เป็นเรื่องเล่าจากชีวิตเราเองค่ะ มีถึงตอนที่ 4 นะคะ
ขอย้อนเล่าถึงที่มาของความอ้วนกันซักนิด เมื่อก่อนสมัยตอนจบ ม.กรุงเทพใหม่ตัวเล็กมาก หนักแค่ 45-47 กิโลเองค่ะสูง 160 cm. คุณขา จิ๊งงงงงงงงงงง ไม่ได้อิงนิยาย ตัวเท่าเพื่อนสนิท ราชการสาวชั้นผู้น้อยหล่ะค่ะ แลกเสื้อผ้าใส่กันอย่างเมามันส์ นังเพื่อนหน้าสวยอีกคนซะอีกที่ตัวกลมอวบอั๋น แต่ดูมันตอนนี้ซิ สวยเช๊ง หุ่นดี ฟิตแอนด์เฟิร์ม กลายร่างเป็นขาวสวย หมวยอึ๋ม ไปแล้ว ส่วนเราทำงานได้ 2ปี ก็ยังโออยู่ ประมาณว่าสวยเอ็กซ์เซ็กส์แตกเรี่ยราด (อันนี้คิดเอาเองนะ ไม่มีใครบอก)
พอทำงานที่บรืษัทเยอรมันแห่งนึงเท่านั้น จิงๆ ไม่ได้โทษบริษัทหรอกนะ คงต้องโทษสามีสุดเลิฟมากกว่า เพราะว่าสมัยเป็นแฟนกันเนี่ย มีหน้าที่ต้องไปกินอาหารจีนกะที่บ้านเค้าทุกวันอาทิตย์ ที่ร้านเยี่ยนจิง แถวๆเยาวราช ขอบอกว่าอร่อยมากกกกกกกกกกกก แต่ไม่ต้องไปตามหาหรอกนะ เพราะว่าชั้นกินจนเค้าเจ๊งไปแล้วอ่ะ บ้าาาาาาาาาา ใครจะกินจนร้านเจ๊ง มีที่ไหน พอดีกุ๊กเค้าเป็นมะเร็ง เลยเลือกกิจการ แต่เค้าไม่รู้หรอกว่าร้านอาหารของเค้าสร้างผลกระทบให้กับคนๆนึงอย่างมากมาย ร้ายแรงยิ่งกว่ามะเร็งอีก เพราะเป็นแล้วไม่ตาย มันอายแทน ก็คือโรคอ้วนนั่นแหละ
ขอย้อนกลับไปอีกหน่อยตอนสมัยเรียน ขนาดเราหนักแค่นั้นยังคิดว่าตัวเองอ้วนอยู่เลย ก็แหม ตอนนั้นวัยรุ่นเค้าฮิตใส่เสื้อเอวลอย กางเกงขาบานกันอยู่เลย ไอ้เรารึจะให้เอวมันลอยออกมามากมายก็กะไรอยู่ ก็เลยพึ่งยาลดน้ำหนักค่ะ โอ๊ยแทบตาย เกิดมาไม่เคยกิน พอกินเข้าไปเท่านั้นแหละ ปากแห้ง คอแห้งผาก หายใจไม่ทัน ต้องหายใจทางปากช่วยอีกทางนึง ถ้าให้ดีต้องมีคนมาช่วยเม้าท์ทูเเม้าท์จะเยี่ยม เอาและ กามไปนิดส์ กลับมาเล่าต่อดีกว่า ใจเต้นเร็วมากกกกกกกกกกกก นึกว่าจะต้องดับอนาถคาห้องพักซะแล้ว รีบกลับไปร้านหมอ ปรากฏว่าหมอให้ยาผิด เป็นยาสำหรับคนอ้วนมากกกกก โอ๊ย น่ากลัวมาก
ต่อมาช่วงนั้นดารงดาราฮิตกันมากเรื่อง ฝังเข็ม ที่หัวเฉียวแถวหลานหลวงนี่ดังนัก เรียกว่าต้องไปรับบัตรคิวกันตั้งแต่ตีสามตีสี่ เพื่อจะได้ทำตอน แปดโมงเก้าโมง เอากะเค้าซิ ดิชั้นก็เอาด้วย ไปตั้งกะหกโมงเช้า พอไปถึงโห คนอ้วนจมเลย อ้วนมาก ตัวเท่าโอ่งราชบุรีเลยนะ นั่งกันแทบไม่พอ เอ้า ก็เก้าอี้ตัวนึง ต้องนั่งได้คนนึงใช่ป่ะ แต่เปล่าเลยนั่งได้แค่ครึ่งก้นของเหล่าสาวอ้วนเลยอ่ะ ดิชั้นเลยดูตัวเล็กลงไปถนัดตา พอนั่งไปซักพัก ก็หันไปเห็นยัยกุ้งแห้งคนนึง ตัวผอมลีบ ขาเล็กเหมือนเป็นโปลิโอเลย เราก็เอ๊ะยัยแห้งนี่ยังไง จะบ้ารึเปล่า เค้าอยู่คิวก่อนหน้าเราคิวนึง ด้วยความอัธยาศัยดี หรือก็คือ เจือกนั่นแหละไปแอบถามได้ความมาว่าเค้ามาฝังให้อ้วน แล้วไป เฮ้ย มีด้วยเหรอ อะไรกัน อยากอ้วนก็กินเข้าไปซิ ไม่เห็นยากเลย ต้องมาฝังด้วย คนอ้วนมองเราสองคนกันใหญ่เลย เฮ้ยชั้นว่าชั้นอ้วนนะ ไม่อยากปล่อยตัวให้อ้วน้หมือนสาวพวกนี้หรอก ต้องดูแลแต่เนิ่นๆย่ะ
หมอที่มาฝังเข็มเป็นคนจีน พูดไทยไม่ได้ ฟังก็ไม่ได้ และแล้วก็เกือบเที่ยง จนมาถึงคิวยัยกุ้งแห้ง เค้าก็อธิบายให้ผู้ช่วยหมอฟังว่าอยากอ้วน แล้วหมอก็เริ่มกระบวนการ กว่าจะเสร๊จก็เที่ยงพอดี สรุปเราก็เลยต้องกลายเป็นคิวแรกตอนบ่าย คิดดูมาตั้งกะหกโมงเช้า พอถึงคิวเราผู้ช่วยไม่อยู่ คุณหมอก็พูดอะไรไม่รู้ เราก็ค่ะ ค่ะ ค่ะ แล้วก็เริ่มเอาอะไรไม่รู้ คิดว่าเป็นเข็มมาวางไว้ในหูเราข้างซ้าย แล้วปิดพลาสเตอร์เอาไว้ แล้วคุณพยาบาลก็เข้ามาพอดี ก็มาอธิบายว่าให้เอามือกดที่หูซ้ายนี่ทุกครั้งก่อนทานข้าว มันจะทำหน้าที่ไปกดประสาทการสั่งการที่สมองของเรานะคะ จะเห็นผลภายในอาทิตย์นึงแน่นอน ว่าแล้วดิชั้นก็ลิงโลด อู๊ยจะสแลนเดอร์แล้ว
ตอนนั้นเรียนอยู่ปี 4 พอก่อนกินข้าวก็กดค่ะ อู๊ยเจ็บ เหมือนเข็มแทงหู ก็กินซิค่ะ หิวด้วย เผลอเป็นกด เผลอเป็นกด ประมาณว่าอยากผอมเร็วๆ ปรากฏว่า 3 วันเท่านั้นค่ะ โปรดติดตามตอนต่อไป
ตอนที่ 2
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L6681717/L6681717.html
ตอนที่ 3
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L6684775/L6684775.html
ตอนที่ 4
http://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L6685573/L6685573.html#2
แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 51 13:16:22
จากคุณ :
jjchan
- [
8 มิ.ย. 51 13:12:48
]