแห่งเขาเหลียงซาน อีกเล่มหนึ่ง
และอีกสามปีต่อมาก็ได้รับการพิมพ์เรื่อง เปาบุ้นจิ้น....ผู้ทรงความยุติธรรม ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจยิ่ง สำหรับผู้ที่รักการเขียน และได้มุ่งมั่นพยายามเขียนมาตลอดชีวิต
อีกทั้งสนับสนุนให้ผมส่งเรื่องใหม่ ๆ ไปให้พิจารณาอีกหลายเรื่อง
(ยังมีต่อ)
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
4 มิ.ย. 51 06:58:38
]