บทที่ 1 ดักแด้ฝัน
เราเชื่อว่าเด็กสาวเกือบทุกคน ในครั้งหนึ่งของช่วงชีวิตย่อมจะมีความฝันว่าอยากจะทำอาชีพยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็นดารา นักร้อง นักแสดง นางแบบ ดีเจ หรือแม้กระทั่งอยากเป็นเศรษฐีนีไฮโซ แต่ก็
นั่นแหละ พวกเราเองก็เป็นแค่เด็กสาวช่างฝันนี่นะ เพราะฉะนั้นทุกคนก็ย่อมมีสิทธิที่จะฝันถึงอนาคตของตนเอง เราเองก็มีความฝันเหมือนเด็กสาวทั่วๆ ไป ที่สักวันหนึ่งจะได้เป็นอย่างที่คาดหวังเอาไว้ ซึ่งความฝันของเราก็เป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมอันดับต้น ๆ ของเด็กสาวที่ใฝ่ฝันและฟันฝ่าให้ได้เป็น นั่นก็คือพนักงานต้อนรับบน
เครื่องบินหรือแอร์โฮสเตสหรือสจ๊วตเดส์ ก็แล้วแต่จะเรียกกัน
ทำไมอาชีพนี้จึงเป็นที่มุ่งหวังของพวกเราเด็กสาวล่ะ? เราเคยนั่งนึกถึงคำถามนี้เมื่อต้องไปสมัครงานและพบคู่แข่งหลายพันคนที่มาเข้าแถวสมัครก่อนหน้าเรา บางทีอาจเป็นเพราะรายได้ดีที่ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย หรืออาจจะเป็นเพราะโอกาสดีที่จะได้ท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ โดยไม่ต้องจ่าย
ค่าเครื่องบิน บางคนก็อาจจะมองว่าเป็นอาชีพที่สวยงามก็ได้ เพราะสังเกตเลยแอร์โฮสเตสเกือบทุกคนจะหน้าตาดีและแต่งตัวเก่ง ยิ่งมองก็ยิ่งดูดีโดยเฉพาะเวลาอยู่ในเครื่องแบบ(เหมือนทหารตำรวจเทือกนั้นแหละ)
แต่ก็อาจมีบ้างที่รักงานบริการอย่างจริงใจจึงมุ่งมั่นมาสู่สายอาชีพนี้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ก็ต้องยอมรับว่านี่แหละคืออาชีพที่ติดท็อปเทนตลอดกาลเลยทีเดียว และก็นั่นแหละเมื่อมันได้รับความนิยม ก็หมายความว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับโอกาสเข้าไปเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งความฝันบนเครื่องบิน
เราเองก็เป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ตรงจุดหมายแห่งความฝันนั้นมาแล้ว ใช่เราเคยได้เข้าไปสัมผัสชีวิตที่หลายคนเรียกว่านางฟ้าติดปีก ทั้งๆ ที่จริงจะว่าไปแล้วเราก็ไม่ได้มีคุณสมบัติเลิศเลอไปกว่าคนอื่นนัก ว่าง่ายๆ คือเราไม่ได้สวยระดับนางงาม รูปร่างก็ไม่ใกล้เคียงนางแบบ ที่สำคัญคือเราเป็นคนหน้าตาดุและน้ำเสียงก็ไม่ต่างไปจากใบหน้า ทำให้เราไม่กล้าที่จะไปลองเสี่ยงสมัครเข้าสู่อาชีพที่ฝัน
ที่สำคัญกว่านั้นคือพอเราเรียนจบก็ได้รับโอกาสดีในชีวิต คือได้เข้าไปทำงานในสถานฑูตแห่งหนึ่ง ซึ่งทำให้เราได้ใช้ภาษาที่เรารักและสู้อุตส่าห์เรียนมาตั้ง 7 ปี แถมเงินเดือนก็ดีด้วยนะ เราจึงเก็บความฝันนั้นเข้าหีบและยัดไว้ใต้เตียงอย่างเงียบๆ เพราะเชื่อว่าครอบครัวและเพื่อนของเรา คงไม่มีใครสนับสนุนให้เราทิ้งอาชีพที่มั่นคงและรายได้ดีไปวิ่งไล่ตามฝันหรอก
แต่แล้ววันหนึ่งเหมือนสิ่งที่ถูกขังไว้ในหีบนั้นมันดิ้นรนหาทางออกจากกรงขังและเตือนให้เราดูหนังสือพิมพ์สมัครงานฉบับหนึ่ง ทั้งที่ไม่เคยสนใจและดูหนังสือพิมพ์ประเภทนี้มาหลายปี แต่ก็นั่นแหละอาจเป็นฟ้าดลใจมั้ง วันนันเราจึงได้เห็นโฆษณารับสมัครแอร์โฮสเตสของสายการบินญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ที่เป็นความใฝ่ฝันของสาวตัวเล็กทั่วประเทศไทยเลยก็ว่าได้ นั่นก็คือสายการบิน แจลเวยส์ ไม่ต้องถามนะว่าเราตัดสินใจยังไง เพราะมันก็เหมือนภูเขาไฟนั่นแหละ ไม่ว่าจะสงบยังไงมันก็ต้องระเบิดออกมาสักวัน
แต่ด้วยความที่เราไม่เคยมีประสบการณ์การสมัครเป็นแอร์โฮสเตสมาก่อน และก็ไม่ได้มีคนรอบตัวที่ทำงานด้านนี้อยู่เลย ดังนั้นเราจึงไม่รู้เรื่องการเตรียมตัวสำหรับการสมัครครั้งนั้นเลย ทั้งเรื่องการถ่ายรูป แต่งหน้าทำผม การเตรียมตัวตอบคำถาม การวางบุคลิกต่อหน้ากรรมการ การออกเสียงภาษาอังกฤษเวลาตอบคำถามต่อหน้ากรรมการและก็อื่นๆ อีกจิปาถะ เรียกว่าตอนนั้นยุ่งอีรุงตุงนังเลยทีเดียว แถมที่เตรียมตัวไว้
มันก็ไม่ได้ดีดั่งใจ สิ่งที่ตามมาน่ะเหรอ ก็ความไม่มั่นใจไงล่ะไม่ต้องถามก็น่าจะรู้
จำได้ว่ารูปที่เราถ่ายในการไปสมัครครั้งแรกค่อนข้างจะดูไม่ได้เลย ซ้ำตากล้องก็ตั้งขากล้องซะสูงแล้วถ่ายกดลงมา ซึ่งการทำเช่นนั้นก็ทำให้เรายิ่งดูเตี้ยและต้อหนักเข้าไปอีก อีกทั้งเราก็แต่งหน้าไปเองแต่ก็เอาแบบบางๆ ตามที่เราแต่งไปทำงานทุกวันเพราะความเคยชิน เมื่อออกมาเรียกว่าดูไม่ดีเอามาก ๆ
วันไปสัมภาษณ์ก็แต่งหน้าทำผมแบบเดิมเพราะไม่รู้จริงๆ ว่ามันใช้ไม่ได้ สูทก็ซื้อเอาแบบ
ที่ขายข้างถนนทั่วไปเพราะคิดว่าก็คงเหมือนๆ กัน คำถามคำตอบไม่ต้องคิดว่าจะเตรียมกันหรอก เพราะลำพังการสัมภาษณ์เขาจะมีกี่ขั้นตอน แบ่งเป็นอะไรบ้างตอนนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
ดังนั้นพอถึงวันสัมภาษณ์รอบแรกเล่นเอาเราเต้นเลยเหมือนกันนะ ยิ่งเห็นคนอื่นในกลุ่ม เรา
ก็เริ่มกดดันหนักเข้าไปอีก ทำไมคนนั้นแต่งตัวดูดีจัง คนนี้พูดภาษาญี่ปุ่นได้ด้วย อีกคนก็นั่งท่องคำตอบที่
เตรียมมาแถมโดนใจมาก(ขนาดเราไม่ได้เป็นกรรมการยังโดนใจเลย) แค่นี้ก็ทำเอาใจหายไปกว่าครึ่งแล้ว
ยิ่งพอถึงเวลาเข้าไปในห้องสัมภาษณ์จริงๆ ความประหม่ายิ่งเข้ามาเยือนหนักขึ้น ตอบคำถามก็ดูเก้ๆ กังๆ
ไม่ได้อย่างใจ แต่ก็ปลอบตัวเองว่าเอาน่า ภาษาอังกฤษเราดีสำเนียงเป็นไฟ ยังไงก็น่าจะผ่านรอบนี้ไปได้
เดี๋ยวรอบหน้าค่อยแก้ตัวใหม่
และแล้วเวลาแห่งความเป็นจริงก็มาถึง ในวันประกาศผลรอบแรกเรายังจำความรู้สึกวันนั้นได้อยู่เลย เหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เองทั้งที่ผ่านมาเกือบสองปีแล้วก็ตาม วันนั้นเราต้องไปทำงานปกติเลยไม่สามารถไปดูผลได้ด้วยตนเอง เพื่อนเราก็เลยอาสาไปทำหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ให้
เราก็ทำงานไม่ได้เลย ใจจดใจจ่อรอโทรศัพท์จากเพื่อนตั้งแต่ 10 โมง ทั้งที่ตกลงกันว่าเขาจะไม่โทรมาบอก แต่จะไปรออยู่ที่อพารต์เมนท์และบอกต่อหน้า แต่เราก็รอให้เขาโทรมาบอกข่าวดีนะ แต่รอจนกระทั่งบ่ายสองก็ยังไม่โทรมาซะที ไอ้เราเองก็ไม่กล้าโทรไป บอกตามตรงลึกๆ ก็กลัวว่าจะทำใจไม่ได้หากไม่เป็นอย่างที่คิด สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ต้องขึ้นรถเมล์กลับที่พักด้วยอาการเหมือนคนป่วยหนักใกล้ตาย
พอกลับมาถึงห้องพักยิ่งเห็นหน้าน้องชายกับเพื่อนและสายตาที่ทั้งสองคนมองมา เราก็
รู้แล้วว่าผลลัพธ์เป็นยังไง เท่านั้นแหละน้ำตาก็ร่วงเอาร่วงเอาอยู่เป็นชั่วโมง ทั้งๆ ที่ก็พอจะรู้อยู่แล้วเพราะนิสัยของเพื่อนเราถึงจะตกลงกันไว้ ถ้าเราได้จริงเขาต้องโทรมาบอกแล้ว ทั้งเพื่อนทั้งน้องชายก็ช่วยกันปลอบอยู่หลายชั่วโมง ทั้งว่ากรรมการเขาไม่มีมาตรฐานบ้างล่ะ เขาเอาคนที่ถูกชะตาหรือไอ้เรามันดวงจู๋บ้างล่ะ กว่าจะทำใจได้ก็เล่นเอาเขื่อนเกือบแห้งเลยเหมือนกัน เป็นอันว่าการสมัครแอร์โฮสเตสครั้งแรกของเราก็เหมือนคนส่วนใหญ่ คือจบลงด้วยการกินแห้ว ฮื่อ ฮื่อ
แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 51 11:53:11