Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    Attention Please ท่านผู้โดย(อ่าน)สารโปรดทราบ***บทที่ 7 สู่ฝันวันเป็นนางฟ้า(เต็มตัวซะที)และบทที่ 8 Discovery Australia

    บทที่  7  สู้ฝันวันเป็นนางฟ้า(เต็มตัวซะที)


                        หลังจากผ่านการ  O.J.T.  มาได้แบบกดดันนิดหน่อย  ก็กลับมาพักที่กรุงเทพเพื่อรอการบินแบบเป็นแอร์เต็มตัวครั้งแรก  รู้สึกโล่งอกที่สุดนับแต่ผ่านการสมัครเข้ามาได้  และเมื่อความกดดันต่างๆ หายไปความสนุกก็เริ่มเข้ามาแทนที่แล้วซิ  เพราะตอนนี้การรอบินไม่มีความกังวลอีกแล้ว  ทั้งหมดตอนนั้นรู้สึกแค่ตื่นเต้นอยากบินเร็วๆ เพราะคราวนี้จะเที่ยวให้คุ้มกับที่ไม่มีโอกาสทั้งที่บินไปตั้งหลายรอบแล้ว  

                       เดือนแรกของการเป็นแอร์ก็ดูจะได้เที่ยวบินแบบธรรมดาๆ คือมี  2  Pattern  บินรวม  19  วัน Pattern แรก 10  วัน  ได้บินไปทั่วทั้งนาริตะ  โอซาก้าและฮอนโน่  ส่วนที่เหลืออีก 9 วัน  ก็ได้ไปที่นาโกย่าเป็นหลักแต่ได้เข้าฮอนโน 2 ครั้ง

                        เที่ยวแรกนั้นเครื่องออกตอน  8  โมงครึ่งแต่ต้องตื่นตั้งแต่ตี  4  เพราะต้องไปโชว์อัพตอน  6  โมงเช้า  ก็ต้องเผื่อเวลาอาบน้ำแต่งตัวและเดินทางไว้ด้วย  แม้จะเป็นช่วงเช้าที่รถไม่น่าจะติดแต่ก็ไว้ใจไม่ได้  เพราะหากผิดพลาดเช่นไปโชว์อัพช้าก็จะโดนหนังสือเตือนซึ่งก็คือการคาดโทษ  โดยเฉพาะคนที่หวังจะต่อสัญญาหลังจากครบอายุสัญญาปกติ 5 ปี  หรือคนที่อยากติดวิงหรือเป็นหัวหน้าต่างๆ จะต้องห้ามโดนทำโทษหรือหนังสือเตือนโดยเด็ดขาด  

                       เมื่อไปถึงก็ต้องรายงานตัวโดยลงชื่อในตารางเวลาที่เขาจัดไว้ให้  และก็จะต้อง  brief  กับหัวหน้าลูกเรือในในเที่ยวนั้นๆ  ซึ่งตอนนี้ก็เหมือนเดิมคือแอร์ทุกคนจะมานั่งรวมกันและจะได้รู้ว่าต้องบินกับใครบ้าง  ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคดีที่  Pattern   แรกของเราได้บินกับเพื่อนในรุ่นคนหนึ่ง  และบินกับพี่แอร์ที่เป็นครูฝึกตอนเทรนที่เมืองไทยซึ่งเป็นพี่ที่ใจดีสุดๆ  เราเองก็ชอบพี่เขามากจนเมื่อได้เจอเข้าตอน brief  แทบจะวิ่งไปกอดพี่เขาเลย  ที่จริงตอนนั้นนอกจากจะดีใจที่เจอพี่ใจดีแล้วยังเป็นเพราะว่าการบินโดยมีคนรู้จักไปด้วยมันก็อุ่นใจดีเหมือนกัน

                        อันที่จริงเพื่อนในรุ่นหรือคนที่เรารู้จัก  แม้จะไม่ได้บิน Pattern  เดียวกันแต่ก็อาจมีโอกาสได้เจอกันด้วยนะ  คือเวลาเราบินไปยังพอร์ทต่างๆ ก็จะมีวันได้หยุดพักตามที่นั้นๆ  ซึ่งบางครั้งเพื่อนของเราที่บินคนละ Pattern  อาจจะไปพักในพอร์ทเดียวกันวันเดียวกันก็ได้  มันก็จะทำให้เราได้เพื่อนเที่ยวเพิ่มขึ้นซึ่งก็จะมีแบบนี้บ่อยๆ  ส่วนวิธีที่จะดูว่าใครไปพักพอร์ทเดียวกันก็คือเช็คที่โรงแรม  เนื่องจากสาวแจลเวยส์จะมีอภิสิทธิ์ตรวจสอบรายชื่อลูกเรือที่เข้าพักในช่วงนั้นว่ามีคนรู้จักไหม  แต่สำหรับเพื่อนรุ่นเดียวกันปกติจะมีการแจกตารางให้คนในรุ่น  โดยจะสลับกันทำตารางบินของเพื่อนทั้งรุ่นแล้วนำไปแจก  เพื่อจะได้ดูว่าใครบินเมื่อไหร่พักเมื่อไหร่ที่ไหนบ้าง  จะได้ตรวจสอบได้ว่าตอนเราไปอยู่ที่พอร์ทนั้นมีใครไปอยู่กับเราบ้าง

                      นอกจากตารางบินของเพื่อนในรุ่นเนี่ยจะมีประโยชน์ตรงที่ดูว่าใครบินเมื่อไหร่จะได้พบกับเราไหมแล้ว  ยังมีประโยชน์อีกอย่างคือมันจะเป็นตัวบอกว่ามีเพื่อนในรุ่นเราคนไหนที่ลาออกไปบ้างหรือยัง  เพราะการทำตารางบินในรุ่นนั้น  คนที่จัดทำจะต้องไปกดตารางบินของเพื่อนในรุ่นทุกคนตามรหัสพนักงานที่อยู่หน้าชื่อในตารางว่าบินอย่างไร  ซึ่งสำหรับคนที่ลาออกก็จะไม่โชว์ตารางบินเลยทำให้เรารู้ว่าเขาได้ออกไปแล้ว  เมื่อในตารางบินของเพื่อนร่วมรุ่นที่แจกจ่ายกันมันมีชื่อใครที่ว่างโบ๋ขึ้นมา  ก็แสดงว่านางฟ้าเพื่อนเรายอมจำนนถอดปีกไปอีกคนแล้ว

                       เอาล่ะกลับมาที่เที่ยวบินแรกก็คงเหมือนกับเที่ยวบินที่ผ่านมา  แต่เริ่มดูดีขึ้นแฮะ(เหมือนพูดประโยคนี้ไปแล้วเลย)  จำได้ว่ามีผู้โดยคนหนึ่งชมด้วยว่าทำงานดี  ตอนนั้นเลยมีกำลังใจขึ้นอีกเป็นกอง  แต่เวลาทำพลาดก็จะโดนดุบ้าง  แต่ยังดีที่พี่แอร์ใจดีก็จะคอยปลอบว่าเอาน่าเที่ยวแรกๆ ก็ยังนี้ทั้งนั้น  เดี๋ยวก็ดีขึ้นไปเองและสอนว่าให้ทำช้าๆ ใจเย็นๆ เมื่อเราทำถูกแล้วมันจะเร็วขึ้นมาเอง  ซึ่งต่อมาพอเราทำงานนานขึ้นก็รู้สึกว่ามันได้ผล  แม้เราจะทำช้าแต่ทำถูกก็ดีกว่ารีบๆ แต่รวกและผิดพลาด  เพราะเที่ยวบินแรกเรารีบจนทำพลาดไปครั้งหนึ่งเล่นเอาเจ็บไปนานเหมือนกัน

                       เหตุการณ์ก็คือปกติอาหารในเครื่องจะถูกแช่เย็นไว้ด้วยน้ำแข็งแห้ง  โดยก่อนเสริฟต้องนำเอาอาหารมาเวฟให้อุ่นก่อนจึงจะเสริฟได้  ซึ่งตอนนั้นก็ประมาณรีบมากกลัวจะเสริฟช้าแล้วโดนดุ  เลยลืมกฎข้อหนึ่ง  นั่นก็คือการหยิบอาหารที่มีน้ำแข็งแห้งแช่ไว้  ต้องใส่ถุงมือจับเท่านั้น!  เพราะไม่เช่นนั้นน้ำแข็งแห้งมันจะกัดมือจนเป็นแผลซึ่งจะเจ็บปวดทรมานมาก  แล้วเราก็ทะลึ่งมาพลาดตรงนี้เล่นเอานิ้วเป็นแผลไปหลายที่  ขอบอกเลยว่าแผลจากน้ำแข็งแห้งจะเป็นแผลแตกแบบรอยปริแยก  ซึ่งนอกจากจะปวดแสบปวดร้อนแล้วยังรักษายากมาก  กว่าจะหายก็กินเวลาร่วมสองอาทิตย์เลยเพราะฉะนั้นระวังตัวกันหน่อย

                       สิ่งที่ต้องคอยระวังอีกอย่างในการทำงานในเครื่องบินก็คือการยกของหนัก  ทั้งนี้เพราะแจลเวยส์เขาไม่มีสจ๊วตผู้ชาย  ดังนั้นงานยกของหนักๆ ไม่ว่าจะเป็นลังเบียร์  ลังไวน์หรือแม้แต่กล่องอาหารหนักๆ   ที่แต่ละครั้งต้องยกทีละจำนวนมากๆ พวกเราก็ต้องทำกันเองโดยเฉพาะคนที่อยู่  Galley  เราคงไม่ต้องบอกว่าบินเดือนแรกไม่ได้ไปทำส่วนอื่นเลยนอกจากเป็น Galley  ซึ่งการยกของหนักนอกจากจะต้องเตรียมร่างกายให้แข็งแรงแล้ว  ยังต้องยกให้ถูกท่าถูกวิธี  เพราะต้องยกของหนักขึ้นที่สูงซึ่งหากยกผิดมันจะเกิดผลเรื้อรัง  จนสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้  แต่เราจะเอาไว้เล่าให้ฟังต่อไปช่วงท้ายๆ  ก็แล้วกัน

                       อีกเรื่องก็คือเรื่องของห้องน้ำในเครื่อง  เรื่องนี้ก็ควรระวังแบบโหดมันฮานะ  ทำไมน่ะหรือ?  
    ก็เชื่อหรือไม่ว่าการเข้าห้องน้ำในเครื่องของผู้โดยส่วนใหญ่มักจะทำพิษ  ทั้งแบบโดยตรงต่อร่างกายหรือโดยอ้อม  ที่ว่าโดยตรงก็คือเนื่องจากบางทีห้องน้ำในเครื่องที่แม้จะดูสะอาด  แต่บางครั้งการที่มีคนเข้าไปใช้บริการเยอะ  ก็อาจมีเชื่อโรคที่สามารถติดมาถึงเรา  โดยเฉพาะโรคทางท่อปัสสาวะ  
     
                       และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือการที่ผู้โดยมีมากแต่ห้องน้ำมันมีนิดเดียวดังนั้นแอร์ๆ ทั้งหลายที่แม้จะปวดหนักหรือเบาเพียงไร  ก็ต้องรอให้ผู้โดยใช้บริการจนหมดก่อนถึงจะถึงคิวของตนเอง  หนำซ้ำบางครั้งห้องน้ำอาจจะว่าง  แต่เป็นช่วงเวลาทำงานเช่นการเสริฟน้ำเสริฟอาหาร  ก็ต้องรอจนเสร็จงานจึงจะเข้าได้  จนทำให้โรคท่อปัสสาวะอักเสบกลายเป็นโรคยอดนิยมของชาวแอร์ไป

                       ส่วนเรื่องพิษภัยของห้องน้ำทางอ้อมนั้นเราก็โชคดีเลย  บินเที่ยวแรกก็เจอเต็มๆ!  เพื่อนๆ เชื่อไหมว่าเวลาบินจะต้องมีแอร์นั่งเฝ้าหน้าห้องน้ำอยู่ประจำ  เพราะมักจะเกิดปัญหาในห้องน้ำบ่อยมาก  เช่น  บางทีผู้โดยเปิดประตูไม่ออกเราก็ต้องจัดการ  แต่นี่เป็นแค่ปัญหาเล็กน้อยเท่านั้น  เพราะที่หนักกว่าก็คือเวลาผู้โดยออกจากห้องน้ำแล้วเราต้องเข้าไปเช็คความเรียบร้อยนี่ซิ  เพราะลำพังกลิ่นที่ยังอบอวลอยู่ก็จะแย่แล้ว  แต่บางครั้งก็เจอมากกว่ากลิ่นซึ่งก็คืออุนจิ!  ที่สำคัญไม่ใช่อุนจิในคอห่านนะ  บางครั้งลงมากองอยู่ที่พื้นห้องน้ำกันเลย  และอะแฮ่มเที่ยวแรกของเราก็เจอทุ่นระเบิดญี่ปุ่นนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

                        ไม่แน่ใจว่าผู้โดยประเภทนี้เขาใช้ห้องน้ำในเครื่องไม่เป็นหรือว่าเขาโรคจิตกันแน่  แต่ก็ได้ยินพี่ๆ แอร์ร่ำลือกันมานักต่อนักว่าแอร์ส่วนใหญ่ต้องเคยเจอกันมาแล้วทั้งนั้น  ซึ่งก็ยอมรับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่เซ็งเหมือนกันที่ต้องมาจัดการอะไรพวกนี้  เคยได้ยินเรื่องเล่าว่าพี่แอร์บางคนแกก็รับไม่ได้จนต้องไปตาม  ช.หรือหัวหน้าลูกเรือมาดู  จนในที่สุด   ช. เลยลงมือจัดการกับมันซะเอง  แต่ของเราไม่ต้องตามใคร  เพราะรู้อยู่แล้วว่างานนี้หน้าที่เราชัวร์ไม่ต้องหาคนช่วย  จัดการเองเลยเพราะผู้โดยคนต่อไปคงไม่ประสงค์จะพบเจ้านี่นอนยิ้มอยู่ในห้องน้ำหรอก

    แก้ไขเมื่อ 20 มิ.ย. 51 09:12:02

     
     

    จากคุณ : Jack o'lanturn - [ 20 มิ.ย. 51 09:08:15 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom