Attention Please / major accident / A+E / (name of the Hospital)
รหัสสัญญาณเรียกจากหน่วยอุบัติเหตุฉุกเฉิน ที่ดังติดต่อกันหลายๆครั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคน หยุดชะงักจากการทำงานโดยอัตตโนมัติ
" Sorry , Jannita ,Do you mind going there to help"
ซิสเตอร์ แมรี่ ถามฉัน เนื่องจากเป็นกฏของโรงพยาบาลว่า เมื่อใดก็ตามที่มีอุบัติเหตุหมู่ ทุกตึกจะต้องส่งเจ้าหน้าที่อย่างน้อยหนึ่งคนไปช่วยที่ A+E ( Accident and Emergency)ไม่ว่าคนไข้ในตึกจะมากน้อยเพียงใดก็ตาม
" Yes, sure "
ฉันตอบพร้อมกับวางมือจากหัตถการ Short synacthen test ( การทดสอบการทำงานของฮอร์โมน) ที่กำลังทำอยู่กับคนไข้ผู้หญิงรายหนึ่ง หลังจากที่ได้ยินคำถามเชิงคำสั่งจาก หัวหน้าตึกที่ทำงานอยู่
ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องฉุกเฉินซึ่งอยู่ทางด้านหน้าของโรงพยาบาล อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมต้องเป็นฉันด้วยทั้งๆที่มีพยาบาลที่มีประสบการณ์มากกว่าฉันอีกหลายคนในตึก
เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ของเด็กนักเรียนอนุบาลอายุประมาณสามถึงสี่ปี ดังระงมไปทั่วห้องฉุกเฉิน บ้างก็ร้องเรียกหาพ่อและแม่ อยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะมีครูประจำชั้นที่ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกัน คอยปลอบโยนอยู่ใกล้ๆ ก็ตาม
ภาพความเจ็บปวด และความตื่นตระหนก หวาดกลัวของเด็กเหล่านั้น เป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก แก่ผู้คนที่พบเห็น
ฉันและพยาบาลคนอื่นๆร่วมยี่สิบคน พยายามช่วยกันคัดแยกประเภทของผู้ป่วยเด็ก ออกเป็นกลุ่มๆตามที่ได้รับการฝึกฝนกันมาอย่างรีบเร่ง เนื่องจากมีเด็กจำนวนไม่น้อย ที่จำเป็นจะต้องรับการการผ่าตัดด่วน
และโชคดีที่ฉันเคยทำงานเป็นพยาบาล เฉพาะทางเด็กมาก่อน เมื่อครั้งที่อยู่เมืองไทย ทำให้สามารถนำความรู้เดิมมาใช้ประโยชน์ ได้มากในสถานการณ์เช่นนี้
จากการพูดคุยถามเรื่องราว ระหว่างการทำงาน ทำให้ทราบว่ามีเด็กจำนวนกว่าสี่สิบคน พร้อมทั้งครูผู้ดูแลจำนวนหนึ่ง โดยสารมากับรถทัศนศึกษาที่พลิกคว่ำ
ในเขตรับผิดชอบของโรงพยาบาล โชคดีที่ขณะนี้ ยังไม่พบว่ามีผู้ใดเสียชีวิต หากแต่ยังมี เด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังติดอยู่ใต้ท้องรถ โดยที่หน่วยกู้ชีพกำลังพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่
เวลาผ่านไปประมาณเจ็ดชั่วโมง เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายเริ่มที่จะเคลียร์สถานการณ์ได้ ทุกคนทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อย เด็กที่ได้รับบาดเจ็บหลายคน ถูกส่งต่อไปยังตึกต่างๆ เพื่อบรรเทาความหนาแน่นในห้องฉุกเฉิน เนื่องจากผู้ปกครองและญาติ
ต่างทะยอย เข้ามาเยี่ยมบุตรหลานของตนไม่ได้ขาด หลังจากทราบข่าว อุบัติเหตุอันน่าสะเทือนใจในครั้งนี้
ความโกลาหลชุลมุนวุ่นวายตลอดเวลา ทำให้ฉันลืมความหิวโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งพยาบาลรุ่นพี่คนหนึ่งบอกฉันว่า
" Are you ok ? , would you like to have a break "
ฉันรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่สุด ขาทั้งสองข้างแทบจะเดินต่อไม่ไหว เพราะนับตั้งแต่วินาทีแรกที่มาถึงห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ทุกคนรวมทั้งฉัน วิ่งวุ่นอยู่ตลอด ไม่ได้หยุดพักแม้แต่นิดเดียว
ฉันหยิบแซนด์วิชที่เตรียมไว้สำหรับอาหารมื้อเที่ยง ซึ่ง ผ่านไปแล้วกว่าสี่ชั่วโมงมารับประทานอย่างฝืดๆ เนื่องจากเวลาที่คนเรารู้สึกเหนื่อย และหิวมากมักจะกลืนอะไรไม่ค่อยลง
ภาพตัวอักษรวิ่งจากสกรีนประชาสัมพันธ์ที่ติดตั้งอยู่หลายๆจุดในโรงพยาบาล แจ้งข่าวและรายชื่อของเด็กนักเรียน รวมทั้งผู้ที่ได้รับบาดเจ็บคนอื่นๆอยู่ตลอดเวลา ฉันกวาดสายตา ไปตามรายชื่อคนไข้แต่ละคน เผื่อว่าจะมีใครที่ฉันพอจะรู้จักบ้าง เนื่องจากโรงเรียนดังกล่าว ก็อยู่ไม่ห่างจากบ้านของฉันมากนัก หากแต่สายตาของฉันก็ไปสะดุดกับข้อความที่ว่า
" Urgently, Blood group O negative wanted "
ฉันพอจะได้ยินข่าวแว่วๆ เรื่องเลือดหมดสต็อค ก่อนที่ฉันจะเข้ามาเบรค เนื่องจากมีเด็กหลายรายต้องการเลือดด่วนหลังจากการผ่าตัดรวมทั้งคนไข้รายอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับอุบัติเหตุในครั้งนี้ ยังมีความจำเป็นต้องให้เลือดมากเป็นประจำทุกวัน
ทางธนาคารเลือดได้ทำการแก้ไขปัญหาด่วน โดยการติดต่อขอเลือดมาจากโรงพยาบาลอื่นๆ มาเตรียมไว้ทันทีที่ทราบข่าวเรื่องอุบัติเหตุ
ฉันนึกในใจ แม้ว่าฉันจะมีเลือด Group O Negative ตามที่ทางโรงพยาบาลประกาศขอรับบริจาคก็จริง หากแต่สภาพที่ไม่ต่างจากวิญญาณพยาบาลเดินได้ของฉันในขณะนี้ คงไม่มีปัญญาเอาชีวิตรอดกลับมาแน่ๆ หากฉันดันทุรังไปให้เลือดอีก หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันขนาดนี้
หลังจากที่เบรคได้ หนึ่งชั่วโมงฉันเตรียมตัวกลับไปทำงานต่อ เนื่องจากยังมีเด็กอีกหลายคนที่รอเย็บแผลและเข้าเฝือก
" Would you mind help me with this splint "
Dr. Robinson หมอ ออโธปิดิกส์ คนหนึ่งที่ฉันเดินสวนบ่อยๆในโรงพยาบาล ขอให้ฉันช่วยเตรียมใส่เฝือก เมื่อเห็นฉันเดินเข้ามาผลัดเวรกับพยาบาลอีกคน ที่กำลังเข้าเคสอยู่
เด็กผู้หญิง หน้าตาน่ารักรายนี้ ร้องไห้จนตาทั้งสองข้างบวมเป่ง ด้วยความเจ็บปวด หลังจากข้อเท้าข้างขวาแตก แม้ว่าอาการของเธอจะไม่สาหัสมาก เมื่อเทียบกับเด็กรายอื่นๆ หากแต่สำหรับเด็กอายุแค่สามขวบกว่าๆแล้ว แค่แผลถลอกเพียงเล็กน้อย ก็ถือว่ามากเกินไป
ฉันสังเกตเห็นว่าสีหน้าของ Dr. Robinson ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยเกินไปก็ได้ เนื่องจากหมอกระดูกมีจำนวนน้อย ทำให้หาคนมาผลัด
เปลี่ยนยาก ฉันช่วยเขาในการเย็บแผล และใส่เฝือกเด็กคนอื่นๆ ที่ได้รับบาดเจ็บอีกสี่ราย โดยที่ไม่ได้พูดคุยอะไรมากมายนัก นอกจากเวลาที่จำเป็นจริงๆ
" Are You ok ? Did you have any break yet "
ฉันอดที่จะถามไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียง Dr. Robinson ถอนหายใจติดต่อกันหลายๆครั้ง แถมบางครั้งยังหยิบอุปกรณ์ ผิดๆถูกๆอีกด้วย
" Not yet but that's not important , I 'm just worried about my daughter "
คำตอบของ Dr. Robinson ทำให้ฉันเข้าใจเริ่มเข้าใจมากขึ้น Alisa ลูกสาววัย สี่ขวบครึ่งของเขา เป็นหนึ่งในเด็กเหล่านั้น ที่ได้รับอุบัติเหตุในวันนี้ แต่ที่ทำให้ฉันรู้สึกเห็นใจ และสงสาร Dr. Robinson มากคือ
Alisa ได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่รู้สึกตัว ตับและม้ามแตก รวมทั้งขาหักทั้งสองข้าง ขณะนี้กำลังรอคิวผ่าตัดอยู่ในห้องผ่าตัดใหญ่ เนื่องจาก Alisa เป็นเด็กรายหลังๆ ที่ถูกช่วยเหลือออกมาได้ จากใต้ท้องรถ
และสิ่งที่ทำให้ฉันช็อคมากที่สุดคือ Dr. Robinson คือคนขอประกาศรับบริจาคเลือด Group O Negative ซึ่งเป็นกรุ๊ปเลือดที่หายากที่สุด เพราะคนยุโรปส่วนใหญ่ก็มี Rh Possitive และทาง Blood Bank ก็ได้ใช้เลือดกรุ๊ปนี้ไปหมดแล้วก่อนหน้านี้
Alisa กำลังรอเลือดที่สั่งมาจากธนาคารเลือด ที่อยู่ห่างออกไป ราวหกสิบไมค์ และทางทีมแพทย์ไม่สามารถจะเริ่มทำการผ่าตัดใดๆแก่เธอได้ โดยปราศจากการ
เตรียมพร้อมของเลือดเสียก่อน
ฉันรู้สึกเห็นใจ Dr. Robinson อย่างที่สุด และอดที่จะชื่นชมไม่ได้ว่า แม้ในเวลาที่ลูกสาวกำลังบาดเจ็บสาหัสอาการเป็นตาย เท่ากันนั้น เขาก็ยังไม่ละทิ้งหน้าที่ของความเป็นหมอ ยังอุตส่าห์มาช่วยเหลือชีวิตเด็กคนอื่นๆ อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เช้า
" I have blood group O negative ....I will help your daughter "
ฉันบอก Dr. Robinson พร้อมทั้งรู้สึกเสียใจ ที่ฉันไม่คิดจะบริจาคเลือดตั้งแต่แรกที่รู้ว่า มีใครบางคนนอนรอเลือดกรุ๊ปนี้อยู่
" Oh...Do you really??? ........I will call somebody to bleed you now "
Dr. Robinson กล่าวขอบคุณฉันเสียยืดยาว พร้อมทั้งกุลีกุจอติดต่อเจ้าหน้าที่ ห้องเลือดให้รับทราบ
ฉันพยายามลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากที่ได้ยินเสียง ซิสเตอร์ แมรี่ พูดอยู่ใกล้ๆกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งว่า
" Does she think she is a Robot or maybe she thought somebody will give her a medal "
หัวหน้าของฉันพูดล้อเลียนแกมประชด ที่ฉันไม่เจียมสังขารตัวเอง หรืออาจจะอยากได้โล่ห์เกียรติยศ หลังจากที่ลากขา ทำงานมากว่าเก้าชั่วโมงเต็มๆ เหมือนหุ่นยนต์ในห้องฉุกเฉิน แล้วยังมาบริจาคเลือดอีกเกือบสามถุง (800 cc) ผลตอบแทน ที่ได้รับก็คือ เป็นลมหมดสติไปก่อน ที่เลือดจะเต็มถุงสุดท้าย ตามที่เซ็นต์ยินยอมไว้
ฉันทราบข่าวในวันต่อมาว่า Alisa ได้รับการผ่าตัดทันที ที่การตรวจเช็คเลือดเสร็จสิ้น และเลือดของเธอกับฉันก็เข้ากันได้ดี
Alisa ต้องให้เลือดทั้งหมดเก้าถุง และโชคดีที่ทางโรงพยาบาล หาเลือดจากที่อื่นมาทันเวลา หลังจากที่ได้รับเลือด สามถุงแรกจากฉันไปแล้ว ฉันแวะไปเยี่ยมเธอที่ห้อง ไอ ซี ยู หลังจากผ่าตัดได้ หนึ่งวัน แต่ก็ไม่สามารถพูดคุยอะไรกับเธอ เนื่องจากเธอยังไม่รู้สึกตัว และยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ ฉันพูดกับพ่อของเธอว่า
" I hope she will get a quick recovery soon"
หลังจากเหตุการณ์ อุบัติเหตุหมู่ในวันนั้น เป็นช่วงเวลาที่ฉันลาพักร้อน 2 อาทิตย์พอดี จึงทำให้ฉันไม่ทราบข่าวคราวคืบหน้า อะไรมากนัก และรู้สึกผ่อนคลาย หลังที่ได้ พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานมาตลอด เจ็ดเดือนเต็มๆ
หากแต่ฉัน ก็ต้องรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก เมื่อได้รับการ์ดขอบคุณ ของโรงพยาบาลทางไปรษณีย์ ในวันหนึ่งฉันเปิดการ์ดอ่านช้าๆ หลายๆรอบ ในขณะที่น้ำตาของฉัน ไหลลงมา โดยไม่รู้ตัว หลังจากที่อ่านข้อความที่เขียนไว้ว่า
Dear Ms. ......
I would like to thank you one more time for your blood donation .Your help is most greatful.
I am sure that my daughter, Alisa, has acknowledged your kindness and everyone else for the
big effort to keep her survival, sadly, she is now in heaven.
.............................................................................................................
............................................................................................................
Best regards,
Jonathan Robinson
ฉันตัดสินใจ ไปร่วมงานเผาศพของ Alisa ตามรายละเอียดที่ Dr. Robinson แจ้งไว้ ในตอนท้ายแม้ว่าจะไม่ได้รู้จักสนิทสนม กับเขาเป็นการส่วนตัวก็ตาม เจ้าหน้าที่หลายคน รวมทั้งฉันที่ไปร่วมในงานวันนั้น ต่างตกอยู่ในภาวะที่เศร้าโศกเสียใจ และ พากันร้องไห้ หลังจากที่นั่งฟัง คำไว้อาลัยของผู้เป็นพ่อที่มีต่อลูกสาว ที่รักยิ่งปานดวงใจ
น้ำเสียงที่สั่นเครือของเขา โดยเฉพาะเวลา ที่กล่าวขอโทษ ภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วด้วยโรคประจำตัวก่อนหน้านี้ ที่ไม่สามารถดูแลลูกสาว ให้ปลอดภัยได้ ตามคำมั่นสัญญาดังที่ให้ไว้
ฉันรู้สึกแย่มาก เมื่อ Dr. Robinson เข้ามาเอ่ยขอบคุณ ที่ฉันเป็น เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งที่ช่วยบริจาคเลือด ให้ลูกสาวของเขา ในวันเกิดเหตุ แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยยื้อชีวิตของ Alisa ไว้ได้ก็ตาม
เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ฉันคิดมาก และนอนไม่หลับอยู่หลายคืน เป็นความผิดของใครนะ ที่ทำให้ Alisa มาด่วนจากไป
โชคชะตา..? คนขับรถที่ไม่ระมัดระวัง..? โรงพยาบาลที่ขาดเลือด..?.. หรือฉันเองที่ผิด ..? ที่บางครั้งมัวห่วงแต่ชีวิต ของตัวเองจนเกินไป จนลืมนึกถึงชีวิตของคนอื่น ที่ไม่มีแม้แต่โอกาส ที่จะร้องขอต่อลมหายใจ ที่เหลือเพียงน้อยนิด...?
ฉันเฝ้าครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่า หากฉันตัดสินใจบริจาคเลือด ตั้งแต่วินาทีแรกที่ทราบข่าว เด็กหญิงตัวน้อยคงจะมีโอกาส รอดชีวิต จากการผ่าตัดที่รวดเร็วขึ้น และ Dr.Jonathan Robinson ผู้ร่วมสหวิชาชีพกับฉัน คงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพ
ที่หัวใจแตกสลาย หลังจากที่สูญเสีย แก้วตาดวงใจของเขาไป
......................................... โดย เทียนสี 
ขอชี้แจงนิดหนึ่งนะคะ
เขียนเรื่องนี้ก่อนหน้าที่ คุณรวยระรินกลิ่นชา จะประกาศขอรับบริจาคเลือดให้คุณพ่อบุญธรรมค่ะ
ตั้งใจว่าจะเอามาลงตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว พอดีติดภาระกิจเลยไม่ได้เช็คคำผิดค่ะ
ตอนแรกไม่แน่ใจว่า จะเหมาะสมหรือไม่ ที่จะเอามาลงในช่วงนี้ เพราะเนื้อหาอาจทำให้คนอ่านไม่สบายใจได้
แต่ก็ตัดสินใจว่า อย่างน้อยในเรื่องนี้ ก็มีข้อคิดบางอย่างซึ่งเกิดจากการตัดสินใจที่ผิดพลาดของตัวเอง
หากท่านใดอ่านแล้วคิดว่าไม่เหมาะสมก็แจ้ง/ติติงได้นะคะ
ยินดีที่จะแก้ไข/แจ้งลบค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ปล. แก้ไขเรื่องการจัดหน้าค่ะ ตอนพิมพ์ใส่ โปรแกรมเวิร์ด ก็ดีอยู่ค่ะ
พอเอามาแปะ กลายเป็นคนละเรื่องไปเลยค่ะ ใครมีวิธีแก้ไข รบกวนช่วยแนะนำด้วยนะคะ
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 51 06:07:09
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 51 05:31:48
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 51 05:25:10
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 51 04:57:21
แก้ไขเมื่อ 07 ก.ค. 51 04:51:32
จากคุณ :
teansri
- [
7 ก.ค. 51 04:45:16
]