Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ***Attention Please ท่านผู้โดย(อ่าน)สารโปรดทราบ***บทที่ 5 ค่ายหฤโหด และบทที่ 6 ลงสนาม***

    บทที่  5  ค่ายหฤโหด


                      ก็อย่างที่บอกไว้ท้ายบทที่แล้วว่าเราต้องไปฝึกที่ญี่ปุ่นต่ออีกสองสัปดาห์  โดยหลังจากฝึกที่เมืองไทยจบไปซักหนึ่งอาทิตย์ก็ต้องบินไปฝึกกันทันที  ทำให้ตื่นเต้นเลยนะแล้วก็ยังกังวลใหญ่ๆ ด้วย  เพราะเราเคยแต่ไปเที่ยวเมืองนอกซักอาทิตย์หนึ่งก็กลับ  แต่นี่ต้องไปอยู่ตั้งสองอาทิตย์แถมเป็นการไปฝึกไปทำงานเสียด้วย  ไม่ใช่ไปเที่ยวเล่นแบบที่เคย  

                        ที่สำคัญถ้าการไปครั้งนี้ทำได้ไม่ดีจนไม่ผ่านเกณฑ์ของบริษัท  ที่ทำมาทั้งหมดก็สูญเปล่า  เรียกว่าอาจเป็นการเอาการฝึกตลอดสามเดือนมาพนันกันแบบเทหมดหน้าตักเลยก็ว่าได้  แล้วก็บอกตามตรงเลยนะไม่ต้องโกหกแบบตอนสัมภาษณ์แล้ว  เราไม่ใช่คนที่ปลื้มกับอาหารญี่ปุ่นนัก  แต่นี่ต้องไปเจอกันทุกมื้อก็ไม่มีคำบรรยายน่ะซิ  ส่วนที่ว่าตื่นเต้นก็เพราะไม่เคยไปญี่ปุ่นเลย  เคยเห็นแต่ในหนังในทีวีหรือการ์ตูนตาหวานที่อ่านมาแต่สมัยประถมนู้น

                        ก่อนไป 1 วันเราก็เตรียมจัดกระเป๋าเหมือนคนไปต่างประเทศทั่วไป  เพียงแต่ว่างานนี้ต้องขนเอาตำราเรียนทุกเล่มใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่สีน้ำเงินที่บริษัทเขาแจกให้ทุกคนใช้เหมือนกัน  ก็ยังนับว่าเป็นโชคดีของเราที่ตอนไปฝึกเป็นช่วงฤดูร้อน  ก็เลยไม่ต้องขนเสื้อกันหนาวให้เกะกะพื้นที่การขนอาวุธสงครามไปที่ญี่ปุ่น  

                      นอกจากกระเป๋าแล้วการไปครั้งนี้ก็มีการควบคุมลูกปูอย่างพวกเราให้อยู่ในกระด้ง  คือ  ห้ามนำอาหารทุกชนิดเข้าไป  ส่วนเรื่องยาถ้าใครมีโรคประจำตัวต้องมีใบรับรองแพทย์  แต่ถ้าใครไม่มีก็ไม่ควรนำเข้าไปเพราะต้องมีการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตรวจ  ซึ่งถ้ายามีส่วนผสมของสารต้องห้ามตามกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นก็จะมีปัญหาได้  แต่ไม่ต้องกังวลกันมากเพราะตอนที่อยู่ที่นั่นจะมีพี่แอร์อีก 4 คน ที่ตามไปคุมพวกเรา  พวพี่ๆ จะนำยาสามัญประจำบ้านไปให้ด้วยเผื่อกรณีฉุกเฉิน  รวมถึงที่นั่นก็ยังมีหมอมีร้านขายยาเช่นกันแม้จะมีราคาแพงมากก็ตาม (อันนี้เจอมากับตัวเอง  เห็นราคาก็เกือบจะหายป่วยเลย)

                       เราต้องเดินทางตอนกลางคืนของวันเสาร์กลางเดือนสิงหาคม  เพื่อที่จะไปให้ถึงเช้าวันอาทิตย์จะได้ปฏิบัติตามตารางที่เขากำหนดไว้ให้ได้ทัน  คือเราต้องไปศึกษาและดูเครื่องบินจริงๆ แต่ละรุ่นที่บริษัทใช้บินอยู่  เพื่อที่วันจันทร์พวกเราจะได้เรียนกันจริงๆ เลย

                        พอตกกลางคืนวันเสาร์เรากลับไม่อยากไปซะดื้อๆ อาจจะเป็นเพราะไม่อยากจากบ้านหรือคนใกล้ชิดไป  เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าครั้งนี้ไปเรียนไม่ใช่ไปเที่ยวไอ้เรื่องจะสบายคงไม่มี  ทีแรกก็นึกว่ารู้สึกอยู่คนเดียวที่ไหนได้พอได้คุยกับเพื่อนๆ  เกือบทุกคนรู้สึกเหมือนกันเลยบางคนร้องไห้ตาบวมมาก็มี  แต่สุดท้ายทุกๆ คนก็ต้องทะยานออกจากท่าอากาศยานนานาชาติกรุงเทพมหานคร(ดอนเมือง)  มุ่งสู่ท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะประเทศญี่ปุ่น

                        ตลอด  6  ชั่วโมงของการเดินทาง  เราแทบไม่ได้หลับเลยเพราะไม่ชินกับการนอนผิดที่  และที่สำคัญเป็นการนั่งหลับเสียด้วย  พอเครื่องลงจอดก็เป็นเวลาประมาณ  7  โมงเช้า ของที่ญี่ปุ่น  ซึ่งเวลาของที่นั่นจะเร็วกว่าเรา  2  ชั่วโมง  เราก็เดินโซซัดโซเซออกมาจากเกทเพื่อขึ้นรถบัสไปโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ สนามบิน  หลังจากนั้นก็ได้พักผ่อนครึ่งวันก่อนที่จะต้องไปดูเครื่องบินอย่างที่บอกไปแล้ว  
     
                       ถึงแม้จะมีอาการสะโหลสะเหลสติสะตังไม่สมบูรณ์นัก  แต่ก็รู้สึกได้ถึงความสดชื่นของอากาศที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ก้าวแรกที่เหยียบลงจากเครื่องบิน  ดังนั้นก่อนขึ้นรถจึงสูดอากาศที่แสนสะอาดเข้าปอดซะเฮือกใหญ่  ตลอดสองข้างถนนจะเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก  ทำให้รู้สึกว่าอยากให้ประเทศเราทำอย่างเขาได้มั่งจัง  แต่ก็นะอาจเป็นเพราะสนามบินบ้านเขาอยู่ไกลตัวเมืองมากๆ ชนิดว่าเป็นชนบทเลย  ไอ้ประเภทดอนเมืองบ้านเราแบบว่านั่งรถ  10  นาทีก็เข้าตัวเมืองน่ะไม่มีหรอก  อ้อเดี๋ยวจะหาว่าไม่รักประเทศของเรา  ขอบอกว่าถ้าเป็นย่านชุมชนเมืองใหญ่อย่างชินจูกุ  ฮาราจูกุ  หรือย่านช๊อปปิ้งอื่นๆ ก็จะมีมลภาวะที่เป็นพิษคล้ายๆ บ้านเราเหมือนกันทั้งนั้น

                          โรงแรมที่เราได้ไปพักจะอยู่ใกล้ๆ สนามบินนาริตะ  เพราะฉะนั้นก็จะห่างตัวเมืองมากเรียกได้ว่าบ้านนอกสุดๆ  รอบข้างก็จะมีแต่ป่าโปร่งรายล้อมอยู่  แต่ถนนหนทางเขาเรียบไม่เป็นหลุมเป็นบ่อเหมือนชนบทบ้านเราเลยแฮะ  เอ๊ะ  คิดถึงเมืองไทยอีกแล้ว  นี่บินไปถึงไม่เท่าไหร่เริ่มคิดถึงเมืองไทยแล้วซิ  (แม้จะเป็นเรื่องไม่ดีก็เหอะ)  บ้านเรือนของที่นี่จะวางเรียงกันอย่างมีระเบียบเป็นบล็อกๆ เหมือนของโนบิตะเลย  แต่ก็ไม่แออันเหมือนในการ์ตูนหรอกนะ  ก็นี่มันถือว่าเป็นชายแดนของชานเมืองเลยนี่น่า

                        พอไปถึงห้องพักในโรงแรมก็แทบจะทิ้งตัวฟุบหน้าลงกับเตียงเพราะรู้สึกว่าเพลียมาก  การเข้าพักนั้นเขาให้อยู่สองคนต่อหนึ่งห้อง  โดยจะปล่อยให้พักตามอัธยาศัยได้จนถึงบ่าย  เพราะหลังจากนั้นก็ต้องเดินทางกลับไปที่สนามบินอีกครั้งเพื่อเยี่ยมชมเครื่องบิน

                       ทันทีที่ย่างก้าวเข้าไปในเครื่องบินของจริง  พวกเราก็ตื่นเต้นกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่  วิ่งไปดูตรงนั้นตรงนี้กันแบบสนุกสนาน  ทั้งที่ทุกคนก็เคยขึ้นเครื่องบินกันแล้วทั้งนั้น  อาจจะเป็นเพราะเรื่องความรู้สึกก็ได้มั้ง  เลยทำให้ดูแปลกใหม่ไปหมด  ไม่ว่าจะวิ่งไปดูอะไรส่วนไหนก็น่าสนุกน่าสนใจเหลือเกิน  อีกอย่างก็คงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นส่วนของเครื่องบินที่ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าไปดูหากเราเป็นเพียงผู้โดย

                       ที่จอดเครื่องบินนั้นเขามีเครื่องให้ดู 3 แบบ  คือ  Boing  747 ,  Boing  767  และ  DC 10  ในส่วนของ  Boing  747  ก็จะมีแบบ  Conventional  คือ - 200  และ - 300  และแบบใหม่ล่าสุดคือ - 400  ส่วน  Boing  767  ก็จะมีแค่แบบ - 200  และ – 300  

                        วันนั้นแม้จะสนุกกันน่าดูแต่ก็จัดว่าเป็นวันทรมานมากอีกวันหนึ่ง  เพราะหลังจากความตื่นเต้นเริ่มหมดไป  การที่ต้องใส่สูทแบบ  Business  attire  เหมือนตอนฝึกที่กรุงเทพและใส่รองเท้าคัชชูในสภาพที่อากาศร้อนจัดไม่ต่างไปจากบ้านเรามากนัก  ไหนจะยังมีหน้าที่แต่งหน้าหนาเตอะอยู่ตลอดเวลาจนเครื่องสำอางเกือบจะละลายเข้ากับใบหน้าอยู่แล้ว  พอต้องมาเดินจากเครื่องหนึ่งไปเครื่องหนึ่ง  ก็โอ๊ย!  ไม่อยากเป็นแล้ว  อยากกลับบ้านแล้วซิ  พอหันไปมองเพื่อนหลายคนก็เริ่มหน้าบูดเหมือนกันคงเป็นเพราะแต่ละคนก็เหนื่อยไม่แพ้กัน  บางคนก็เริ่มบนคิดถึงบ้านคิดแฟนกันเลยก็มีนะ

                       พอตกเย็นหลังจากเยี่ยมชมเครื่องบินเสร็จเราก็ต้องนั่งรถไปเมือง  Haneda  ที่อยู่อีกเมืองเพราะสถานที่ฝึกอยู่ที่นั่น  ไปถึงก็จะสองทุ่มแล้วมั้งใช้เวลาอยู่ในรถราวสองชั่งโมงได้  พอไปถึงโรงแรมแล้วรู้สึกหดหู่ใจเล็กๆ เพราะเป็นโรงแรมค่อนข้างเล็กอยู่ไกลจากตัวเมือง  บรรยากาศเรียกได้ว่าไม่ประทับใจเท่าไหร่  โดยฝั่งตรงข้ามแม่น้ำจะมีโรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งตั้งอยู่  แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรหรอกนะ  รอบๆ โรงแรมมีแต่ป่าดูวังเวงชอบกล  ยิ่งพอตกดึกมองไปทางไหนก็มืดไปหมดยิ่งได้บรรยากาศกันไปใหญ่

                       พอเขาจัดแจงเรื่องห้องพักให้เสร็จแล้วแต่ละคนก็แยกย้ายกันเข้าห้อง  โดยเราได้อยู่ตึกเก่าใกล้ๆ ห้องซักรีด  ทางเดินที่ไปยังห้องพักจะเป็นทางเดินที่ยาวและแคบพอเปิดประตูห้องได้เท่านั้น  เห็นแล้วขนลุกเลยเพราะห้องแคบมากๆ  มีห้องน้ำอยู่ติดประตูทางเข้าและมีเตียงประมาณ 3 ฟุตตั้งอยู่ติดผนังห้องด้านซ้าย    ฝั่งตรงข้ามก็เป็นโต๊ะเครื่องแป้งและโทรทัศน์   ไฟในห้องน้ำจะสลัวๆ  เพิ่มบรรยากาศสยองให้น่ากลัวเข้าไปอีก  แต่ก็พยายามคิดเอาเองว่าไม่เป็นไรน่าแค่สองอาทิตย์เท่านั้น  แต่เห็นบ่นมาขนาดนี้คืนแรกงี้หลับเป็นตายเลย  คงเป็นเพราะความเพลียและความเหนื่อยที่สะสมมาตลอด 1 วันกว่าๆ

                        เช้าวันถัดมาตื่นตั้งแต่  6  โมงเช้าเพื่ออาบน้ำเตรียมตัวไปฝึก  ทางบริษัทเขาก็แจกคูปองอาหารเช้าของโรงแรมให้  พอแต่งตัวเสร็จก็รีบไปกินอาหารเช้ากันเลย  ก็เต็มที่เลยอ่ะนะเพราะเมื่อวานตอนเย็นกินอะไรไม่ค่อยลงก็ต้องมาเอาคืนตอนนี้แหละ  ประมาณว่าเป็นลูกหมูหิวโซวิ่งอยู่ในท้องทุ่งแห่งอาหารของแดนปลาดิบเขาล่ะ  แล้วก็พอดีอาหารเช้ามีสองแบบคือแบบญี่ปุ่นและฝรั่ง  ก็เลยสบายหน่อยรอดตายได้อย่างสบายใจ

                        พอ 8 โมงโรงแรมก็มีรถไปส่งยังศูนย์ฝึกซึ่งใช้เวลาเดินทางแค่  20  นาทีเท่านั้น  ตึกที่เป็นศูนย์ฝึกของบริษัทเป็นอาคารใหม่มาก  แต่รูปทรงจะธรรมดาไม่โดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมแบบที่คนญี่ปุ่นเขาชอบสร้างกัน  เมื่อไปถึงพี่ๆ เขาก็พาพวกเราเดินชมรอบตึก  พร้อมทั้งแนะนำให้ดูห้องเรียนที่ต้องใช้ฝึกในสองอาทิตย์ข้างหน้า  นอกจากนี้ก็ไปดูห้องล็อคเกอร์เก็บของ  ห้องสำหรับพักดื่มชา-กาแฟระหว่างวัน  และที่ขาดไม่ได้คือ
    โรงอาหาร

     
     

    จากคุณ : Jack o'lanturn - [ 17 มิ.ย. 51 16:14:51 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom