บทที่ 2 ความพยายามครั้งที่สอง
พอเริ่มทำใจได้สักพักเราก็เลิกปลอบตัวเอง และคิดว่าไม่เป็นไรครั้งหน้าลองใหม่ก็ไม่เสียหายอะไร ไม่ต้องลงทุนอะไรมากนักที่สำคัญอายุเราก็ยังอยู่ในเกณฑ์นี่ อิๆ ว่าแล้วก็เชิดหน้าใช้ชีวิตของเราต่อไป
1 ปีผ่านไปไวเพราะอ่านหนังสืออยู่(ความจริงตอนนั้นรู้สึกเหมือนนานมาก) แจลเวยส์เจ้าเก่าก็เปิดรับแอร์โฮสเตสอีกครั้ง ตอนแรกที่เห็นก็ตื่นเต้นนะ แต่ความกลัวก็ยังคอยบั่นทอนกำลังใจอยู่ด้วย เพราะครั้งนี้เคยมีประสบการณ์มาแล้ว ทำให้เริ่มมองความเป็นจริงที่ว่าคนสมัครตั้งสามสี่พันคนแต่รับแค่ 100 คนเท่านั้น โอกาสที่จะเป็นเรามันน้อยนิดเดียวเท่านั้นเอง ประมาณว่าเอนทรานซ์ยังง่ายกว่าเลยมั้ง
แต่เพื่อนเราก็ให้กำลังใจบอกว่าใจเย็นๆ ถ้ายังอยากเสี่ยงที่จะซื้อหวยแอร์โฮสเตสอยู่ก็ต้องเตรียมตัวให้ดี ที่เขาเคยปลอบมาต่างๆ นานา นั้นก็อยากให้เราทำใจได้ ความเป็นจริงแล้วเขาก็เชื่อว่ากรรมการต้องมีสเปคในใจเอาไว้แล้ว เพราะการจะหาคน 100 คนไปทำงานแบบเดียวกันและอยู่ร่วมกัน มันต้องมีจุดร่วมบางอย่างที่เหมือนกัน เพียงแต่เรายังหาจุดนั้นไม่เจอแค่นั้นเอง ดังนั้นครั้งนี้ก็ต้องเต็มที่กันหน่อย
ก่อนอื่นก็เตรียมตัวหาข้อมูลอย่างดี และบังเอิญได้ยินมาว่ามี web หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับแอร์โฮสเตสและคนที่อยากเป็นแอร์โฮสเตสด้วย ซึ่ง web นี้จะรวบรวมข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ ไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวสมัคร การตอบคำถามหรือแม้กระทั่งการใช้ชีวิตในต่างแดน เราก็เลยสืบเสาะหาจนพบว่า web นั้นคือ www.thaicabincrew.com นั่นเอง
เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักและเคยเข้าไปเยี่ยมเยือนกันมาแล้ว ต้องขอบอกว่าเป็นชุมชนคนอยากเป็นแอร์โฮสเตสที่อบอุ่นมาก มีทั้งความรู้ กำลังใจและข้อมูลข่าวสารที่เราไม่เคยทราบมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ต้องขอขอบคุณ webmaster ของ thaicabincrew และเพื่อนๆ สมาชิก web นี้มาก เรียกว่าถ้าไม่มีทุกคนเราอาจไม่ได้สัมผัสแม้แต่เศษเสี้ยวของความฝันนี้เลยก็ได้
หลังจากมีข้อมูลที่ดีแล้วเราก็เริ่มต้นด้วยการถ่ายรูปใหม่ เพราะรูปที่ถ่ายไปสมัครครั้งแรก
ขอบอกว่าไม่ได้ใส่ใจ ทำให้ดูออกมาโทรมๆ (ผมยังกระเซิงด้วยซ้ำ) นั่นซิแล้วใครเขาจะเลือกเราล่ะ ก็พอดี
ตอนนั้นน้องชายเพื่อนเราได้เป็นสจ๊วตของการบินไทย เขาแนะนำว่าให้ไปถ่ายรูปที่ร้านแถวสยามอยู่ใกล้ๆ ร้านอาหารสีฟ้า (ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อพอดีเขาไม่ยอมจ่ายสปอนเซอร์ให้หนังสือของเรา ฮาๆ) จัดว่าเป็นร้านที่คนไปสมัครแอร์โฮสเตสให้ความนิยมมาถ่ายรูปกันมาก ตากล้องเลยมีความชำนาญในการจัดวางท่าและมุมกล้องดีทีเดียว ที่สำคัญไม่แพงด้วยนะ ใครสนใจก็ลองไปหาแถวร้านสีฟ้าสยามเอาแล้วกัน หาไม่ยากหรอก
การถ่ายรูปครั้งนี้เราก็ยังแต่งหน้าด้วยตัวเอง แต่เพราะศึกษามาดีแล้วว่าจะต้องออกมาโทนไหนจึงจะเข้าตากรรมการ ดังนั้นที่เหลือจึงเป็นเรื่องของตากล้องและคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ที่จะเนรมิตเราให้ชวนฝันเพิ่มขึ้น
ส่วนเรื่องเสื้อผ้าในวันถ่ายรูปก็ต้องเตรียมไปเองนะแต่ก็ไม่มีอะไรมาก เสื้อเชิ้ตสีอ่อนดูสุภาพ ยิ่งเป็นสีขาวแขนยาวเราก็ว่าดีที่สุด สูทสีดำทั่วๆ ไปเข้ากับรองเท้าคัชชูหนังสีดำเรียบๆ แต่เราก็มีแอบทำเก๋นิดหนึ่ง คือเราผูกผ้าพันคอสีอ่อนไปด้วยเพื่อไม่ให้ดูโล่งจนเกินไปนัก
สนนราคาของร้านนี้ก็อยู่ที่ 350 บาทต่อ 1 เซท (ในตอนนั้นนะ ตอนนี้ไม่รู้) โดย 1 เซท จะมีรูปยืนเต็มตัวใบใหญ่ (โปสการ์ด) 10 ใบ และรูปเล็กติดบัตรขนาด 2 นิ้ว อีก 10 ใบ แต่ก็มีบางคนที่ไปถ่ายตามร้านถ่ายรูปทั่วไป ซึ่งราคาจะถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่งเลย อันนี้ก็ตามอัธยาศัยแล้วกัน
ต่อไปก็เรื่องของผลสอบ TOEIC ปกติทุกสายการบินและงานสายโรงแรมหรือบริษัทข้ามชาติชั้นนำ ก็มักจะกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะมาสมัครงานต้องสอบ TOEIC ได้คะแนนเท่าไร ซึ่งทางแจลเวยส์ก็กำหนดไว้เหมือนกัน โดยคะแนนที่จะเข้ารับสมัครคัดเลือกได้ต้องทำได้ไม่น้อยกว่า 600 คะแนน เราจึงจัดแจงโทรศัพท์ไปเช็ควันและเวลาสอบที่เราสะดวก อ้อลืมบอกไปศูนย์สอบ TOEIC จะอยู่ที่อาคาร บีบี แถวอโศกนะ ส่วนเบอร์โทรต้องหากันเอาเองจำไม่ได้แล้ว อันนี้ความจริงเราก็มีผลสอบ TOEIC ที่สมัครไปครั้งแรกอยู่แล้ว แต่มันเกิน 1 ปีก่อนถึงวันสมัครเลยทำให้ต้องไปสอบใหม่
พอถึงวันสอบเราก็กำเงินค่าสมัครประมาณ 700 บาทนะถ้าจำไม่ผิด บวกกับรูปถ่ายไปติดต่อเจ้าหน้าที่ แล้วก็กรอกใบสมัครก่อนที่จะเข้าห้องสอบ ข้อสอบก็จะมีทั้งส่วนที่เป็นการฟังเทป อ่าน text แล้วตอบคำถาม ส่วนของหลักไวยกรณ์ก็มีเหมือนกัน
โดยแต่ละคนจะได้ข้อสอบไม่เหมือนกัน แต่เราก็ไม่รู้ว่ามีกี่ชุดนะ เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะลอกกันก็คงลำบากหน่อย การสอบก็ใช้เวลา 3 ชั่วโมง แต่ผลสอบต้องรอตั้งอาทิตย์หนึ่งเต็มๆ เลย สำหรับใครที่ไม่ค่อยถนัดเรื่องภาษาอังกฤษ ก็แนะนำให้เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่มีปัญหาและเสียเงินค่าสอบไปฟรีๆ เพราะถ้าสอบไม่ผ่านอาจจะไปสมัครไม่ทัน ซึ่งตอนนั้นก็มีบางคนลงใน web ว่าสอบไม่ผ่านต้องสอบใหม่ แต่ผลออกช้าเลยสมัครไม่ทันเสียโอกาสไปเลย
การเตรียมตัวในเรื่องที่เล่ามาแล้วทั้งหมดเราว่าก็ยังไม่ยากเท่าไหร่ ไอ้ที่ลำบากจริงๆ ก็คือเรื่องการตอบคำถาม เพราะเพื่อนเราบอกว่ากรรมการเขาจะเลือกใครคงดูที่การตอบคำถามเป็นหลัก ดังนั้นต้องเตรียมตัวให้ดี ซึ่งก็ทำให้เหนื่อยทีเดียว
เพราะไหนจะต้องมานั่งเดาว่าในห้องสัมภาษณ์เขามีคำถามยอดฮิตอะไร ไหนจะต้องตอบให้ดูน่าฟังน่าประทับใจ คือฟังแล้วงามอย่างมีคุณค่าแบบมิสไทยแลนด์เวิล์ดน่ะ ไม่ใช่ไอ้แบบสวยใสไร้สติอย่างที่เขาพูดกัน ข้อสำคัญการแปลคำถามคำตอบเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องเตรียมตัวให้ดี พยายามร่างเอาไว้และลองอ่านพอให้จำได้ แต่อย่าท่องนะมันคงจะดูไม่ค่อยดีแน่ถ้าเราตอบได้แบบฉะฉานไปหน่อย
อีกเรื่องสำหรับการตอบคำถามที่เราต้องเตรียมตัวคือนิสัยในการตอบคำถาม ก็เพื่อนของเราเขาบอกว่าโอเคเราเก่งภาษาอังกฤษก็จริง และเชื่อว่าทุกคนที่ไปสมัครก็ล้วนแต่เก่งๆ ทั้งนั้น แต่เขาจะเลือกใครล่ะ
จุดสังเกตคงอยู่ที่ว่าคนไหนพูดแล้วฟังง่าย อาจจะพูดช้าหน่อยหรือติดสำเนียงไทยๆ ก็ดี เพราะอะไรน่ะหรือ? เขาบอกว่ามีสองเหตุผล หนึ่งเลยกรรมการก็เป็นคนญี่ปุ่นและคนไทยที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เลยอาจไม่ชำนาญภาษาอังกฤษเท่าพวกเราก็ได้ ทำให้กรรมการบางคนอาจฟังเราไม่ทันและพาลไม่เข้าใจ ซึ่งก็คงทำให้เสียคะแนนไปไม่น้อย
อย่างที่สองก็เพราะเขาต้องการให้เราไปบริการลูกค้าคนญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ อาจจะก็มีคนไทยบ้าง ส่วนชาติอื่นน้อยมาก ก็อย่างที่รู้คนไทยที่พูดภาษาอังกฤษเก่งน่ะมีน้อย คนญี่ปุ่นยิ่งแล้วใหญ่เพราะเป็นพวกชาตินิยม เรื่องจะสปี๊คอิงลิชกันไฟแลบก็ไม่ต้องพูดถึง ขืนเราไปสเปลอังกฤษจ๋าแล้วผู้โดยสาร (ศัพท์บนเครื่องเรียกแค่ผู้โดยซึ่งต่อไปเราจะเรียกแบบนี้นะ) ก็คงฟังไม่รู้เรื่อง แล้วก็จะไม่ประทับใจจนอาจไม่ใช้บริการอีกเลยก็ได้ ดังนั้นกรรมการก็มีเหตุผลที่ดีพอจะเลือกคนที่พูดได้ชัด ช้าและฟังง่าย แต่สามารถถามตอบได้ทุกคำถาม
อ้ออีกนิดนะ ก่อนที่เราจะให้ไปดูตัวอย่างคำถามคำตอบของเรา เผื่อจะไปประยุกต์ใช้ได้สำหรับคนที่เห็นประโยชน์ เราขอแนะนำเคล็ดลับของเราเล็กๆ น้อยๆ ในการตอบคำถาม คือเนื่องจากเราเตรียมคำตอบไปใช่ไหม ถ้าบังเอิญคำถามมันตรงกับที่เตรียมไป แม้จะยากขนาดเรื่องเศรษฐกิจมหาภาคมันก็ง่ายที่จะตอบได้ทันควัน แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็รู้กันหมดว่าเตรียมมา ดังนั้นเราต้องดูว่าคำถามแบบไหนที่ต้องใช้เวลาคิด
เราเองมี 3 สเตปนะคือคำถามพื้นฐานที่ไม่ต้องคิดอะไร เขาถามมาถึงเราก็ตอบเลย เช่น คุณชอบทานอะไร สองคือคำถามที่ยากขึ้นมาหน่อยหรือถามเกี่ยวกับความเห็นเรื่องส่วนตัว ที่ควรจะคิดนิดหนึ่งให้รู้ว่าเรากลั่นกรองแล้ว เช่น ถ้าคุณไปอยู่ญี่ปุ่นจะมีปัญหาเรื่องปรับตัวไหม คำถามประเภทนี้ก็นับหนึ่งถึงสามในใจช้าๆ ประมาณ 3-4 วินาทีและเอียงคอเล็กน้อยแต่พองาม ประมาณว่าคิดอยู่แล้วค่อยตอบอย่างมั่นใจ สุดท้ายก็คำถามแบบยากยิ่งสิ่งใด ซึ่งเราก็ดันทะลึ่งโดนซะด้วย อย่างเช่นคำถามนี้ คุณคิดว่าธุรกิจการบินขณะนี้เป็นเช่นไร ถ้าเจอแบบนี้ไม่ต้องรีบเลยนะ นับมันซะ 1-5 หรือ 6 , 7เลยก็ได้ แต่อย่านานมากนะเดี๋ยวช้าเกินไป แล้วก็ทำเช่นเดียวกันคือส่งยิ้มหวานและตอบอย่างมั่นใจ เท่านี้คุณก็เป็นมิสไทยแลนด์เวิล์ดในใจกรรมการได้แล้วจ้ะ
เอาล่ะหลังจากฟังเทคนิคกันไปแล้วก็ขอให้ดูตัวอย่างคำถามคำตอบที่เราเคยเตรียมไว้ในแบบภาษาไทยจากภาคผนวกนะ ภาษาอังกฤษแปลกันเองแล้วกัน อ้อเราทำหมายเหตุไว้ให้ว่าทำไมบางคำถามจึงต้องตอบอย่างนี้ด้วย ก็ดูเอาแล้วกันว่าตรงใจไหม แต่สำหรับคนที่ไม่เห็นด้วยก็ข้ามไปนะอย่าคิดมากแล้วกัน
จากคุณ :
Jack o'lanturn
- [
9 มิ.ย. 51 20:05:45
]