กระทู้ข้างล่างลืมโพสท่อนกลางเรื่องไป แล้วแก้ไขข้อความก็ไม่ได้อะค่ะ ไม่รู้ทำไม แจ้งพันทิปไปเค้าก็ไม่ยอมลบให้ แงแง
เพื่อนๆ ที่มีอมยิ้มปากกว้าง ช่วยกดไฟแดงให้หน่อยนะคะ นะนะ อ้อนๆ
งอนพันทิปแล้วด้วย งือ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คุณเคยคิดอยากจะกลับไปแก้ไขอดีตไหมครับ..
อย่างน้อย ในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเรา ก็น่าจะมีสักครั้ง..ที่เราเสียใจกับสิ่งที่ผ่านไป และอยากจะแก้ไขให้มันดีขึ้น ถ้าหากว่าทำได้ หากปัญหาก็คือไม่มีใครทำได้น่ะสิ..
มิติของเวลายังคงเป็นมิติลี้ลับที่จับต้องไม่ได้ แม้ว่าจะสัมผัสได้โดยความรู้สึก แต่เราก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงมัน อย่างที่เราสามารถทำกับอีกสามมิติที่เหลือได้..
แล้วถ้าเกิดมีคนทำได้ขึ้นมาล่ะ..
++++++++++++++++++++++++++
ผมหยิบแผ่นซอฟท์แวร์หน้าตาประหลาดนั้นขึ้นมาพลิกดูเป็นการฆ่าเวลา แทนการนั่งจับเจ่าอยู่เฉยๆ ในรถร่วมปรับอากาศ ท่ามกลางการจราจรที่เกือบจะเป็นจราจลของเย็นวันศุกร์ บนถนนสายธุรกิจของกรุงเทพมหานคร
มันเป็นกล่องแบนๆ สีดำสนิท ขนาดพอๆ กับกล่องดีวีดีทั่วไป นอกจากตัวอักษรภาษาอังกฤษสีแดงสดที่เขียนว่า U-Time แล้วก็ไม่มีรายละเอียดอื่นใดอีก
ผมซื้อมันมาจากแหล่งรวมซอฟท์แวร์เถื่อนที่ผมชอบแวะไปดูอะไรๆ เล่นเป็นประจำ ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อมาเล่นอะไรจริงจังหรอกครับ เพียงแต่เจ้าของร้านวัยรุ่นที่คุ้นเคยกับผมดี เซ้าซี้โฆษณาชวนเชื่ออยู่นานจนผมต้องยอมควักเงินสามร้อยบาทให้ไปจนได้
"โปรแกรมใหม่ล่าสุดเลยนะพี่ปิง ผมลองแล้ว เห็นอดีตชัดแจ๋วเลย เทพมาก"
"มันแผ่นก็อปนี่ จะมีปัญหาอะไรรึเปล่า เดี๋ยวนี้ใช้แผ่นก็อปแล้วเจออะไรแปลกๆ เรื่อย" ผมยังอิดออด ใจจริงก็ไม่ได้เชื่อน้ำยาคำพูดของเจ้านี่เท่าไหร่ เพราะเคยเห็นมันพูดคร่อกๆ จนลิงตกต้นไม้ อรรถาธิบายสรรพคุณสินค้าในร้านมันมาจนชิน แล้วก็พอจะสรุปได้ว่า ต้องเอาห้าร้อยหารเสียก่อน
"โอ๊ย ไม่มี้" มันร้องเสียงหลง "ใช้ได้เหมือนจริงพี่ ไวรงไวรัสอะไรไม่มี ผมลองมากับมือ อันนี้เหมือนจริงมากพี่.."
เจ้าตัวอธิบายอย่างคล่องปาก ผมฟังทันบ้างไม่ทันบ้าง หากก็พอจับใจความได้ว่าเป็นโปรแกรมภาพเสมือนย้อนอดีต โดยคอมพิวเตอร์จะผ่านกระแสไฟฟ้าเขาไปในสมองของผู้ใช้ แล้วกระตุ้นเฉพาะส่วนความทรงจำ ณ เวลาที่ระบุไว้ จนเกิดภาพเสมือนในสมอง คล้ายกับการเปิดเทปบันทึกภาพเหตุการณ์ตอนนั้นให้เราได้เห็นอีกครั้ง
ก็แค่เห็นน่ะครับ แก้ไขอะไรไม่ได้ แต่มันก็กำลังเป็นที่นิยมเงียบๆ อยู่ในหมู่ผู้โหยหาอดีต
ผมยิ้มเยาะตัวเอง นี่ผมก็เป็นหนึ่งใน "ผู้โหยหาอดีต" เหมือนกันละซี
แต่ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน ผมนึกอย่างครึ้มอกครึ้มใจ อย่างน้อยเวลาเหงาจนอยากจะพูดกับผนังกำแพง ก็ยังมีอดีตดีๆ ให้มองเห็น แม้จะจับต้องไม่ได้ก็ตาม
ก็คิดเสียว่าเป็นหนังเรื่องหนึ่ง ที่เราจะเลือกดูเฉพาะตอนที่ตัวเองชอบซ้ำไปซ้ำมาซักกี่รอบก็ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่าแผ่นมันจะสึกเสียก่อน
อ้อ และไม่ต้องกลัวหรอกครับว่าใช้ซอฟท์แวร์เถื่อนแล้วจะมีปัญหากับตำรวจ โธ่.. ก็ร้านที่ผมซื้อน่ะ ตำรวจก็เป็นลูกค้าประจำเหมือนกัน..
สายยูเอสบีที่มีปลายด้านหนึ่งเป็นเส้นโลหะสีเงินบางเบา จนผมคิดว่ามันคงมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่าเส้นผมไม่เท่าไหร่ ถูกม้วนขดไว้เรียบร้อยในกล่องสีดำ ผมหยิบเอาแผ่นดิสก์ออกมา ใส่มันเข้าในคอมพิวเตอร์อย่างไม่รอช้า
ครู่เดียว บนหน้าก็จอปรากฏรูปผีเสื้อสีน้ำเงินจุดเหลืองสดใส ปีกบางขยับราวกับจะโบยบินออกมา เพียงไม่กี่ที ก็มีข้อความแนะนำวิธีการใช้คร่าวๆ ที่ผมทำตามได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ส่วนปลายของเส้นโลหะสีเงินนั้นเป็นแผ่นผ้ารูปกลมขนาดจิ๋ว ผมแปะมันเข้ากับขมับทั้งสอง ตามคำแนะนำในจอมอนิเตอร์ อันจะทำให้กระแสไฟฟ้าผ่านเข้าสู่ส่วนที่ใช้เก็บความทรงจำได้ดีที่สุด ก่อนจะกดปิดสัญญาณจากเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ซึ่งอาจก่อคลื่นรบกวนการทำงานของกระแสไฟฟ้าในสมองได้
พร้อมแล้ว.. ผมเติมวันเวลาที่ต้องการลงในช่องกรอกข้อมูลของโปรแกรม ก่อนจะกดเอนเทอร์
คล้ายกับแสงสว่างรอบตัวผมจะวูบดับไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะค่อยๆ สว่างขึ้นอีกครั้ง ผมไม่ได้นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานริมหน้าต่างอีกแล้ว หากวิ่งพลางกระโดดโลดเต้นอยู่กลางสนามหญ้ารกๆ ของบ้านพักข้าราชการในชนทบท บ้านที่ผมเกิดและเติบโตขึ้นมา
ระดับความสูงของสายตาที่ผมมองเห็นก็เปลี่ยนไป จนผมงงงวยไปวูบหนึ่ง ก่อนจะนึกออกในนาทีถัดมา
ก็ผมเพิ่งจะหกขวบเอง สายตาของเด็กหกขวบจะมองเห็นสูงเท่าชายหนุ่มอายุสามสิบได้ยังไงกันเล่า..
วันนี้เป็นวันเกิดผม ผมอายุหกขวบแล้ว และกำลังจะเข้าเรียนในชั้นประถมในอีกไม่นาน พ่อกับแม่จึงซื้อรถจักรยานแบบสองล้อให้ เมื่อเห็นว่าผมโตพอจะขี่มันไปโรงเรียนเองได้แล้ว
จากสายตาผม ผมมองเห็นรอยยิ้มแจ่มใสของพ่อแม่ ในท่ามกลางบรรยากาศสดใส เปี่ยมสุข อย่างที่ผมก็เพิ่งรู้ว่าผมลืมมันไปนานเหลือเกิน แววตาแสนรัก แสนเอื้อเอ็นดูอย่างที่แม่ใช้มองผมนั้น ผมไม่ได้เห็นมันมานานแค่ไหนแล้วนะ..
หรือเป็นเพราะผมไม่สนใจจะมองเองก็ไม่รู้..
ผมดื่มด่ำอยู่กับอดีต จนหมดเวลาที่สามารถตั้งได้สูงสุด คือสามชั่วโมง แสงรอบตัวผมมืดลงอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะพบว่าตัวเองฟุบหน้าอยู่กับคอมพิวเตอร์ ปวดหัวรุมๆ รู้สึกได้ถึงละไอความร้อนที่ซึมผ่านเส้นผมออกมา
ผมโผเผไปนอนลงกับเตียง ในหัวยังกรุ่นด้วยแสง สี เสียง และสัมผัสจากความทรงจำ ผมยังรู้สึกว่ามีรสหวานแหลมของขนมเค้กราคาถูกที่แม่ซื้อมาให้ผม ติดอยู่ที่ปลายลิ้นเสียด้วยซ้ำ
ไม่นึกเลยว่าโปรแกรมนี้จะสร้างความสมจริงได้เพียงนี้ อาจเป็นเพราะเป็นภาพที่ผมเห็นนั้น ผมสามารถมองผ่านสายตาตัวเอง คล้ายกับมีใครเอากล้องอีกตัวไปติดตั้งไว้ในดวงตาของผมในอดีต และส่งสัญญาณภาพกลับมาให้ผมในปัจจุบันได้รับรู้ด้วย พร้อมทั้งความรู้สึกจากประสาทสัมผัสอื่นๆ
คืนนั้นผมนอนหลับฝันดี ฝันถึงพ่อแม่ที่ผมไม่ได้กลับไปเยี่ยมมานานเหลือเกิน ก็พนักงานออฟฟิศที่ต้องตอกบัตรตามเวลาอย่างผม จะมีเวลาว่างมากแค่ไหนกันเล่า หยุดเสาร์อาทิตย์ก็น้อยเกินไปที่จะถ่อสังขารขึ้นรถทัวร์ไปถึงเมืองกันดารอย่างนั้นเสียด้วยสิ
แต่เอาเถอะ เอาไว้ให้ถึงวันหยุดประจำปีคราวหน้า ผมจะกลับไป จะเอาเจ้าโปรแกรมนี่ไปให้พ่อกับแม่ลองด้วย จะได้เห็นผมในวัยเด็กด้วยกันอีกสักครั้ง
ผมลอง "ย้อนอดีต" อีกหลายครั้ง ล้วนแต่เป็นเหตุการณ์ที่ผมจำวันเวลาได้แม่นยำ หรือไม่ก็มีหลักฐานอยู่ในไดอารี่หรืออะไรสักอย่างหนึ่ง ที่พอจะบอกได้ว่าเป็นวันที่เท่าไหร่ ปีไหน นี่เป็นข้อจำกัดของโปรแกรม ที่เราจะต้องระบุเวลาให้แน่นอน ตัวโปรแกรมมันไม่สามารถเข้าไปซอกซอนหาความทรงจำที่สะเปะสะปะในสมองเราได้เสียด้วย
ผมเห็นตัวเองในวันแข่งขันฟุตบอลนักเรียนของจังหวัด ทีมโรงเรียนผมชนะเลิศ และผมก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับเหรียญสีทองสุกสว่างนั้นมาคล้องคอ
ผมเห็นตัวเองเดินหอบดอกกุหลาบสีชมพูช่อโต เอาไปดักให้สาวน้อยที่ผมหลงรัก ที่หน้าประตูโรงเรียน ในยามเช้าของวันวาเลนไทน์ ปีที่ผมอยู่ชั้นมัธยมสี่
ผมเห็นตัวเองกระโดดตัวลอยอยู่หน้าบอร์ดประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย
ผมเห็นตัวเองเอื้อมมือที่ชื้นด้วยเหงื่อ และสั่นเพราะความตื่นเต้น ไปจับมือนุ่มนิ่มของใครอีกคนหนึ่ง ในแสงสลัวของโรงภาพยนตร์ ที่เราไปดูด้วยกันเป็นครั้งแรก กับเดทแรกในชีวิตรักของผมกับเธอ
และสุดท้าย ผมเห็นตัวเองยืนนิ่งอยู่หน้าประตูผู้โดยสารขาออก แสงไฟภายในอาคารสนามบินสว่างไสว จนผมมองเห็นร่างบางที่ก้าวเร็วๆ หายไปในทางเดินนั้น สุดปัญญาที่ผมจะไล่ตามไปได้ทัน
วันสุดท้ายที่ผมได้เห็นเธอ วันสุดท้ายที่จนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่มีโอกาสได้บอกเธอเสียที ว่าเธอมีค่ากับผมเพียงใด..
ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เอ่ยคำลาเธอด้วยซ้ำ..
ผมนอนไม่หลับต่อมาอีกหลายวัน ในหัวมีแต่ภาพจากความทรงจำเดิมๆ ที่วนเวียนซ้ำซาก แทบจะเรียกได้ว่าเพียงหลับตาลง ผมก็มองเห็นดวงหน้าขาว ใส ประดับด้วยรอยยิ้มแจ่มกระจ่าง หากก็มีอะไรบางอย่างในดวงตาที่เศร้าเสียเหลือเกิน..
บอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า ที่ผมนอนไม่หลับ เป็นเพราะไม่ปราถนาจะให้ดวงหน้านี้เลือนหายไปจากมโนสำนึก หรือเพราะไม่อยากจะฝันถึงดวงหน้านี้กันแน่..
เหมือนที่ตอบตัวเองไม่เคยได้เสียทีว่า ผมควรจะดีใจหรือเสียใจ กับเส้นทางชีวิตของเธอที่ก้าวขึ้นสู่ที่สูงอย่างไม่หยุดนิ่ง สามีชาวอเมริกันเจ้าของธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ กับฐานะที่ควรจะเรียกว่ามหาเศรษฐีมากกว่าเศรษฐีธรรมดา ลูกชายหญิงน่ารักอีกสองคน และการตั้งรกรากอยู่ในอีกซีกโลก โดยไม่คิดจะกลับมาบ้านเกิดเมืองนอนอีก
ถ้าเพียงแต่วันนั้น.. ผมรั้งเธอไว้ได้ คนที่เดินเคียงข้างเธอ เป็นพ่อของลูกสองคนของเธอในวันนี้ ก็คงจะเป็นผม ไม่ใช่ตาแก่อายุคราวน้า ที่ทางญาติๆ เธอแนะนำให้เพราะกลัวเธอจะอกหักจากผมเสียจนไม่เป็นอันตั้งต้นชีวิตใหม่
ใช่แล้ว.. ถ้าเพียงแต่วันนั้น..
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ.. ผมพิมพ์ตัวเลขวันเวลาลงไปบนจอคอมพิวเตอร์อย่างช้าๆ
ความทรงจำสุดท้ายที่ผมจำมันได้แม่นยำ
วันที่เธอมาบอกลา..
ผมพบตัวเองนั่งกระสับกระส่ายอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัยที่เราสองคนเพิ่งจบออกมา ภายใต้หลังคาแคบๆ ของที่พักผู้โดยสาร เบื้องบนปกคลุมด้วยกิ่งร่มครึ้มของหางนกยูง ที่ในยามนี้ออกดอกระดะ เป็นสีแสดจัด ดกจนแทบไม่เห็นใบ จนท้องฟ้าเหนือศีรษะผมเป็นสีสดราวกับเปลวเพลิง
บนปลายกิ่งที่ค้อมลงเกือบติดดิน ผมมองเห็นผีเสื้อสีน้ำเงินจุดเหลืองสดใส เกาะสงบนิ่ง หุบปีกบางสีสวยของมันไว้ ดูตัดกับสีแสดของหางนกยูงอย่างแปลกตา
สายลมร้อนปลายเดือนเมษายนพัดเอากลีบดอกที่ร่วงหล่นอยู่กับพื้นให้ปลิวคว้างขึ้น พร้อมกับร่างของใครคนหนึ่งที่ก้าวช้าๆ เข้ามาหาผม ในมือจับจูงเด็กชายวัยสี่ขวบ ที่หน้าตามีเค้าคนจูงอย่างเห็นได้ชัด
ร่างนั้นนั่งลงข้างตัวผม ปล่อยให้เด็กชายผละไปก้มๆ เงยๆ อยู่กับกลีบสีแสดที่กระจายทั่วพื้นราวกับพรม
"นึกว่านิชจะมาคนเดียว" ผมทักเอื่อยๆ ตามองเด็กชายผู้นั้นอย่างไม่ยินดียินร้ายอะไรนัก
"ไม่มีคนเลี้ยงหลาน" เธอตอบโดยไม่มองหน้า "เฮียเค้าไปจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน"
ผมถอนใจ ไม่ได้แปลกใจอะไรนัก ในเมื่อเรื่องราวอันน่าเศร้าใจของครอบครัวเธอ อยู่ในความรับรู้ของผมมาโดยตลอด
พี่สาวและพี่เขยของเธอ ซึ่งเป็นพ่อแม่ของเด็กชายผู้นี้ ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต และโชคร้ายที่บังเอิญผู้เป็นแม่ของเธอก็อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย จึงกลายเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อทั้งเจ้าตัวน้อยตรงหน้า และตัวเราสองคนอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อมารดาผู้เป็นประมุขของบ้าน ลูกสาวและลูกเขยถึงแก่กรรม พี่ชายคนโตของนิชจึงตกลงเข้ามาเป็นธุระในการดูแลเจ้าหนูคนนี้ โดยเห็นเป็นโอกาสอันดีในการจะไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่สะดวกสบายกว่าเดิม ด้วยเงินประกันชีวิตของผู้ตายทั้งสาม ที่ตกเป็นของเด็กชายและเธอคนละเป็นจำนวนมาก
ในเมื่อเขาคิดจะย้ายครอบครัวไปทำธุรกิจในอเมริกา เพราะมีลู่ทางอยู่แล้ว ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเธอที่จะย้ายตามพี่ชายและพี่สะใภ้ไป เพื่อทำหน้าที่ดูแลหลานชาย และเรียนต่อในสถาบันดีๆ เท่าที่เงินและสติปัญญาจะอำนวย
ผมจึงเถียงไม่ออกเมื่อเธอบอกเหตุผล ในเมื่อเส้นทางที่เธออยากจะก้าวเดินไป มันเป็นเส้นทางที่ถูกที่ควรเสียด้วย เธอจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว ในวันที่จิตใจยังอ่อนแอเพราะความสูญเสีย และจะได้พบกับโอกาสดีๆ ที่ถ้าอยู่ในเมืองไทย เธอก็คงไม่ได้เจอ
นิชขอร้องให้ผมไปด้วย..
(มีต่อค่ะ)
จากคุณ :
โยษิตา
- [
5 ก.ค. 51 08:48:07
]