Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ***Attention Please ท่านผู้โดย(อ่าน)สารโปรดทราบ***บทที่ 11 ถอดปีกนางฟ้า (อวสาน)***

    บทที่  11  ถอดปีกนางฟ้า


                    หลังจากทำงานไปได้เพียงหนึ่งปี  วันที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะมาถึงเร็วเช่นนี้ก็ได้มาเคาะประตู  และบอกกับเราว่าเวลาแห่งความฝันของเราจบลงแล้ว  
     
                    “สั้นเหลือเกิน…”  เป็นคำสั้นๆ ที่ตอกย้ำในทุกห้วงสำนึกของความรู้สึกเวลานั้น  แต่แล้วเหตุผลต่างๆ ที่ประดังเข้ามา  ก็กดดันให้เราจำใจต้องยื่นใบลาออกจากการเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินของบริษัท แจลเวยส์ จำกัด  และต้องยอมรับความจริงว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เรียกตำแหน่งนี้อย่างเต็มตัว

                       อย่างที่ได้เคยบอกไปแล้วว่าอาชีพนี้จัดเป็นอาชีพที่มีอันตรายพอสมควร  เมื่อคิดจะเข้ามาทำก็ต้องทำใจและต้องคอยระวังตัวดูแลสุขภาพเสมอ  เพราะหากเราพลาดพลั้งเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อชีวิต  ที่สามารถก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันได้

                        จุดกำเนิดของเรื่องร้ายๆ กับงานแอร์ของเรานั้น  ที่จริงแล้วมันเริ่มต้นตั้งแต่เรายังไม่เป็แอร์เต็มตัวด้วยซ้ำ  ทุกวันนี้เรายังคงจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้เสมอ  มันเป็นฤดูร้อนในญี่ปุ่นที่เราไปเทรน  Emergency  เป็นช่วงการฝึกสไลด์ตัวลงจากเครื่อง  ซึ่งครูฝึกจะให้เรากระโดดทิ้งตัวลงบนแพยางที่เชื่อมต่อระหว่างตัวเครื่องและพื้นดินที่มีไว้ใช้ในกรณีลงจอดฉุกเฉิน

                      ฟังดูแล้วเพื่อนๆ อาจจะคิดว่ามันก็ไม่มีอะไรที่น่าจะเป็นอันตราย  จนส่งผลให้อาชีพในฝันนี้จบลงอย่างรวดเร็วใช่ไหม  เราเองก็คิดเช่นนั้น  จนกระทั่งวินาทีแรกที่หลังและสะโพกกระแทกกับแพยางอย่างจังพร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบที่ส่งสัญญาณอันตรายขึ้นมา  เมื่อเรามาถึงพื้นก็รู้สึกเจ็บที่บริเวณหลังคล้ายกับปวดเมื่อเล่นกีฬาใหม่ๆ หลังจากไม่ได้ออกกำลังกายมาเป็นเวลานาน

                       ในความคิดตอนนั้นก็กังวลแต่เพียงว่าหากบอกพี่แอร์แล้วเขาให้เราไปพบหมอ  เกิดหมอลงความเห็นว่าทำงานไม่ได้  ความพยายาม 3 เดือนที่ทนฝึกอย่างหน้าดำคร่ำเครียดจะไร้ประโยชน์  นั่นจึงทำให้ตัดสินใจที่จะเก็บเรื่องอาการบาดเจ็บไว้เพียงคนเดียว  และไม่เคยบอกใครเลยจนผ่านไปกว่าสี่เดือน  

                       แม้จะมีอาการเจ็บบริเวณหลังต่อจากนั้นอีก 2-3 วัน  แต่ก็คิดเพียงว่าหลังคงจะยอกเล็กน้อยโดยไม่ทันเอะใจ  เลยยังคงปล่อยให้มันเป็นต่อไป  จนกระทั่งอาการเจ็บหายไปพร้อมๆ กับเวลาที่กลับมาถึงกรุงเทพ  ในที่สุดเราก็ลืมอุบัติเหตุครั้งนั้นด้วยความไม่ใส่ใจ  และสุดท้ายเราก็ลืมแม้แต่จะเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง

                      การบินในช่วงแรกๆ แม้จะเป็นไปโดยราบรื่นแต่ก็มีอาการบ่งเตือนเล็กน้อยเกี่ยวกับหลัง  ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เด่นชัดพอที่จะสนใจ  แต่ว่าการทำงานกับสายการบินแจลเวยส์ซึ่งมีข้อเสียประการหนึ่ง  คือไม่มีสจ๊วตผู้ชายในเที่ยวบิน  ส่งผลให้บรรดาแอร์ต้องรับหน้าที่การยกของหนักในเครื่องด้วยตนเอง  ทั้งที่ควรจะเป็นงานของผู้ชาย  ยกตัวอย่างเช่น  ลังเบียร์ขนาด 2 โหล  หรือลังไวน์ขวดเล็กขนาดบรรจุเท่ากัน  ที่ทุกเที่ยวบินจำเป็นต้องยกขึ้นไปเก็บในคาร์ดเก็บของ  ทำให้ต้องก้มขึ้นลงบ่อยมาก
    เพียงเท่านี้ก็น่าจะพอสำหรับการตอกย้ำอาการบาดเจ็บที่ซ่อนลึกอยู่ในกล้ามเนื้อหลังของเราแล้ว  แต่นอกจากนี้ความเบาบางของบรรยากาศในเครื่อง  และการที่ต้องสวมรองเท้าส้นสูงยืนเดินเป็นเวลานาน  ยิ่งเน้นย้ำบาดแผลที่ซ่อนลึกนี้ให้ขยายผลมากขึ้นตามเวลาแห่งโชคที่เราใช้ไปอย่างสิ้นเปลือง  จนกระทั่งในที่สุดราวเดือนธันวาคมหลังจากบินไปได้เพียง 3 หรือ 4 เดือน เราก็เริ่มรับรู้ถึงความผิดปกติของร่างกาย  ที่พยายามร่ำร้องบอกให้รู้ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในหลืบเงาแห่งการไล่ตามความฝัน  
     
                      หลังบินกลับมาจากการทำงานใน  pattern  หนึ่ง  เราก็เริ่มรู้สึกถึงอาการบาดเจ็บที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน  และเริ่มยอมรับความจริงที่ว่ามันร้ายแรงกว่าที่คาดไว้  ทันทีที่กลับมาถึงกรุงเทพเราก็รีบไปปรึกษากับนักกายภาพบำบัด  ด้วยหวังว่าการทำเช่นนี้จะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น  แต่ก็ยังตัดสินใจที่จะบินต่อไปโดยไม่หยุดพัก  และก็ยอมทนแบกรับความเจ็บปวดที่ทวีคูณเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ออกบิน

                      และทุกครั้งที่กลับมาอยู่ที่กรุงเทพ  เราจะใช้เวลาเท่าที่มีให้นักกายภาพบำบัดทำการรักษา   โดยหากเรามีเวลาพักสัก 1 สัปดาห์เราจะใช้เวลา 3 วันในการพบกับนักกายภาพบำบัด  ซึ่งทุกครั้งจะกินเวลาไม่น้อยกว่าสองชั่วโมงเพื่อเยียวยา  ก็ยอมรับว่าทุกครั้งที่ทำการรักษาเช่นนี้ก็นับว่าได้ผล  ความเจ็บปวดดูจะทุเลาลงไปได้มาก  เราจึงยังเลือกการบำบัดเช่นนี้ต่อไปโดยไม่ยอมไปปรึกษาแพทย์อย่างจริงจัง  ด้วยกลัวว่าจะถูกบังคับให้หยุดบินและเข้ารับการรักษาตัวอย่างต่อเนื่อง

                       จนกระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่เหมือนกับว่าอาการบาดเจ็บมันเริ่มถึงจุดขีดสุดคล้ายกับลาวาร้อนพร้อมจะพวยพุ่งออกจากยอดเขา  และตอกย้ำให้เรารับรู้ว่าร่างกายเริ่มร่ำร้องเตือนถึงการใช้งานเกินกำลังของตัวเอง  จนสุดท้ายเราเองก็เจ็บจนเกินกว่าจะทนทำงานได้และต้องโทรไปลาป่วยและหยุดบินใน  pattern  ที่  2  ของเดือน  (เรื่องที่ขำเล็ก ๆ ก็คือเราต้องบินในวันวาเลนไทน์พอดี  เมื่อโทรไปลาพี่เขาก็ไม่ค่อยเชื่อ  ประมาณว่านี่อยากอยู่ฉลองกับแฟนแน่ๆ)

                      ซึ่งการหยุดบินหนึ่ง  pattern นั้นก็ดูจะส่งผลดี  เพราะมันทำให้เราได้พักอย่างต่อเนื่องถึง  21  วัน  โดยที่ไม่ต้องแบกลังเครื่องดื่มหนักๆ  ไม่ต้องเข็นรถอาหารที่สูงท่วมหัว  ไม่ต้องเดินไปมาบนเครื่องบินด้วยรองเท้าส้นสูง  และไม่ต้องเครียดกับงานที่รออยู่ข้างหน้า  อาการของเราจึงทำท่าจะฟื้นตัวไปในทางที่ดีอย่างเห็นได้ชัด  ซึ่งอาจรวมกับการรักษาและผลของการไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสตามคำแนะนำของนักกายภาพบำบัดที่ให้เสริมกำลังให้กับกล้ามเนื้อหลัง

                       ดังนั้นเมื่อเริ่มต้นในเดือนมีนาคมเราจึงยังคงทำหน้าที่ต่อไปตามปกติ  แต่เราก็ต้องกลับมาด้วยความผิดหวัง  เมื่อต้องพบกับ pattern  ที่ยากลำบากด้วยอาการบาดเจ็บที่กลับมารุมเร้าทันทีที่ต้องพบกับงานหนัก  เราเริ่มมีอาการกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น  ซึ่งต่อมาได้รู้ในภายหลังว่ายิ่งเป็นการตอกย้ำให้อาการทรุดหนักเร็วขึ้น  เนื่องจากเมื่อเรากังวลหรือเครียด  ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนหรือสารบางชนิดออกมาตามกล้ามเนื้อ  ซึ่งจะทำให้เรายิ่งเกิดอาการปวดหนักขึ้น

                      แต่ก็ยังพยายามคิดในแง่ดีว่าน่าจะรักษาได้  พร้อมกับยังไปพบนักกายภาพบำบัดทันทีและเพิ่มจำนวนวันมากขึ้น  เพราะต้นเดือนเมษายนจะต้องเช็คร่างกายตามเงื่อนไขของบริษัท  ที่จำต้องดำเนินการทุกๆ 6 เดือน ซึ่งเป็นข้อบังคับการบินสากลด้วย  และเราก็เกรงว่าอาการปวดหลังนี้จะถูกตรวจพบและเป็นอุปสรรรคในการทำงานจนบริษัทอาจยกเลิกสัญญากับเรา

                       แม้จะยังมีอาการปวดรุนแรงแต่เราก็ตัดสินใจที่จะบินต่อใน pattern  หลังของเดือน  เพราะเป็นการบินช่วงสั้นๆ ที่คิดเอาเองว่าน่าจะพอไหว  แต่เอาเข้าจริงๆ  กลับเจ็บปวดอย่างทรมาน  และนั่นเป็นครั้งแรกที่เริ่มคิดถึงจุดสิ้นสุดบนสายอาชีพนี้  ที่แม้เราจะรู้สึกว่าเร็วเกินไปแต่ก็เริ่มเผื่อใจเอาไว้  ไม่ว่าจะเป็นการถูกตรวจพบโดยแพทย์ของบริษัท  หรือกระทั่งการยอมแพ้ของเราเองเมื่อความเจ็บปวดรุกรานซ้ำแล้วซ้ำอีก

                     แม้จะเจ็บอยู่เกือบตลอดเวลาแต่การตรวจร่างกายก็ผ่านไปโดยดี  จนเราคิดว่าร่างกายบอบช้ำนี้คงจะทนไหว  เพราะหากเป็นอะไรร้ายแรงทางโรงพยาบาลของบริษัทน่าจะตรวจพบ  เพราะการตรวจครั้งนี้ก็ละเอียดพอๆ กับตอนรับสมัคร  
     
                        “เช่นนั้นมันก็ไม่น่าจะมีอะไรให้กังวล”  นี่คือคำปลอบใจตัวเองก่อนการบินเที่ยวสุดท้าย

                        การบินเที่ยวสุดท้ายของเราเริ่มต้นโดยไม่รู้ตัวเพราะคิดว่าอาการปวดน่าจะรักษาให้หายได้  และเราคงจะทนได้เองในที่สุด  ต่อไปน่าจะดีขึ้นไปเอง  จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะคิดถึงเรื่องการหยุดบินหรือลาออก     การจบอาชีพของตนเองในขณะนั้นไม่เหลืออยู่ในห้วงแห่งความคิดอีกแล้ว  คงเหลือเพียงแต่การเตรียมตัวบินกรุ๊ปในต้นเดือนเมษายน

     
     

    จากคุณ : Jack o'lanturn - [ 23 มิ.ย. 51 09:39:09 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom