ย่างเข้าเดือนมิถุนายน เกือบทุกเมืองในประเทศญี่ปุ่นเข้าสู่ฤดูฝนอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าประเทศอันประกอบด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยแห่งนี้จะมีฝนตกเป็นปกติอยู่แล้วเกือบตลอดปี แต่สำหรับในฤดูฝน ฝนจะตกติดต่อกันแทบทุกวันจนหมดเดือน หรืออย่างดีฟ้าก็ปกคลุมด้วยเมฆสีเทา ดูอึมครึมและซึมเซาอยู่ตลอดเวลา จนเกือบเรียกได้ว่าแทบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันกันนั่นแหละ
มุกนั่งมองฝนเม็ดโตๆ ที่ตกกระทบริมหน้าต่างห้องวิจัย น่าแปลกที่ท้องฟ้าคืนนี้ไม่มืดสนิท หากเป็นสีน้ำเงินเข้มนวลตา แม้จะเต็มไปด้วยเมฆสีเทา ไม่มีแสงดาวและพระจันทร์ แต่ก็มีความผ่องนวลบางอย่างที่เธอบอกไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร ส่วนหนึ่งคงเพราะเป็นท้องฟ้าก่อนเข้าฤดูร้อน ซึ่งปกติจะยังคงสว่างอยู่จนเกือบสองทุ่มด้วยกระมัง
ค่ำมากแล้วเมื่อเธอก้าวออกจากตึกเรียน ฝนที่ตกหนักมาตั้งแต่บ่ายค่อยซาลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ขาดเม็ด อากาศเย็นชื้นจนออกจะผิดปกติวิสัยของเดือนมิถุนายนไปหน่อย มุกกระชับเสื้อคาร์ดิแกนอย่างบางสำหรับหน้าร้อนให้เข้าที่ นึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่เช็คสภาพอากาศวันนี้ให้ดีก่อนออกจากบ้าน อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่ายามค่ำคืนอุณหภูมิจะลดลงถึงเพียงนี้ แม้ว่าอพาร์ตเมนท์ของเธอจะอยู่ห่างจากรั้วมหาวิทยาลัยแค่ระยะเดินไม่เกินสิบนาที แต่มันก็ไม่สนุกเลยที่จะต้องเดินฝ่าเม็ดฝนเย็นเยียบแบบนี้
ทางเดินในมหาวิทยาลัยเป็นทางที่เธอคุ้นเคยดี ด้วยความที่เดินมาร่วมแปดปีเข้าไปแล้วตั้งแต่เข้าเรียนระดับปริญญาตรี จนกำลังจะจบระดับปริญญาเอกในอีกไม่นาน มุกยิ้มขันๆ ให้ตัวเอง เมื่อจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่ทำไมฉันถึงไม่คิดจะย้ายไปที่อื่นบ้างนะ ใจคอจะปักหลักอยู่ที่เมืองเล็กๆ นี่ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน..
ฉันกำลังรออะไรบางอย่างอยู่หรือเปล่านะ..
พร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย มุกเพิ่งพบว่าตัวเองเดินเรื่อยเปื่อยมาจนถึงโรงอาหารของคณะ ซึ่งปิดทำการไปแล้วตั้งแต่สองทุ่ม มีเพียงแสงสลัวๆ จากตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติที่เรียงรายอยู่เกือบตลอดผนังด้านนอก
นี่ฉันเดินมาตรงนี้ทำไมกัน มุกถามตัวเองอย่างงุนงง ทั้งที่ทางเดินกลับบ้านนั้นไม่ได้ผ่านบริเวณนี้แม้แต่น้อย หรือว่าจะหิวจนตาลาย เจ้าตัวส่ายหน้ากับตัวเองอย่างเอือมๆ
งั้นแวะกดอะไรร้อนๆ กินหน่อยก็แล้วกัน โดนละอองฝนจนสั่นไปทั้งตัวแล้ว..
กาแฟอุ่นๆ ในแก้วกระดาษทำให้อาการสั่นนั้นดีขึ้นเล็กน้อย มุกเหลียวซ้ายแลขวา หาที่เหมาะๆ ที่พอจะนั่งได้โดยไม่เปียกฝน
โต๊ะไม้สนนั่นไง คนคิดสาวเท้าเข้าไปก่อนที่สมองจะสั่งงานด้วยซ้ำ..
ระยะหลังเธอไม่ได้มาใช้บริการโรงอาหารแห่งนี้บ่อยนัก แต่เธอก็ยังจำมันได้ดี โต๊ะไม้สนเก่าคร่ำ ที่วางหลบๆ อยู่ในมุมอับๆ ระหว่างโรงอาหารกับตึกสหกรณ์ ซุกซ่อนอยู่ระหว่างชายคาแคบๆ กับต้นไม้ใหญ่ที่ให้ใบเขียวสด หนาทึบอยู่ทุกฤดูกาล จนถ้าเดินมาบนทางตรงๆ ด้านหน้า จะไม่เห็นโต๊ะตัวนี้ด้วยซ้ำ นอกจากจะเดินมากดเครื่องดื่มที่ตู้อัตโนมัติแถวนี้นั่นแหละ จึงจะมองเห็นมันได้พอดี
รอบโต๊ะยังคงมีเก้าอี้สี่ตัว วางเรียงอยู่เหมือนเดิมอย่างที่เธอเคยเห็นเมื่อวันที่เข้ามาเป็นน้องใหม่ที่นี่หมาดๆ เมื่อแปดปีมาแล้ว กิ่งและใบหนาทึบของไม้ใหญ่ ทำให้บริเวณแคบๆ นั้นแทบจะถูกแยกออกจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แม้แต่โต๊ะและเก้าอี้ก็แทบไม่เปียกฝน มีเพียงละอองชื้นๆ บางส่วนที่บอกให้รู้ว่า เม็ดฝนยังไม่จากไปไหน
มุกนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ใช้มือลูบรอยสลักบนโต๊ะไม้นั้นเบาๆ เกือบจะยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงวันที่ใครคนหนึ่งใช้ปลายมีดพับกรีดลงไปจนเป็นรอยลึก
"โลกกว้างกว่าที่เราคิด"
ถ้อยคำประหลาดนั้นไม่ควรจะเป็นของพวกมือบอน ที่ปกติก็จะมีแต่ประเภทคำบ่นว่าง่วง เบื่อ เหนื่อย หรือแม้แต่ประกาศว่าใครรักกับใคร ตามแบบฉบับวัยรุ่นทุกยุคสมัยนั่นแหละ
ก็ใช่ เพราะคนเขียนไม่ใช่พวกมือบอน อย่างน้อยเธอก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นอะไรอย่างนั้นไปได้ เธอยังจำได้ถึงวันที่เธอนั่งหัวเราะเขาอยู่ตรงนี้ หลังจากที่ลุ้นให้ไม่มีใครผ่านมาเห็นตอนเขาทำอะไรบ้าๆ อย่างนั้น พร้อมกับคิดคำแก้ตัวไปด้วยพร้อมๆ กัน ถ้าเผื่อว่ามีใครมาเจอเข้าจริงๆ
"จะเขียนทั้งที เขียนอะไรให้มันสนุกๆ กว่านี้หน่อยก็ไม่ได้" เธอค่อนเขา ระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งอก
ฝ่ายนั้นยิ้มนิดๆ เหมือนที่เจ้าตัวชอบทำอยู่เสมอ ยิ้มที่บางทีเธอก็แปลความหมายไม่ออกหรอกว่ามันคืออะไร
"ความสนุกของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก"
เขาบอกแค่นั้น เก็บมีด แล้วควักเอาบุหรี่ขึ้นมาสูบอย่างสบายอารมณ์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
น่าแปลกที่ภาพนั้นยังแจ่มชัด ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง มุกถอนใจยาว มันชัดเสียจนเธอบอกตัวเองว่า ถ้าเพียงจะมีควันบางๆ ของบุหรี่ กับเสียงผิวปากเป็นทำนองสูงๆ ต่ำๆ ฟังไม่เป็นเพลงของเขาอย่างในวันนั้น ทุกอย่างก็จะเหมือนเดิม..
มุกไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่อย่างนั้นนานเท่าไหร่ จนกาแฟหมดแก้วนั่นแหละ เธอจึงบอกตัวเองควรจะกลับบ้านเสียที จะมานั่งรับละอองฝนอยู่อย่างนี้ทำไมกัน..
ยังไม่ทันจะลุกขึ้น จมูกก็ได้กลิ่นจางๆ ของบุหรี่ พร้อมกับเสียงรองเท้ากระทบกับพื้นซีเมนต์ดังเป็นจังหวะขึ้นเบื้องหลัง
ก่อนที่จะหันไปมอง มุกก็ต้องสะดุ้งสุดตัวด้วยเสียงเรียกชัดเจน น้ำเสียงคุ้นหูจนหัวใจเธอโลดขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่
"มุก !"
มุกลุกพรวดขึ้น หันกลับไปโดยเร็ว แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อพบว่า ใครคนที่เธอนึกถึงอยู่เมื่อครู่นี้ จะมายืนอยู่ตรงหน้าเธอในความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นเพียงความคิดคำนึงของเธออย่างเมื่อครู่
"โช !"
เธอพูดได้แค่นั้น รู้สึกว่าแทบไม่มีเสียงลอดออกจากลำคอด้วยซ้ำ ก่อนที่ร่างนั้นจะก้าวยาวๆ เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า จับมือเธอเขย่าแรงๆ เหมือนที่เขาชอบทำยามได้พบกัน
"ดีใจจัง รู้ไหม เราไปรอที่หน้าบ้านมุกตั้งนาน ไม่เห็นกลับซะที เลยลองมาตามที่นี่ แล้วก็เจอจริงๆ"
เขาพูดยืดยาว น้ำเสียงบอกความดีใจจนปิดไม่มิด ท่าทีรื่นเริง รอยยิ้มกว้างขวางนั้นดูจะต่างไปจากเขาคนเดิมอยู่ไม่น้อย
"นี่มาได้ยังไง" มุกเพิ่งหาลิ้นตัวเองพบ
"เอ้า" เขาร้องเสียงหลง "ก็เพิ่งอธิบายไปนี่ไง ไม่ได้ฟังเลยเหรอ"
"ไม่ใช่.. หมายความว่ากลับมาญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อไหร่" มุกพยายามใหม่ ไล่ความมึนงงทั้งหมดออกจากหัว มองหน้าคนตรงหน้าเต็มตาเป็นครั้งแรก
"คำถามไม่เห็นจะเหมือนกันสักหน่อย" ฝ่ายนั้นบ่นอุบ กดไหล่เธอให้นั่งลงอีกครั้ง "หนาวจัง เดี๋ยวไปกดกาแฟมากินก่อน มุกเอาอีกไหม"
ไม่รอให้เธอตอบ เขาก็เดินหายไป ก่อนจะกลับมาพร้อมกับกาแฟร้อนสองแก้วในมือ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับเธอ
มุกยังจ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้น คำถามมากมายประดังประเดกันเข้ามา แต่เธอก็ถามไม่ออก
"เราหล่อขึ้นมากหรือไง ถึงทำหน้าตะลึงอย่างนั้นน่ะ" ฝ่ายนั้นจิบกาแฟ ถามยิ้มๆ ในแบบเขาคนเดิม
"ไม่แน่ใจเหมือนกัน" เธออยากจะถอนใจ คร้านจะตัดพ้อต่อว่าเขาว่าทำไมเพิ่งจะกลับมาเอาป่านนี้ และชีวิตเขายุ่งเหยิงจนเกินกว่าจะส่งข่าวถึงเธอได้แม้แต่ครั้งเดียวเลยหรือ ตลอดเวลาหลายปีที่เขาหายไป
แต่ก็นั่นแหละ โชก็คือโช เธอจะไปคาดหวังความปกติสามัญจากเขานั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
เราเกือบจะจำหน้าโชไม่ได้อยู่แล้ว"
เขาหัวเราะ มุกเพิ่งสังเกตว่าเขาดูจะหัวเราะง่ายขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากทีเดียว
"เพิ่งไม่กี่ปีเอง ทำขี้ลืมเป็นยายแก่ไปได้" เขาค่อนแล้วก็ยิ้ม ดูจะมีความสุขกับการได้ยั่วเธอ "เราคิดว่ามุกเรียนจบไปทำงานแล้วซะอีก กลับมาทีไรถามใครก็ไม่รู้จัก"
"หือ เมื่อไหร่" มุกถามออกไปทันที
"ครั้งแรกตอนมุกรับปริญญา" เขาถอนใจ "คิดว่ามุกน่าจะเรียนจบพอดี เลยกลับมาตอนงานรับปริญญา แต่ก็ไม่ยักเจอ ถามใครก็ไม่มีใครรู้จัก"
"เราอยู่นะ รับปริญญาที่นี่แหละ แล้วก็ต่อโทเลย ไม่ได้ไปไหน"
"เรากะวันพลาด" เสียงเขามีแววขอลุแก่โทษ "มาถึงหลังวันงานสองวัน ตอนนั้นมหาลัยปิดภาคสปริงอยู่ด้วย คิดว่ามุกอาจจะหยุดแล็บไปเที่ยว หรือไม่ก็ออกไปทำงานแล้ว ไม่ได้เรียนต่อ"
"แปลกจัง" เธอพึมพำ แต่ก็พยักหน้ารับโดยดี "รับปริญญาเสร็จเราก็ไปเที่ยวจริงๆ นั่นแหละ แต่ถามคนในแล็บก็น่าจะมีคนรู้นี่นา"
"นั่นสิ แปลก" เขาถอนใจ ดวงตามีแววครุ่นคิดบางประการที่เธอไม่เข้าใจ เสถามไปอีกเรื่อง "มุกเรียนอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ ตอนนี้ก็จะจบเอกแล้วสิ"
"ฮื่อ" เธอรับคำอย่างระมัดระวัง ไม่ได้ขยายความไปมากกว่านั้น และไม่ได้ย้อนถาม ด้วยยังคงเป็นห่วงความรู้สึกเขา
ครั้งสุดท้ายที่เขามาลาเธอเมื่อเจ็ดปีก่อนนั้น เขาทะเลาะกับที่บ้านรุนแรง จนต้องออกจากบ้านมาอย่างกะทันหัน หากโชก็ยังเป็นโช ที่ดูไม่สะทกสะท้านกับสถานการณ์รอบตัวไปมากกว่าที่เขาคิดว่าจำเป็น เจ้าตัวจึงเล่าเรื่อยๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ
"เราจะดร็อปเรียน ไปเมืองนอกซักพัก มุกไปกับเราไหม"
มุกจำได้ว่าเธองงไปหมด แต่ก็ถามอะไรไม่ออกเหมือนในวันนี้นั่นแหละ เธอตั้งสติตอบได้ดีที่สุดเพียงแค่
"มุกจะไปได้ยังไง ยังเรียนไม่จบ"
โชเม้มปากแน่น เป็นครั้งแรกที่มุกคิดว่าเขาโกรธเธอ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
"โชจะไปทำไม" มุกรู้ว่ามันเป็นคำถามโง่ๆ แต่เธอก็จำเป็นต้องถาม
แม้จะรู้ว่าคงไม่ได้คำตอบ
โชทำให้เธอประหลาดใจอีกครั้งเมื่อตอบเสียงหนักๆ ชัดเจน อย่างที่มันยังคงแจ่มชัดอยู่ในใจเธอเสมอมา
"ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา"
ถ้อยคำนั้นแสนแปลกตามแบบของเขา แต่มุกก็คิดว่าเธอเข้าใจมันได้ดี ออกจะประหลาดใจด้วยซ้ำที่มันตรงกับบางส่วนในหัวใจเธอจนน่าตกใจ..
หากในวันนี้ เมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างขวาง กับน้ำเสียงรื่นเริงของเขา มุกก็บอกตัวเองว่า เขาทำถูกแล้วที่เลือกเส้นทางนั้น เพราะมันทำให้รอยยิ้มของเขาแจ่มใสขึ้นมากมายอย่างที่เธอไม่เคยเห็น
"ที่โน่น เราไม่ได้เรียนต่อนะ" คนที่เธอเป็นห่วงความรู้สึกกลับเล่าหน้าเฉย รอยยิ้มในดวงตาใสกระจ่างจนเธออยากจะเชื่อว่า คงไม่มีรอยเจ็บร้าวใดๆ จากอดีตหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
มุกมองเขานิ่งโดยไม่ได้ถาม เธอยังจำความอ่อนไหว สับสน กลัดกลุ้มจนเกือบหาทางออกไม่ได้ของหนุ่มน้อยวัยยี่สิบที่เคยนั่งที่เดียวกับเขาเมื่อเจ็ดปีที่แล้วได้ดี
(มีต่อค่ะ)
จากคุณ :
โยษิตา
- [
12 มิ.ย. 51 18:58:14
]