บทที่ 7 สู้ฝันวันเป็นนางฟ้า(เต็มตัวซะที)
หลังจากผ่านการ O.J.T. มาได้แบบกดดันนิดหน่อย ก็กลับมาพักที่กรุงเทพเพื่อรอการบินแบบเป็นแอร์เต็มตัวครั้งแรก รู้สึกโล่งอกที่สุดนับแต่ผ่านการสมัครเข้ามาได้ และเมื่อความกดดันต่างๆ หายไปความสนุกก็เริ่มเข้ามาแทนที่แล้วซิ เพราะตอนนี้การรอบินไม่มีความกังวลอีกแล้ว ทั้งหมดตอนนั้นรู้สึกแค่ตื่นเต้นอยากบินเร็วๆ เพราะคราวนี้จะเที่ยวให้คุ้มกับที่ไม่มีโอกาสทั้งที่บินไปตั้งหลายรอบแล้ว
เดือนแรกของการเป็นแอร์ก็ดูจะได้เที่ยวบินแบบธรรมดาๆ คือมี 2 Pattern บินรวม 19 วัน Pattern แรก 10 วัน ได้บินไปทั่วทั้งนาริตะ โอซาก้าและฮอนโน่ ส่วนที่เหลืออีก 9 วัน ก็ได้ไปที่นาโกย่าเป็นหลักแต่ได้เข้าฮอนโน 2 ครั้ง
เที่ยวแรกนั้นเครื่องออกตอน 8 โมงครึ่งแต่ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เพราะต้องไปโชว์อัพตอน 6 โมงเช้า ก็ต้องเผื่อเวลาอาบน้ำแต่งตัวและเดินทางไว้ด้วย แม้จะเป็นช่วงเช้าที่รถไม่น่าจะติดแต่ก็ไว้ใจไม่ได้ เพราะหากผิดพลาดเช่นไปโชว์อัพช้าก็จะโดนหนังสือเตือนซึ่งก็คือการคาดโทษ โดยเฉพาะคนที่หวังจะต่อสัญญาหลังจากครบอายุสัญญาปกติ 5 ปี หรือคนที่อยากติดวิงหรือเป็นหัวหน้าต่างๆ จะต้องห้ามโดนทำโทษหรือหนังสือเตือนโดยเด็ดขาด
เมื่อไปถึงก็ต้องรายงานตัวโดยลงชื่อในตารางเวลาที่เขาจัดไว้ให้ และก็จะต้อง brief กับหัวหน้าลูกเรือในในเที่ยวนั้นๆ ซึ่งตอนนี้ก็เหมือนเดิมคือแอร์ทุกคนจะมานั่งรวมกันและจะได้รู้ว่าต้องบินกับใครบ้าง ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคดีที่ Pattern แรกของเราได้บินกับเพื่อนในรุ่นคนหนึ่ง และบินกับพี่แอร์ที่เป็นครูฝึกตอนเทรนที่เมืองไทยซึ่งเป็นพี่ที่ใจดีสุดๆ เราเองก็ชอบพี่เขามากจนเมื่อได้เจอเข้าตอน brief แทบจะวิ่งไปกอดพี่เขาเลย ที่จริงตอนนั้นนอกจากจะดีใจที่เจอพี่ใจดีแล้วยังเป็นเพราะว่าการบินโดยมีคนรู้จักไปด้วยมันก็อุ่นใจดีเหมือนกัน
อันที่จริงเพื่อนในรุ่นหรือคนที่เรารู้จัก แม้จะไม่ได้บิน Pattern เดียวกันแต่ก็อาจมีโอกาสได้เจอกันด้วยนะ คือเวลาเราบินไปยังพอร์ทต่างๆ ก็จะมีวันได้หยุดพักตามที่นั้นๆ ซึ่งบางครั้งเพื่อนของเราที่บินคนละ Pattern อาจจะไปพักในพอร์ทเดียวกันวันเดียวกันก็ได้ มันก็จะทำให้เราได้เพื่อนเที่ยวเพิ่มขึ้นซึ่งก็จะมีแบบนี้บ่อยๆ ส่วนวิธีที่จะดูว่าใครไปพักพอร์ทเดียวกันก็คือเช็คที่โรงแรม เนื่องจากสาวแจลเวยส์จะมีอภิสิทธิ์ตรวจสอบรายชื่อลูกเรือที่เข้าพักในช่วงนั้นว่ามีคนรู้จักไหม แต่สำหรับเพื่อนรุ่นเดียวกันปกติจะมีการแจกตารางให้คนในรุ่น โดยจะสลับกันทำตารางบินของเพื่อนทั้งรุ่นแล้วนำไปแจก เพื่อจะได้ดูว่าใครบินเมื่อไหร่พักเมื่อไหร่ที่ไหนบ้าง จะได้ตรวจสอบได้ว่าตอนเราไปอยู่ที่พอร์ทนั้นมีใครไปอยู่กับเราบ้าง
นอกจากตารางบินของเพื่อนในรุ่นเนี่ยจะมีประโยชน์ตรงที่ดูว่าใครบินเมื่อไหร่จะได้พบกับเราไหมแล้ว ยังมีประโยชน์อีกอย่างคือมันจะเป็นตัวบอกว่ามีเพื่อนในรุ่นเราคนไหนที่ลาออกไปบ้างหรือยัง เพราะการทำตารางบินในรุ่นนั้น คนที่จัดทำจะต้องไปกดตารางบินของเพื่อนในรุ่นทุกคนตามรหัสพนักงานที่อยู่หน้าชื่อในตารางว่าบินอย่างไร ซึ่งสำหรับคนที่ลาออกก็จะไม่โชว์ตารางบินเลยทำให้เรารู้ว่าเขาได้ออกไปแล้ว เมื่อในตารางบินของเพื่อนร่วมรุ่นที่แจกจ่ายกันมันมีชื่อใครที่ว่างโบ๋ขึ้นมา ก็แสดงว่านางฟ้าเพื่อนเรายอมจำนนถอดปีกไปอีกคนแล้ว
เอาล่ะกลับมาที่เที่ยวบินแรกก็คงเหมือนกับเที่ยวบินที่ผ่านมา แต่เริ่มดูดีขึ้นแฮะ(เหมือนพูดประโยคนี้ไปแล้วเลย) จำได้ว่ามีผู้โดยคนหนึ่งชมด้วยว่าทำงานดี ตอนนั้นเลยมีกำลังใจขึ้นอีกเป็นกอง แต่เวลาทำพลาดก็จะโดนดุบ้าง แต่ยังดีที่พี่แอร์ใจดีก็จะคอยปลอบว่าเอาน่าเที่ยวแรกๆ ก็ยังนี้ทั้งนั้น เดี๋ยวก็ดีขึ้นไปเองและสอนว่าให้ทำช้าๆ ใจเย็นๆ เมื่อเราทำถูกแล้วมันจะเร็วขึ้นมาเอง ซึ่งต่อมาพอเราทำงานนานขึ้นก็รู้สึกว่ามันได้ผล แม้เราจะทำช้าแต่ทำถูกก็ดีกว่ารีบๆ แต่รวกและผิดพลาด เพราะเที่ยวบินแรกเรารีบจนทำพลาดไปครั้งหนึ่งเล่นเอาเจ็บไปนานเหมือนกัน
เหตุการณ์ก็คือปกติอาหารในเครื่องจะถูกแช่เย็นไว้ด้วยน้ำแข็งแห้ง โดยก่อนเสริฟต้องนำเอาอาหารมาเวฟให้อุ่นก่อนจึงจะเสริฟได้ ซึ่งตอนนั้นก็ประมาณรีบมากกลัวจะเสริฟช้าแล้วโดนดุ เลยลืมกฎข้อหนึ่ง นั่นก็คือการหยิบอาหารที่มีน้ำแข็งแห้งแช่ไว้ ต้องใส่ถุงมือจับเท่านั้น! เพราะไม่เช่นนั้นน้ำแข็งแห้งมันจะกัดมือจนเป็นแผลซึ่งจะเจ็บปวดทรมานมาก แล้วเราก็ทะลึ่งมาพลาดตรงนี้เล่นเอานิ้วเป็นแผลไปหลายที่ ขอบอกเลยว่าแผลจากน้ำแข็งแห้งจะเป็นแผลแตกแบบรอยปริแยก ซึ่งนอกจากจะปวดแสบปวดร้อนแล้วยังรักษายากมาก กว่าจะหายก็กินเวลาร่วมสองอาทิตย์เลยเพราะฉะนั้นระวังตัวกันหน่อย
สิ่งที่ต้องคอยระวังอีกอย่างในการทำงานในเครื่องบินก็คือการยกของหนัก ทั้งนี้เพราะแจลเวยส์เขาไม่มีสจ๊วตผู้ชาย ดังนั้นงานยกของหนักๆ ไม่ว่าจะเป็นลังเบียร์ ลังไวน์หรือแม้แต่กล่องอาหารหนักๆ ที่แต่ละครั้งต้องยกทีละจำนวนมากๆ พวกเราก็ต้องทำกันเองโดยเฉพาะคนที่อยู่ Galley เราคงไม่ต้องบอกว่าบินเดือนแรกไม่ได้ไปทำส่วนอื่นเลยนอกจากเป็น Galley ซึ่งการยกของหนักนอกจากจะต้องเตรียมร่างกายให้แข็งแรงแล้ว ยังต้องยกให้ถูกท่าถูกวิธี เพราะต้องยกของหนักขึ้นที่สูงซึ่งหากยกผิดมันจะเกิดผลเรื้อรัง จนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้ แต่เราจะเอาไว้เล่าให้ฟังต่อไปช่วงท้ายๆ ก็แล้วกัน
อีกเรื่องก็คือเรื่องของห้องน้ำในเครื่อง เรื่องนี้ก็ควรระวังแบบโหดมันฮานะ ทำไมน่ะหรือ?
ก็เชื่อหรือไม่ว่าการเข้าห้องน้ำในเครื่องของผู้โดยส่วนใหญ่มักจะทำพิษ ทั้งแบบโดยตรงต่อร่างกายหรือโดยอ้อม ที่ว่าโดยตรงก็คือเนื่องจากบางทีห้องน้ำในเครื่องที่แม้จะดูสะอาด แต่บางครั้งการที่มีคนเข้าไปใช้บริการเยอะ ก็อาจมีเชื่อโรคที่สามารถติดมาถึงเรา โดยเฉพาะโรคทางท่อปัสสาวะ
และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือการที่ผู้โดยมีมากแต่ห้องน้ำมันมีนิดเดียวดังนั้นแอร์ๆ ทั้งหลายที่แม้จะปวดหนักหรือเบาเพียงไร ก็ต้องรอให้ผู้โดยใช้บริการจนหมดก่อนถึงจะถึงคิวของตนเอง หนำซ้ำบางครั้งห้องน้ำอาจจะว่าง แต่เป็นช่วงเวลาทำงานเช่นการเสริฟน้ำเสริฟอาหาร ก็ต้องรอจนเสร็จงานจึงจะเข้าได้ จนทำให้โรคท่อปัสสาวะอักเสบกลายเป็นโรคยอดนิยมของชาวแอร์ไป
ส่วนเรื่องพิษภัยของห้องน้ำทางอ้อมนั้นเราก็โชคดีเลย บินเที่ยวแรกก็เจอเต็มๆ! เพื่อนๆ เชื่อไหมว่าเวลาบินจะต้องมีแอร์นั่งเฝ้าหน้าห้องน้ำอยู่ประจำ เพราะมักจะเกิดปัญหาในห้องน้ำบ่อยมาก เช่น บางทีผู้โดยเปิดประตูไม่ออกเราก็ต้องจัดการ แต่นี่เป็นแค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น เพราะที่หนักกว่าก็คือเวลาผู้โดยออกจากห้องน้ำแล้วเราต้องเข้าไปเช็คความเรียบร้อยนี่ซิ เพราะลำพังกลิ่นที่ยังอบอวลอยู่ก็จะแย่แล้ว แต่บางครั้งก็เจอมากกว่ากลิ่นซึ่งก็คืออุนจิ! ที่สำคัญไม่ใช่อุนจิในคอห่านนะ บางครั้งลงมากองอยู่ที่พื้นห้องน้ำกันเลย และอะแฮ่มเที่ยวแรกของเราก็เจอทุ่นระเบิดญี่ปุ่นนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่แน่ใจว่าผู้โดยประเภทนี้เขาใช้ห้องน้ำในเครื่องไม่เป็นหรือว่าเขาโรคจิตกันแน่ แต่ก็ได้ยินพี่ๆ แอร์ร่ำลือกันมานักต่อนักว่าแอร์ส่วนใหญ่ต้องเคยเจอกันมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งก็ยอมรับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่เซ็งเหมือนกันที่ต้องมาจัดการอะไรพวกนี้ เคยได้ยินเรื่องเล่าว่าพี่แอร์บางคนแกก็รับไม่ได้จนต้องไปตาม ช.หรือหัวหน้าลูกเรือมาดู จนในที่สุด ช. เลยลงมือจัดการกับมันซะเอง แต่ของเราไม่ต้องตามใคร เพราะรู้อยู่แล้วว่างานนี้หน้าที่เราชัวร์ไม่ต้องหาคนช่วย จัดการเองเลยเพราะผู้โดยคนต่อไปคงไม่ประสงค์จะพบเจ้านี่นอนยิ้มอยู่ในห้องน้ำหรอก
แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 51 09:12:02