Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เทียนพรรษาของแม่

      แม่จ๋าแม่รู้ไหม           ในใจลูกนั้นเจ็บนัก
    ด้วยเหตุที่แม่รัก              น้ำหนักห่วงมิเท่ากัน

         แม่จ๋าลูกชักท้อ          ที่เฝ้ารอทุกคืนวัน
    หวังรอว่าวันนั้น               แม่จะหันมองกลับมา

         แม่จ๋าลูกเติมให้           ตามแต่ใจของมารดา
    เงินทองความห่วงหา          แต่เหมือนว่าแม่ไม่พอ

         ดุจน้ำลงผืนทราย         มลายซึมหายลงบ่อ
    ลูกนั้นน้ำตาคลอ              เหนื่อยและท้อสุดกายใจ



    เรื่องสั้น   เทียนพรรษาของแม่

    ตอนเช้าอากาศแจ่มใส  ศิลาสะพายกระเป๋าเตรียมออกจากบ้านไปทำงานในตัวเมืองเช่นทุกวัน และได้สวนกับมารดาที่ประตูเหล็กหน้าบ้าน

        “อ้าว แม่ออกไปไหนแต่เช้าน่ะ” ชายหนุ่มถามอารมณ์ดี  
        “ไปตักบาตรมา”
        “ทำบุญ แล้วไหนทำหน้าอย่างนี้ล่ะฮะ” แปลกใจที่แม่สีหน้าเศร้าสร้อย
        “เมื่อวานตอนที่หินยังไม่กลับ เพชรมันอาละวาดแม่ มันหาว่าแม่ไปทำลายชีวิตมัน จับมันย้ายโรงเรียนทำให้ไม่ได้อยู่กับแฟน แฟนมันไปมีคนใหม่เลยทิ้งมัน”  

         อารมณ์ดีในตอนเช้าแทบหายไปในทันที เมื่อแม่พูดถึงน้องชายคนเล็กแสนเอาเรื่อง  น้องคนสุดท้องที่ถูกแม่ตามใจและเอาใจจนชิน  พอไม่ได้อะไรหรือขัดใจตรงไหนก็อาละวาดบางทีถึงขั้นทำลายข้าวของในบ้าน   สมัยเด็ก ๆ ของเด็กชายเพชรไม่ได้ของเล่นชิ้นไหนก็จะลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้นจะเอาให้ได้  และแม่ก็ประเคนให้เรื่อยมาจนโตผิดกับพี่ ๆ ที่ไม่เคยถูกพ่อแม่ตามใจเลย

         ชายหนุ่มนึกถึงธาราหรือ ‘น้ำ’ พี่สาวที่แต่งงานและย้ายตามสามีไปอยู่ต่างจังหวัดเคยบอกไว้

         ‘เพชรมันโชคดีกว่าคนอื่น เกิดมาตอนบ้านเราฐานะดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องลำบากอดอยากเหมือนพวกเราสมัยก่อน ที่เช้ามืดต้องช่วยพ่อแม่ขายของ กลางวันเรียน เย็นยังต้องกลับมาทำงานต่ออีก’

         “เฮ้อ มันโตแล้ว แม่ก็ปล่อย ๆ มันไปบ้าง ยึดมากก็ทุกข์มาก”
         “แม่ปล่อยไม่ได้ น้องแกนะหิน! ”
         ชายหนุ่มเกาหัวแกรก ไม่รู้จะพูดยังไงก็กระชับกระเป๋าสะพายก้าวออกจากบ้านเตรียมไปทำงาน  

        “เดี๋ยวหินวันเสาร์นี้ว่างไหม คุณยายเขาชวนทำบุญถวายเทียนที่วัดแถวเพชรบุรึเขาจะเอาเราไปด้วย ไปช่วยขับรถและหิ้วของ หินไปได้ไหม”

        “ได้สิฮะ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แล้วแม่ไม่ไปหรือ”
        “ไม่ไปหรอก แม่กับยายแกพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง”
        “ไปเหอะ:-)านบุญ ๆ"  ชายหนุ่มตื้ออยากให้ไปด้วย แต่หญิงวัยห้าสิบส่ายหน้า
        “วันนั้นแม่ไม่ว่าง”

        คำพูดสั้นๆ แค่นั้น นายหินก็รู้ดีว่าป่วยการชวน ชายหนุ่มเลยออกจากบ้าน แต่ยังไม่ทันก้าว  เสียงรำพึงก็แว่วมากระทบโสตประสาท

       “เดือนนี้พ่อแกยังให้เงินแม่ไม่ครบเลย ข้าวของตอนนี้ก็แพง จะซื้อของไปร่วมทำบุญเข้าพรรษาก็ว่ายาก ซื้อหาอะไรก็ลำบาก”

       ศิลาเดินกลับมาหามารดาอีกครั้ง
       “แล้วที่ให้ตอนต้นเดือนมันหมดแล้วหรือแม่” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
       “แกไม่ต้องมาใส่ใจแม่หรอก ไปทำงานไป” มารดาไล่
       (แล้วที่พูดมาเมื่อกี้มันอะไรฟะ>>>ลูกชายคิด)

       ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าตังค์หยิบแบงค์สีเทาสองใบ ใส่มือมารดา
       “แม่ไม่เอาเงินเอ็งหรอกหิน เก็บไว้ใช้เองเถอะ” ผู้เป็นแม่ดันมือลูกชายกลับไป
       [แต่นายศิลาสังเกตเห็นว่ามารดากำแบงค์ในมือไว้แน่นขณะคืนเงิน (= =) ]

       “เอาไปเหอะแม่ ไปซื้อของทำบุญหรือไปซื้ออะไรกินก็ได้นะแม่”
       “หิน”
       “เอาไปน่า”
       “งั้นแม่จะเอาเงินนี้ไปซื้อของทำบุญนะลูก”
       “ดีแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวก่อนไปทำงาน

        ปกติแม่จะไม่ค่อยมายุ่ง หรือพูดคุยกับเขาเท่าไหร่นัก แม่จะยุ่งกับลูกชายคนเล็กและคุยกับพี่สาวที่อยู่ต่างจังหวัดมากกว่า เวลามาพูดคุยกับเขาทีก็มักจะบ่นเรื่องพ่อ และเรื่องไม่น่ารื่นรมย์ของคนอื่น  บางทีเขาอยากบอกแม่ว่า ‘ไม่อยากฟัง’ แต่ก็พูดไม่ได้ ก็ได้แต่จำใจเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไป



    เช้าวันเสาร์ที่นัดกันทำบุญกับคุณยาย

        ชายหนุ่มใส่เสื้อโปโลสีขาว  หิ้วของทำบุญต่างๆ เช่น ถังสังฆทาน จตุปัจจัย ผ้าไตร และปิ่นโตไปใส่ท้ายรถ  ก่อนจะสะดุดตากับกล่องยาวใบหนึ่งที่แม่ส่งให้

        “อะไรเนี่ย”
        “เทียนพรรษา เทศกาลนี้เขาทำบุญถวายเทียนกัน ถือไปใส่ท้ายรถดีๆ ”
        “อ้อ ..”
        “ถวายเทียนพระท่านว่าบุญดีกุศลแรง ถึงแม้ตัวจะไม่ได้ไป แต่แม่อธิษฐานไปกับเทียนแล้วว่า บุญที่ได้จะตกกับลูกที่แม่รัก…”

        “โอ้ ซึ้งใจดีแท้ แม่ใครเนี่ย”
         ชายหนุ่มขบขัน แล้วนายศิลาก็ขับรถไปรับคุณยายที่บ้านแถวสุขุมวิท ก่อนออกเดินทางไปวัดที่เพชรบุรี  


         วัดที่ไปทำบุญนั้นเป็นวัดบนเขาซึ่งมีความเป็นชนบทอยู่มาก  ความเป็นอยู่ของวัดในเมืองกับวัดบนป่าเขานั้นช่างแตกต่าง  ภาพชาวบ้านที่พากันจูงลูกหลานไปวัดรวมถึงปู่ย่าตายายที่พากันมาทำบุญในวันพระ  นั่งฟังพระเทศน์ในศาลาโล่งๆ ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นของต้นไม้และสายลมเย็น ช่างให้ความรู้สึกที่ดีและสงบอย่างบอกไม่ถูก มันช่างแตกต่างกับสังคมอันวุ่นวายและแก่งแย่งในเมืองหลวงอย่างชนิดเทียบไม่ติดฝุ่นเลยทีเดียว

         การที่เขาพาคุณยายมาทำบุญเป็นจุดสนใจไม่น้อย  ตั้งแต่เขาจอดรถหอบปัจจัยทำบุญลงมาที่พื้น ก็มีขึ้นเสียงกระซิบและสายตาที่มองมา แถมยกมือชี้นิ้วมาที่เขาอย่างไม่เกรงใจ


      “ดูสิ ไอหนุ่มมาไกลจากเมืองกรุงล่ะนั่น”
     (ในใจศิลา>>เออ.. ตรูมาจากกรุงเทพ  ดูป้ายทะเบียนรถมาล่ะสิ)

        คุณยายวัยเจ็ดสิบ(แข็งแรงอย่างอัศจรรย์) เดินไปกราบพระผู้ใหญ่ ก่อนเรียกหลานชายให้หิ้วของมาถวาย  ปิ่นโตกับข้าว  ของแห้ง จตุปัจจัยต่าง ๆ ผ้าไตร ถูกถวายไป และชิ้นสุดท้าย...เทียนพรรษา...

         ..เทียนพรรษาที่แม่ฝากมาทอดตัวนอนอยู่ในกล่อง  คุณยายเรียกให้หลานแกะกล่องออกและนำตัวเทียนที่นอนคู่กันขึ้นมา..

            ชายหนุ่มยิ้ม..คำพูดของมารดายังแว่วอยู่ในความทรงจำ..  

            ‘..ถวายเทียนพระท่านว่าบุญดีกุศลแรง ถึงแม้ตัวจะไม่ได้ไป แต่แม่อธิษฐานไปกับเทียนแล้วว่า บุญที่ได้จะตกกับลูกที่แม่รัก…’

             หากเมื่อเปิดกล่องขึ้นมา รอยยิ้มบนหน้าชายหนุ่มกลับเจื่อนลง..

             บนเทียนคู่ใหญ่นั้น  เล่มหนึ่งสลักชื่อ เพชร ผู้เป็นน้องชาย อีกเล่มสลักชื่อ ธารา ผู้เป็นพี่สาว
                     
            ‘ ถึงแม้ตัวจะไม่ได้ไป แต่แม่อธิษฐานไปกับเทียนแล้วว่า บุญที่ได้จะตกกับลูกที่แม่รัก…’

              เขา..ไม่ได้เป็นลูกที่แม่รักหรือ?...

    ในตอนนี้เองเขาได้สังเกตว่า ข้าวของและเงินใส่ซองทำบุญนั้น..ลงชื่อแค่แม่และน้องชาย..


           คุณยายเหมือนจะเดาเหตุการณ์ออก เลยบอกให้หลานชายนำเทียนไปถวายพระท่าน ก่อนออกมานั่งฟังธรรมด้วยกัน  หากจิตใจตอนนี้ของศิลาไม่ปรกติเสียแล้ว  มันมีทั้งความเสียใจและผิดหวังอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว..
    จิตที่ไม่สงบทำให้ใบหน้าที่แจ่มใส  หม่นหมองลง

        “หิน เคืองแม่เขาหรือลูก” คุณยายถามขณะพนมมือฟังพระสวด
        “เปล่าฮะ”
        “โกหกในวัดมันบาปนะลูก”
        “เสียใจนิดหน่อยฮะ”   คุณยายยิ้มน้อยๆ กับคำกล่าวต่อมาของหลานชาย

        “ ถึงแม้ตัวจะไม่ได้ไป แต่แม่อธิษฐานไปกับเทียนแล้วว่า บุญที่ได้จะตกกับลูกที่แม่รัก…เหอๆ ผมไม่ได้เป็นลูกแม่หรือไง เทียนจึงมีแต่ชื่อพี่กับน้อง”


         “อย่าเสียใจเลยลูก.. บนเทียนนั้นคือลูกที่แม่เขายังมีห่วง.. พี่สาวเราไปอยู่ไกลต่างถิ่นแม่เขาย่อมห่วงเป็นธรรมดา   น้องชายเราก็ไม่ค่อยทำบุญนัก แม่เขาทำให้เช่นนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน”


        “ทำไมแม่เขาไม่นึกถึงผมบ้าง แม่เค้าจะคุยกับผมก็ต่อเมื่อเดือดร้อนเรื่องเงิน กับเอาเรื่องไม่ดีต่างๆ ของใครต่อใครมาระบาย แต่กับเพชรแล้ว แม่เค้าเลี้ยงอย่างกับเป็นเทวดา อยากกินอยากได้อะไรก็ประเคนให้  ทั้งๆ ที่มันโตแล้วแม่ยังตามเก็บรองเท้า ซักถุงเท้าให้อยู่เลย …ผมจะว่า จะตักเตือนน้องบ้าง  ยังไม่ทันจะอ้าปาก แม่เขาก็กางปีกปกป้องซะแล้ว  ”  


         “หิน ลูกยอมรับกฎแห่งกรรมไหม.. ถ้ายอมรับก็รู้ไว้เถอะว่า ทุกคนอยู่ใต้กรรม.. ลูกบางคนเกิดมาทวงหนี้พ่อแม่..บางคนเกิดมาใช้หนี้พ่อแม่  ใครเป็นลูกแบบไหนมันชัดเจนอยู่แล้วนะหิน”

        “ยาย..”

        “สิ่งที่สำคัญที่หลานต้องยึดถือคือความกตัญญู คุณธรรมนี้จะนำความเจริญและสิ่งดีๆ มาสู่ชีวิตหลาน หลานยังมองอะไรที่เป็นด้านรูปธรรม มองอะไรที่จับต้องได้อย่างเทียนและข้าวของที่มาทำบุญ.... หากลองมองอีกด้านที่เป็นนามธรรมแล้ว หลานจะพบความจริงอันคาดไม่ถึงเลยทีเดียว”

           ใบหน้าอิ่มบุญผ่องใสของคุณยายมองมาที่หลานชายอย่างเมตตา

        “แม่เราเขาบอกใช่ไหม ..ถึงแม้ตัวไม่ได้ไป แต่อธิษฐานมากับเทียนแล้วว่า..บุญที่ได้จะตกกับลูกที่แม่รัก… แล้วหินล่ะ..หลานมากับเทียนด้วยหรือเปล่า  ใครเล่าเป็นคนนำเทียนไปถวายที่วัดแห่งนี้ ก็เรานี่แหล่ะที่ได้บุญหนักกว่าใคร รู้ตัวไหม”

           ศิลาอึ้ง  เมื่อมองเห็นอีกด้านของความคิดที่นึกไม่ถึงมาก่อน คุณยายกล่าวต่อเสียงอ่อนโยน


          “คนเรามักมองสิ่งที่เห็นและจับต้องได้ แล้วยึดว่านั่นมันสำคัญ  นั่นมันของเรา  ซึ่งความจริงแล้วในโลกนี้ยังมีสิ่งที่จับต้องไม่ได้อีกมากมายที่เป็นสิ่งดีๆ ทำให้จิตใจเราเป็นสุข มันขึ้นกับว่าเราจะมองและเปิดใจรับมันไหม”

          “ในฐานะที่ยายก็เป็นแม่ ยายบอกได้เลยว่าแม่รักลูกทุกคน..แต่ว่าคนไหนที่ห่วงมาก คนไหนที่ห่วงน้อย.. การที่เขาห่วงเราน้อยก็จงภูมิใจเถิดหิน  เพราะเราไม่ได้สร้างบาปให้เขาทุกข์ใจ .. ”

    ชายหนุ่มยิ้มก่อนหันไปกราบหญิงชราผู้เปิดทางสว่าง.. .. คำสอนที่เปิดอีกด้านของความคิด  ไม่ได้ยึดติดที่วัตถุสิ่งของ..หากมองคุณค่าทางจิตใจ

        บัดนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่า ทุกอย่างมันขึ้นกับการมองของตัวเราเอง..จิตที่เคยขัดเคืองเสียใจ  บัดนี้ได้กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง...

        เขารู้แล้วว่า..เขาเลือกที่จะมองชีวิตอย่างไร..

        หลังจากกรวดน้ำ แล้วเอาน้ำในขันไปทิ้งใต้ต้นไม้ใหญ่  ดอกหญ้าเล็ก ๆ พลิ้วไหวเอนไปตามน้ำที่รดลงมา   นั่นเองทำให้เขารู้ว่าการเลือกที่จะมองเป็นเช่นไร
    เพราะเวลานี้ในสายตา ดอกหญ้าเล็ก ๆ พวกนี้ก็สวยงามไม่แพ้ดอกเล็บมือนางที่พาดไปบนต้นไม้ใหญ่…


       หลังจากส่งคุณยายกลับจากวัด ศิลาก็ขับรถกลับบ้าน ของหวานและขนมหม้อแกงที่ซื้อฝากพ่อแม่และน้อง ยังคงนิ่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ  
     
        ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น  
        “ครับ...กำลังกลับ”
        “มีของฝากเยอะเลย มีหม้อแกงเม็ดบัวที่แม่ชอบด้วยนะ”
        “พรุ่งนี้ไปไม่ได้ มีประชุมอ่ะครับ”
        “รักแม่นะครับ”


         ‘ติ๊ด’ (เสียงกดปุ่มวางสาย)  
         ในนาทีนั้นเอง  

         “ เอี้ยดด โครมม!!!!!!!!”

    “เฮ้ยยย  กรี้ดด!”  เสียงผู้คนหวีดร้องบนถนนกับสภาพสุนัขตัวน้อยที่รอดจากการถูกรถทับ..แต่รถยุโรปกลับเสยต้นไม้ใหญ่ยับ.. และรถคันหลังที่ตามมาเบรกไม่ทันได้พุ่งไปอัดท้าย...

                             
                                                            " THE  END "

    แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 51 17:19:40

    แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 51 15:36:16

    แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 51 15:32:08

    แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 51 15:26:57

    แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 51 15:24:48

    จากคุณ : NMR - [ 17 ก.ค. 51 15:17:02 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom