Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ***Attention Please ท่านผู้โดย(อ่าน)สารโปรดทราบ***บทที่ 9 เกาะสวรรค์ honolulu และบทที่ 10 รวมมิตรอินเจแปน

    บทที่  9  เกาะสวรรค์ Honolulu


                        หากจะพูดกันถึงเกาะซึ่งเป็นที่พักตากอากาศที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ ของโลก  หมู่เกาะฮาวายหรือมลรัฐฮาวายก็คงจะถูกกล่าวถึงอย่างเลี่ยงไม่ได้  ด้วยชายหาดขาวสะอาดทอดยาว  น้ำทะเลสีครามสุดลูกหูลูกตาตัดกับท้องฟ้าสะอาดใส  ฟองคลื่นแตกกระเซ็นเมื่อปะทะกับกระดานโต้คลื่น  หนุ่มสาวในชุดบิกินีจำนวนมากนอนเอกเขนกอวดผิวสีแทนทรงเสน่ห์  โดยมีดวงตะวันสีส้มขนาดใหญ่ที่ใกล้ลับขอบฟ้าเป็นฉากหลัง

                       เห็นไหมแค่บอกเท่านี้ทุกคนก็คงวาดภาพกันจนเห็นชัดราวกับอยู่ที่ปลายจมูกแล้วล่ะซิ  แต่เชื่อไหมทั้งที่มีโอกาสบินไปที่นั่นตั้งหลายครั้งในช่วง 2 เดือนแรก  กลับไม่เคยสังเกตหรือใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้เลย   คงเป็นเพราะเหตุผลที่เคยเล่ามาให้ฟังแล้วว่าต้องเครียดกับการอ่านหนังสือและก็ยังเต็มไปด้วยความอ่อนเพลียจากการทำงาน  และการเปลี่ยนเวลาที่ยังไม่สามารถปรับตัวได้ดีนัก  ดังนั้นเมื่อช่วงเวลาแห่งความกดดันผ่านไป  สายตาที่เก็บกดเลยเปิดกว้างออกชมภูมิทัศน์ที่น่าสนใจอย่างตื่นตาตื่นใจ

                       แล้วก็ไม่ยอมให้เสียเวลาเลย  ทันทีที่ไปถึงฮอนโน่ในเดือนที่สามของการบินก็เริ่มเที่ยวแล้ว  เพราะคราวนี้หลังจากบินจบไม่ค่อยรู้สึกเหนื่อยเท่าไหร่  อาจเริ่มเข้าที่เข้าทางล่ะมั้ง  ก็ไม่มีอะไรมาก  แรกเลยเริ่มด้วยเดินตะลุยชมชายหาดที่ขึ้นชื่อ  ก็ยอมรับนะว่าสวยแต่ไม่ว่ายังไงก็ยังรู้สึกว่ากระบี่  ภูเก็ตหรือพังงาบ้านเราก็ยังสวยกว่าอยู่ดี  ของเขาจะมีดีกว่าเราก็ตรงที่ความเป็นระเบียบของบ้านเมือง  และชายหาดที่ไม่เต็มไปด้วยเก้าอี้ผ้าใบและร่มมาบดบังทัศนียภาพเท่านั้น

                        เนื่องจากเรารู้สึกว่าชายหาดมันก็สวยแบบในหนังที่เราเห็น  และไม่ได้มีเวลามากพอจะลงไปเล่นน้ำหรืออยู่ดูนานๆ  เลยไม่มีอะไรสนุกๆ จะเล่าให้ฟังมากนัก  ฉะนั้นขอข้ามไปเล่าเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ   ซึ่งไม่ค่อยเห็นในหนังหรือถ้าเห็นก็ไม่มีรายละเอียดมากนักแทนแล้วกัน

                       เริ่มต้นกันที่อนุสรณ์สถานสงครามโลกครั้งที่ 2  เพิร์ลฮาเบอร์  ซึ่งก็เป็นที่รู้จักมากแห่งหนึ่งของที่นี่  เรียกได้ว่าใครไม่เคยได้ยินชื่อนี้หรือรู้เรื่องของที่นี่เชยแย่  เพราะเมื่อไม่กี่ปีก่อนก็มีหนังฮอลีวูดเกี่ยวกับเหตุการณ์และสถานที่นี้ออกฉายโกยเงินกันหลายร้อยล้านดอลล่า  แม้แต่ในบ้านเราก็จัดเป็นหนังที่ดังมากในตอนนั้น  จำได้ว่ามีพระเอกสองคนคือเบน  แอฟเฟล็ก อดีตหวานใจ เจโล  ส่วนอีกคนคนคือจอช  ฮาเเนต หนุ่มหล่อสไตล์ลูกทุ่งดูซื่อๆ  ส่วนนางเอกรู้สึกจะเป็นเคท  แบ็กกิ้นเซลมั้ง

                       สำหรับการเดินทางไปสู่เพิร์ลฮาเบอร์นี้  จะต้องเดินทางโดยรถเมล์ที่สามารถขึ้นได้จากโรงแรม  โดยรถก็จะวิ่งผ่านตัวเมืองแบบไม่ใช้เวลามากนัก  เท่าที่จำได้รู้สึกจะราว  40  นาทีเท่านั้นเอง  ค่าโดยสารก็สุดถูกเพียงแค่  2  เหรียญ(เมื่อเทียบกับอาหารจั๊งฟู๊ดธรรมดาๆ ของที่นั่น  ซึ่งต้องใช้เงินราว 6-7 เหรียญแลกมา)  ก่อนจะไปถึงเพิร์ลฮาเบอร์  รถก็จะผ่านเข้าไปในสนามบินแล้วทะลุไปออกด้านหลัง  ซึ่งจะโผล่ที่หน้าป้ายเพิร์ลฮาเบอร์พอดี

                        หลังจากลงรถก็ต้องจัดการเรื่องฝากของสัมภาระต่างๆ  เพราะเขาอนุญาตให้นำเข้าไปเพียงกล้องถ่ายรูปกับกระเป๋าเงินเพื่อหลอกให้เราซื้อของฝากเท่านั้น  ที่เหลือก็ต้องฝากไว้ตรงจุดบริการเพื่อการรักษาความปลอดภัยของสถานที่นั่นเอง  อ้อ  การฝากของที่นี่ไม่ได้ฟรีนะเก็บค่าฝากด้วย  ซึ่งเราต้องจ่ายเท่าราคารถเมล์เลย  นี่แหละที่บอกว่าค่ารถเมล์นั้นรู้สึกถูกไปเลย

                        เมื่อฝากของเสร็จสรรพก็เดินตรงไปยังอีกฝากของตัวอาคารพิพิธภัณฑ์  ซึ่งด้านหน้าจะมีสมอเรือเก่าขนาดใหญ่กว่าตัวเรามากให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก  เท่าที่จำได้ก็รู้สึกว่าจะเป็นสมอเรือรบที่ถูกจมโดยฝีมือทหารญี่ปุ่นจากการลอบโจมตีที่โด่งดังนั่นแหละ  ก็คับคล้ายคับคลาว่าจะเป็นเรือรบอริโซน่านะแต่ไม่แน่ใจ  ถ้าผิดก็ขอโทษด้วย  เมื่อเข้าไปข้างในก็จะมีการแสดงโชว์สิ่งของต่างๆ ที่มีความสำคัญกับเหตุการณ์ครั้งนั้น  โดยหากเราสนใจจะทำความเข้าใจให้มากขึ้นก็สามารถเช่าหูฟัง(เสียเงินอีกแล้ว) จากประชาสัมพันธ์มาเสียบฟังคำบรรยายได้  โดยคำบรรยายก็มีหลายภาษาทั้ง  ฝรั่งเศส  สเปน  เยอรมัน  จีน  ฯลฯ  แต่ก็ไม่ยักกะเห็นมีภาษาไทยเลย(ประเทศชั้นสองชั้นสามก็อย่างนี้แหละ)

                        นอกจากนี้ก็จะมีอาคารหอประชุมที่อยู่ตรงกันข้ามกับพิพิธภัณฑ์  ซึ่งภายในก็จะเหมือนโรงหนังโดย  เขาจะจัดฉายวีดีทัศน์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่  2  และสถานที่และสิ่งของสำคัญของที่นี่  ใครที่สนใจจะต้องไปขอบัตรคิว  เพราะจะมีการฉายเป็นรอบๆ โดยจำกัดคนดูในแต่ละรอบ  การขอบัตรคิวก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายนะ(เจอของฟรีซะที)   วีดีทัศน์ก็ไม่ยาวมากนักซัก  20  นาทีเท่านั้นเอง  ถ้าไม่รีบก็แนะนำให้ชมเสียหน่อยก็ดีจะได้เป็นความรู้เอาไว้

                         แต่ถ้าไม่สนใจก็จะมีเรือรบของจริง  ขนาดเท่าสนามฟุตบอลสองสนามจอดให้ชม  และยังมีซากเรือเก่าที่ถูกจมในเหตุการณ์ครั้งนั้น  ซึ่งตอนนี้นอนนิ่งกลายเป็นสุสานใต้ทะเลมานับครึ่งศตวรรษแล้ว  โดยการชมซากเรือจะมีเจ้าหน้าที่นำชม  เขาก็จะพาเราขึ้นเรือคล้ายเรือข้ามฟากบ้านเราแต่มีที่นั่งมากกว่า  เพื่อพาเราไปยังกลางทะเลบริเวณสถานที่จริง  โดยเหนือซากเรือก็จะมีสิ่งก่อสร้างคล้ายโดมหัวตัดและมีแผ่นป้ายผู้เสียชีวิตจารึกเอาไว้ให้รำลึกถึง  เมื่อมองลงไปก็จะเห็นเรือขนาดใหญ่หลายลำที่ได้รับความเสียหาย  ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในสภาพที่ไม่เต็มลำถูกตะไคร่เขียวจับเกือบทั้งลำ  มองดูก็น่ากลัวจนขนลุกเหมือนกัน

                      การชมซากเรือเขาจะพาชมแค่  10  นาทีเท่านั้นแล้วก็จะพาเรากลับที่เดิม  ระหว่างนั่งเรือกลับก็สังเกตเรือรบของจริงที่ดูใกล้ๆ ยิ่งรู้สึกถึงความอลังการมากกว่าที่ดูจากระยะไกลเสียอีก  ซึ่งหากสนใจก็มีบริการพาชมเช่นกัน  โดยผู้นำเที่ยวนั้นจะมีแบบที่เป็นกัปตันเรือพาชมถึงหอบังคับการเลยก็มี  หรือจะเดินเที่ยวด้วยตัวเองก็ได้  แล้วก็จะยังมีเรือรบขนาดเล็กหรือเรือประจัญบานให้ชมด้วยเหมือนกัน  ใครที่เคยไปเที่ยวฐานทัพเรือสัตหีบแล้วก็จะคงเคยเห็นการจัดชมแบบนี้  เวลาที่มีเรือรบจักรีนฤเบศเทียบท่าคู่กับเรือลาดตะเวณหรือเรือประจัญบานจะไม่ต่างกันเลย  ใครมีเวลาว่างจริงๆ ไปดูที่ชลบุรีก็ได้ใกล้ดี  ความรู้สึกก็เหมือนๆ กัน

                      ที่เที่ยวต่อไปซึ่งจะขอแนะนำก็คือ  Sea  Life  Park  ถ้าใครได้ดูหนังเรื่อง  50  First  date  ก็คงพอจะได้เห็นมาบ้าง(ไอ้เรามันดูหนังบ่อย  ไปไหนก็นึกถึงแต่ฉากในหนัง)  ซึ่งการจะมาเที่ยวชมที่นี่ต้องรอโอกาสที่จะมาจากในเมือง  ซึ่งเครื่องออกเร็วหน่อยเพราะเขาจะมีการแสดงหลายอย่างให้ชม  โดยจะเริ่มประมาณ  9-10  นาฬิกา ไปจนถึงเที่ยง  พอบ่ายก็จะแสดงเหมือนเดิมอีกรอบ  แต่ที่แนะนำตอนเช้าก็เพราะว่าถ้าไปตอนบ่ายมันจะร้อนมากจนไม่สนุก  เพราะฉะนั้นขอให้ใจเย็นอย่ารีบไปไม่งั้นจะทรมานตัวเองเปล่าๆ
       
                       การเดินทางก็ไม่ถึงกับลำบาก  มีรถประจำทางพาไปถึงเลยแต่ใช้เวลาเดินทางถึง  1 ชั่วโมง  เนื่องจากสวนสัตว์น้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ติดทะเลน้ำลึก  ทำให้ต้องใช้เวลาเดินทางพอสมควร  ที่สำคัญอากาศที่นี่แตกต่างกันอย่างรุนแรง  เดี๋ยวฝนตก  เดี๋ยวแดดแรง  ไหนจะลมที่เย็นยะเยือก  เล่นเอาจับไข้กันได้ง่ายๆ เลย  ดังนั้นใครจะไปเที่ยวขอให้เตรียมพวก  ร่ม  หมวกและแจ็คเก็ตให้พร้อม  นอกจากนั้นต้องดูแลสุขภาพตัวเองหน่อย  ไม่อย่างนั้นอาจจะป่วยกลับมาได้

     
     

    จากคุณ : Jack o'lanturn - [ 22 มิ.ย. 51 07:52:16 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom