อีกเรื่อง...ที่พิสูจน์ไม่ได้ 9 ซ้อนท้าย
นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องชวนเสียวสันหลังที่รุ่นน้องที่ทำงานเล่าให้ฟังหลังจากที่ผมเขียนเรื่องแรกของเขาเสร็จและนำกลับไปให้เขาอ่าน มันเป็นเรื่องที่เกิดบนท้องถนนในเขตปริมณฑลซึ่งค่อนข้างจะยังคงความเป็นชนบทอยู่ไม่น้อย และเช่นเคยสำหรับเรื่องเล่าตอนนี้ ผมขอใช้คำว่า ผม แทน รุ่นน้องที่ทำงาน อีกครั้ง เพื่อให้ง่ายแก่การถ่ายทอดเรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้
.......................................
หลังจากที่ผมและเพื่อนร่วมห้องเช่ากลับมาจากการเที่ยวตลาดนัดในกรุงเทพฯ ซึ่งพวกเราไปเดินกันมาตั้งแต่ช่วงค่ำ ความหิวที่ไม่รู้สึกแม้แต่น้อยตอนเดินเที่ยวก็เริ่มแสดงอาการออกมา
...สำหรับที่นี่...อาหารการกินค่อนข้างจะหาได้ยากแล้วในเวลาที่ใกล้จะเที่ยงคืนเช่นนี้...
เนื่องจากที่แห่งนี้ยังคงความเป็นชนบทอยู่มาก สองข้างทางจึงยังคงมีทุ่งหญ้าและต้นไม้ใบหญ้าหนาแน่น แสงสว่างที่ได้ทางไฟทางและบ้านพักอาศัยมีให้เห็นเพียงช่วงๆ โดยทิ้งระยะห่างพอสมควร และนานๆ ครั้งเท่านั้นที่จะเห็นรถยนต์หรือแม้แต่มอเตอร์ไซด์สักคันแล่นสวนมาสำหรับในเวลาเช่นนี้
และแน่นอนว่าสำหรับบรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมคิดหนักอยู่เหมือนกันที่จะเดินทางไปหาของกินที่ไหน แต่ทว่าความหิวก็ไม่เคยปราณีใครเช่นกัน หลังจากคิดไปคิดมาอยู่หลายตลบแล้วผมและเพื่อนจึงตกลงใจจะขี่มอเตอร์ไซด์กันไปกินข้าวต้มโต้รุ่งในตัวตลาดซึ่งระยะทางห่างออกไปจากหอพักที่พวกผมอาศัยอยู่ประมาณ 8-9 กิโลเมตร
เมื่อเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์มอเตอร์ไซด์ดังขึ้น ผมแทบจะเปลี่ยนใจไม่ไปในทันที แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ เพื่อนของผมก็ควบพาหนะคู่ใจออกจากหอพักเสียแล้ว
เป็นไปอย่างที่ผมจินตนาการเอาไว้แทบจะไม่มีผิดเพี้ยน สองข้างทางทั้งในระยะใกล้และไกลสายตาค่อนข้างจะมีแต่ความมืด แสงสว่างที่พอจะทำให้ผมอุ่นใจได้บ้างก็มีเพียงไฟทางและไฟหน้ารถเท่านั้น ลมหนาวที่พัดปะทะกับใบหน้าด้วยความเร็วของยานพาหนะส่งผลให้ร่างกายสั่นสะท้านจากความเย็นเยือก
ตลอดระยะทางที่ผ่านมาผมและเพื่อนไม่ได้คุยกันเลยแม้เพียงคำเดียวเนื่องด้วยลมที่ปะทะเข้ามาทำให้คุยกันไม่ค่อยได้ยินอยู่แล้ว ซึ่งนั่นยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบดูวังเวงอย่างบอกไม่ถูก มีเพียงเสียงเครื่องยนต์เท่านั้นที่พอจะทำให้ผมไม่รู้สึกเงียบจนเกินไป
เมื่อการเดินทางผ่านมาได้ถึงครึ่งหนึ่งของจุดหมายที่พวกเราต้องการจะไป แสงสว่างทึมๆ ของอาคารหอพักขนาดใหญ่หลายหลังที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าทางซ้ายของบาทวิถีเริ่มปรากฏออกมาให้เห็นจากเงามืด
...สถานที่แห่งนี้...สถานที่ซึ่งเรื่องเล่าหลายๆ เรื่องมีที่มาจากที่นี่...
...และ...ทางกลับรถหน้าอาคารหอพักแห่งนี้...หนึ่งในสถานที่ซึ่งเกิดอุบัติเหตุบ่อยที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของย่านนี้...
รถมอเตอร์ไซด์ค่อยๆ แล่นผ่านทางกลับรถและตัวอาคารหอพักอย่างระแวดระวังเนื่องด้วยข่าวอุบัติเหตุของสถานที่แห่งนี้ซึ่งนั่นทำให้ผมเกิดอาการเสียวสันหลังอย่างช่วยไม่ได้
ผมเริ่มผ่อนคลายและใจชื้นขึ้นเมื่อยานพาหนะค่อยๆ เคลื่อนตัวห่างออกมาจากสถานที่ดังกล่าว แต่ยังไม่ทันไรเพื่อนของผมก็แสดงอากัปกิริยาแปลกๆ ออกมา
...หันกลับไปมองด้านหลังในทางที่ซึ่งขี่ผ่านมา...หันกลับไปมองทางด้านหน้า...หันกลับมามองด้านหลังอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง...
ผมซึ่งคบกับเพื่อนคนนี้มานานนึกอย่างรู้ทันในทันทีที่เห็นอากัปกิริยาเช่นนี้...เขาเห็นอะไรบางอย่างแน่ๆ...อะไรบางอย่างที่ผมไม่อยากและไม่เคยนึกที่จะอยากเห็น
มองทางข้างหน้าสิ เดี๋ยวรถก็ชนหรอก ผมพูดทำลายความเงียบและบรรยากาศอันอึมครึมที่เริ่มก่อตัว
เฮ้ย...เมื่อกี้เห็นอะไรรึเปล่า เจ้าเพื่อนของผมหันกลับมาถาม ความประหวั่นเจืออยู่ในน้ำเสียง
อย่าจอด...ขับไปเรื่อยๆ...มีอะไรค่อยคุยกัน ผมบอกในทันทีที่เห็นเพื่อนทำท่าจะหยุดรถ
เมื่อกี้เห็นอะไรรึเปล่า เพื่อนของผมยังคงถามด้วยอาการเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่
บอกว่าเดี๋ยวค่อยคุยกัน จะพูดตอนนี้ทำไมเนี่ย ไปเร็วๆ ผมทำเสียงแข็งขึ้นมาในทันทีที่เพื่อนของผมยังคงยิงคำถามเดิม
รถมอเตอร์ไซด์แล่นต่อไปท่ามกลางความเงียบเชียบของบรรยากาศรอบด้าน ไม่มีใครพูดอะไรต่อ ความหนาวของอากาศและลมนอกจากจะทำให้ร่างกายสั่นสะท้านแล้ว บัดนี้มันยังคุกคามจิตใจโดยตรงอีกด้วย
เมื่อพวกเราเดินทางมาถึงร้านข้าวต้มโต้รุ่งอันเป็นจุดหมายและเลือกที่นั่งเรียบร้อยแล้ว เพื่อนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะอาหารทำท่าเหมือนร้อนใจและต้องการจะถามเรื่องเดิมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน
เอ้า...มีอะไรว่ามาได้แล้ว...ตรงนี้สว่างแล้วก็มีคนอยู่พอสมควร...อุ่นใจได้หน่อย ผมพูดออกมาอย่างรู้ความในใจของเพื่อนผม
เมื่อกี้ตอนขี่ผ่านทางกลับรถมา เห็นอะไรรึเปล่า คำถามเดิมถูกยิงออกมาจากปากเพื่อนของผมอีกครั้ง
เห็นอะไรล่ะ...เห็นอะไรก็บอกมาสิ ผมถามกลับอย่างหยั่งเชิง
เห็นมอเตอร์ไซด์ขี่ย้อนเลนส์กลับมารึเปล่า เพื่อนผมค่อยๆ เฉลยสิ่งที่เห็นออกมาทีละน้อยอย่างหยั่งเชิงผมเช่นกัน
อ๋อ...เห็นสิ...ทำไมเหรอ ผมค่อยๆ คลายความกลัวขึ้นมานิดหน่อยเนื่องจากสิ่งที่เพื่อนของผมบอก ผมเองก็เห็นเช่นกัน
แล้วเห็นคนที่นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์คันนั้นรึเปล่า คำถามที่สองซึ่งสืบเนื่องจากคำถามแรกถูกยิงออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทำไมล่ะ...นี่แกเห็นอะไรก็รีบๆ บอกมาเถอะ ผมถามกลับอย่างเก็บอาการตื่นกลัวไว้
เห็นคนแก่ว่ะ...แก่จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก...ใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียว...นั่งหันข้างเหมือนผู้หญิงก้มหน้าก้มตาอยู่เบาะหลังตัวแข็งทื่อเลย...มือไม้ก็ไม่ได้เกาะอยู่กับอะไร เพื่อนของผมพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเหมือนกลัวอะไรบางอย่างจะได้ยิน
พอได้ยินคำตอบดังนั้น ผมซึ่งนั่งฟังด้วยใจระทึกอยู่แล้วกลับใจเต้นรุนแรงขึ้นไปอีก สายตาชำเลืองไปรอบๆ บริเวณเหมือนกลัวจะมีใครแอบฟัง ขนลุกอย่างไม่มีสาเหตุ
...มอเตอร์ไซด์ที่แล่นย้อนเลนส์มาน่ะ...เห็น...แต่คนซ้อนท้ายที่อยู่บนมอเตอร์ไซด์น่ะ...ไม่เห็นว่ะ... ผมพูดเสียงแผ่วกลับไปเช่นกันพร้อมสังเกตสีหน้าของเพื่อนผม
ไม่เห็นจริงเหรอ เพื่อนของผมถามซ้ำด้วยน้ำเสียงซึ่งหวาดวิตกขึ้นอย่างชัดเจน
เออ...ไม่เห็น...คนแก่ที่แกว่าเนี่ย...ไม่เห็นเลย...คนทั้งคนนะเว้ย...ดูไม่ผิดหรอก ผมพูดย้ำอีกครั้งท่ามกลางความรู้สึกที่วังเวงขึ้นมาอย่างประหลาด
แล้วเราทั้งสองก็แทบจะไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลย...ก้มหน้าก้มตากินกันเหมือนกับหิวเสียเต็มประดามาจากไหน
ผมไม่รู้ว่าเพื่อนของผมคิดยังไงในเวลานี้...แต่ในขณะที่ผมกำลังค่อยๆ ตักอาหารตรงหน้าเข้าปากทีละคำ...ทีละคำ...ในสมองของผมก็คิดวนไปวนมาอยู่ตลอดเวลา
...ขากลับจะเป็นยังไงบ้างนะ...
.......................................
ใช่แล้วครับ...ขากลับของน้องสองคนนี้น่ากลัวสุดๆ จริงๆ ครับ เพราะถึงแม้จะโชคดีที่ไม่เจออะไรแบบขามา แต่มโนภาพและสภาพแวดล้อมบวกกับสิ่งที่พบเห็นตอนขามาก็ทำให้จินตนาการของทั้งสองคนนี้ตะลึงพรึงเพริดไปถึงไหนต่อไหนอย่างช่วยไม่ได้ กว่าจะฝืนขี่มอเตอร์ไซด์ย้อนกลับทางเดิมจนถึงที่หมายก็เรียกว่าเหงื่อตกและเสียวสันหลังกันนับครั้งไม่ถ้วนล่ะครับ
จากคุณ :
KTHc
- [
7 มิ.ย. 51 20:41:24
]