23 กรกฎาคม
ดึกแล้ว ถนนสายเล็กที่ทอดผ่านสถานีรถไฟเกือบจะร้างผู้คน มีเพียงชายขี้เมาสองสามคนเดินโซซัดโซเซ บ้างก็ส่งเสียงอ้อแอ้ทะเลาะอยู่กับคนขับแท็กซี่ ที่ลานกว้างหน้าสถานีมีเด็กวัยรุ่นที่เห็นได้ชัดว่าใจแตก จับกลุ่มกันส่งเสียงดังอย่างไม่แคร์สายตาใคร
ผมละสายตาจากภาพนั้น เมื่อเห็นว่ามันไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือน่าสนใจที่ตรงไหน มันก็เหมือนอีกหลายๆ คืนในฤดูร้อน ที่หน้าสถานีเล็กๆ ในย่านที่อยู่อาศัย แถบชานเมืองของกรุงโตเกียว
การ์ตูนลามกในมือถูกวางลงบนชั้น หลังจากผมพลิกอ่านมันผ่านๆ หากไม่มีสมาธิเสียจนไม่รู้จะอ่านต่อไปทำไม ผมเปลี่ยนมากวาดสายตามองรอบตัว ในร้านสะดวกซื้อที่เย็นฉ่ำเพราะเครื่องปรับอากาศ ทั้งที่อุณหภูมิภายนอกสูงเกือบสามสิบองศาเซลเซียส
ภายในร้านยังคงคึกคัก มนุษย์เงินเดือนทั้งวัยหนุ่มวัยแก่หลายคน ยังคงยืนอ่านหนังสือลามกอย่างเอาเป็นเอาตายวัยรุ่นสองสามคนกวาดเบียร์และดอกไม้ไฟจากชั้นวางไปจนเกือบหมด ผู้หญิงร่างอ้วน หน้าตามู่ทู่ เดินงกๆ เงิ่นๆ ในมือถือตะกร้าอันเต็มไปด้วยขนมหวาน ท่าทางเป็นพวกฮิคิโคโมริ หรือพวกกลัวสังคม เก็บตัวอยู่ในบ้าน พวกนี้หากไม่มีพ่อแม่คอยส่งข้าวส่งน้ำ ก็จะออกมาหาของกินเฉพาะตอนกลางคืน
อุณหภูมิในฤดูร้อนของกรุงโตเกียวแทบไม่ลดลงแม้จะเข้าสู่ยามดึก แถมความชื้นในอากาศที่สูงเหมือนฝนกำลังจะตกนั้นก็ยิ่งทำให้อากาศอบอ้าว จนแทบจะไม่มีใครทนอุดอู้อยู่ในห้องได้ ถ้าหากว่าไม่มีแอร์
ผมก็เช่นกัน ห้องเช่าที่ผมอยู่เป็นเพียงห้องไม้เก่าๆ ไม่มีห้องอาบน้ำด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เครื่องปรับอากาศเลย ในเมื่อผมยังไม่มีงานทำเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่งานเสิร์ฟอาหารในร้านเหล้าแถวนี้ ที่ค่าจ้างก็แทบจะไม่พอยาไส้ แม้จะทำอาทิตย์ละหกวัน เพราะผมมีรายจ่ายมากมาย ในการตามหาความฝันของตัวเอง
ความฝัน? อืม.. มันก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรอย่างนั้นหรอก ผมพูดให้เท่ไปอย่างนั้นแหละ ความจริงก็คือผมลาออกจากบริษัทไอทีขนาดใหญ่ที่เพิ่งเข้าทำงานได้เพียงปีเดียว เพราะสุดจะทนกับความกดดันและเคร่งเครียดเพราะคนรอบข้างได้อีกต่อไป ทั้งที่เสียดายเวลาและความพยายาม กว่าผมจะมาถึงจุดนี้ เป็นผู้ชนะในสังคมได้ คุณคิดว่ามันง่ายอยู่หรือ กว่าจะสอบเข้าโรงเรียนประถมดีๆ โรงเรียนมัธยมดีๆ มหาวิทยาลัยดีๆ เข้าทำงานในบริษัทดีๆ คุณคิดว่าผมเสียเวลาและเงินทอง รวมทั้งเซลล์สมองในการเรียนกวดวิชาไปเป็นจำนวนมหาศาลแค่ไหน
ยังไม่นับความฝันอีกมากมายที่ผมทิ้งไประหว่างทาง เพราะมัวแต่มองไปที่ปลายทาง จนไม่อยากจะแบกความฝันที่ดูเหมือนจะไร้สาระเอาไว้อีก
มันเป็นวังวนประหลาดของมนุษย์ในประเทศที่ผมเกิดและโตขึ้นมา วังวนอันประกอบด้วยการเรียน การแข่งขัน ชัยชนะและความพ่ายแพ้ ซ้ำซากไปมาอยู่อย่างนั้น น่าแปลกที่แม้ว่าในใจทุกคนอยากจะหนีไปให้พ้น แต่ก็ยังพยายามเต็มที่ที่จะทำมันต่อไป เพื่อสิ่งที่ทุกคนเรียกว่า ความสำเร็จ
หน้าตามันเป็นยังไงกันนะ ไอ้ความสำเร็จนี่ ผมว่าผมก็จำมันได้รางๆ ตอนที่ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาลอันได้ชื่อว่าเข้ายากเข้าเย็นได้นั่นแหละมั้ง แล้วผมก็ไม่ได้เห็นมันอีกเลย..
ช่างมันเถอะ ยังไงผมก็หลุดออกมาจากวังวนบ้าๆ นั่นแล้ว ไม่อยากกลับไปนึกถึงเรื่องไร้สาระพวกนั้นอีกต่อไป
ตอนนี้ผมมีความสุขกับความฝันของผม แม้ว่ามันจะต้องใช้เงินมากพอตัว กับความพยายามอีกไม่น้อย แต่ผมก็ไม่ท้อหรอก ผมยังจำสายตารังเกียจ หรืออย่างดีก็เฉยชาของเพื่อนร่วมงานในบริษัทเก่าได้ชัดเจน
วันหนึ่ง คนพวกนี้จะต้องมองผมด้วยสายตาทึ่งแกมอิจฉา คอยดูก็แล้วกัน
ผมก้าวออกจากร้านสะดวกซื้อแห่งนั้นเมื่อเวลาล่วงเข้าหนึ่งนาฬิกา ทั้งที่ยังอาวรณ์ความเย็นฉ่ำของแอร์ แต่ทำไงได้ ช่วงนี้มีข่าวฆาตกรโรคจิต ชอบใช้มีดดักแทงคนอยู่ในเงามืดยามวิกาล กำลังเป็นข่าวโด่งดังเลยทีเดียว แม้จะไม่ใช่ในละแวกที่ผมอยู่ แต่ปลอดภัยไว้ก่อนละเป็นดี ก็ผมยังไม่ทันได้ประสบความสำเร็จกับความฝันของตัวเองเลย จะให้มาตายไปตอนนี้ก็เสียดายแย่
ผมซื้อเบียร์กระป๋องกับหนังสือพิมพ์กีฬาประจำวันนั้นติดมาด้วย กะว่าถ้านอนไม่หลับก็จะนั่งอ่านไปเรื่อยๆ อย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน ตอนนี้ผมฟุ่มเฟือยได้มากที่สุดก็แค่ซื้อเบียร์วันละกระป๋อง กับหนังสือพิมพ์วันละฉบับเท่านั้นเอง
ถนนสายเล็กนั้นเกือบมืดสนิท ไม่มีพระจันทร์ มันคงเป็นคืนเดือนดับ แน่นอนว่าไม่มีหลอดไฟตามทางเดินเหมือนในเมืองใหญ่ที่ผมเคยพำนักหรอก มีเพียงแสงสว่างที่ลอดออกมาจากบางบ้านที่ยังไม่นอน อืม มีคนนอนไม่หลับเหมือนผมเยอะเหมือนกันแฮะ มันน่าขันที่ทุกคนต่างปิดประตู ขังตัวเองอยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าว จมอยู่กับความเหงาและสิ้นหวัง ทั้งที่หากเพียงเปิดประตูออกมายิ้มให้กัน หรือแค่ทักทายกันบ้าง ความเดียวดายที่เกาะกินหัวใจทุกดวงนั้นก็น่าจะทุเลาลงมากทีเดียว
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นข้างหลังทำให้ผมสะดุ้งนิดหนึ่ง ด้วยไม่คิดว่าจะมีใครมาเดินทอดหุ่ยอยู่ในแถวนี้ในเวลานี้เหมือนผม แต่คิดอีกทีก็อาจจะเป็นหนึ่งในสมาชิกยืนอ่าน ที่เพิ่งกลับจากร้านสะดวกซื้อเหมือนกันก็ได้
ผมหันไปมองแวบหนึ่ง บอกตัวเองว่าไม่น่ากลัวอะไร เพราะเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง เงาของเส้นผมยาวรุ่ยรายนั้นเห็นได้ชัดแม้ในแสงมัวๆ ผมผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ทั้งที่ใจนึกถึงมือมีดยามวิกาลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ผมทอดฝีเท้าให้ช้าลง เพื่อให้คนข้างหลังแซงไปก่อน แต่จนแล้วจนรอดเจ้าหล่อนก็ไม่แซงไปเสียที จนผมชักรำคาญ ยังเหลืออีกไกลกว่าจะถึงห้องพัก ที่ราคาแสนถูกของมันแปรผกผันกับระยะห่างจากสถานีรถไฟอย่างสิ้นเชิง
ไม่อยากจะเดินร่วมทางกับคนแปลกหน้าขึ้นมาเสียเฉยๆ ผมเลี้ยวซ้ายเข้าทางลัดที่ใช้เป็นประจำ เพราะแม้ว่าจะขรุขระ และเต็มไปด้วยเนินชันๆ เกือบตลอดทาง แต่ระยะทางก็ยังใกล้กว่าทางปกติเกือบเท่าตัว
ผมชะงักนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหญิงสาวข้างหลังเลี้ยวตามมาด้วย ทั้งที่บริเวณนี้แทบไม่มีบ้านคน เป็นเพียงเนินสูงที่มีแต่แปลงมะเขือเทศและกะหล่ำปลี กับบ้านเรือนของเกษตรกรปลูกอยู่ห่างๆ กัน
เพิ่งสังเกตว่าหล่อนเดินเงียบมาก คงไม่ได้ใส่รองเท้าส้นสูงอย่างผู้หญิงโดยมาก แต่ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ถ้าหล่อนอาศัยอยู่บนเนินนี่ ก็ไม่ควรจะใส่ส้นสูงเวลาเดินกลับบ้านแน่ๆ อยู่แล้ว เพราะเสี่ยงต่อการหกล้มขาพลิกกลางทางได้ง่ายๆ
แปลกเหมือนกันที่ผมไม่ยักเคยเจอหล่อนระหว่างทางเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่ก็กลับบ้านในเวลานี้มาหลายคืนแล้วหลังจากไปยืนตากแอร์จนชุ่มปอดในช่วงหน้าร้อนนี้
หญิงสาวข้างหลังผมยังคงเดินตามมาเรื่อยๆ ด้วยความเร็วคงที่อย่างน่าประหลาด ไม่ว่าผมจะเร่งความเร็วขึ้น หรือลดความเร็วลง หล่อนก็ยังเดินเอื่อยๆ ตามมาด้วยระยะห่างที่สม่ำเสมอเท่าเดิม และแม้ว่าจะผ่านบ้านมาหลายหลัง หล่อนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงที่บ้านหลังไหนเสียที
ผมเปลี่ยนเส้นทางอีกครั้ง ยอมอ้อมไปอีกทางหนึ่งของเนิน ที่อาจจะต้องใช้เวลามากขึ้่นเกือบสิบนาที แต่ผมชักรู้สึกแปลกๆ กับหญิงสาวข้างหลังเสียแล้ว ในใจปัดความคิดบ้าๆ เกี่ยวกับมือมีดในข่าวออกไป ตำรวจยังจับคนร้ายไม่ได้ มีแต่เบาะแสว่าเป็นชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ แถมลงมืออยู่แถวในเขตเมืองโน่น คงไม่มาถึงแถวนี้
อีกอย่างเจ้าหล่อนข้างหลังผมก็เห็นได้ชัดว่าเป็นหญิงสาว รูปร่างไม่ได้ใหญ่ไปกว่าผมเลย คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคนเดียวกับฆาตกรโรคจิตในทีวี
แต่ก็นั่นแหละ ยังไว้ใจไม่ได้ อาจจะเป็นผู้ไม่ประสงค์ดีแบบอื่นๆ ยังไงผมก็ไม่อยากเสียทั้งเงินทั้งชีวิต ผมยังมีความฝันที่จะต้องสานต่ออีกยาวไกล..
คิดได้อย่างนี้ผมก็ตัดสินใจได้ เมื่อเร่งฝีเท้าขึ้นจนพ้นแนวโค้งของถนน เบื้องหน้าเป็นศาลเจ้าเล็กๆ ประจำหมู่บ้านที่เปิดประตูกว้างตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ผมจรดปลายเท้าเงียบกริบ แฝงกายเข้ากับรั้วต้นไม้หนาทึบบริเวณปากทางเข้าศาล
หญิงสาวคนนั้นเพิ่งจะโผล่พ้นทางโค้งนั้นออกมา ในแสงสลัวของคืนเดือนดับ ผมเพิ่งสังเกตว่าหล่อนใส่มาส์กสีขาวปิดจมูกและปาก แบบที่ใช้กันในฤดูใบไม้ผลิ ยามที่เกสรต้นสนปลิวกระจายมากับสายลม อันทำให้ผู้คนเป็นโรคแพ้เกสรดอกไม้กันทั่วประเทศ
ในเมื่อตอนนี้เป็นฤดูร้อน ไม่มีเกสรดอกอะไรปลิวมาแน่นอน แล้วเจ้าหล่อนจะใส่มาส์กทำไม โรคร้ายอะไรก็ไม่มีระบาด
ผมพิศวงหนักขึ้น เมื่อพบว่าหล่อนแต่งตัวมิดชิดรัดกุม จนออกจะเกินไป ดูผิดประหลาดสำหรับฤดูร้อน ที่ผู้หญิงทั่วไปต่างพยายามแต่งให้น้อยชิ้น และปกปิดร่างกายให้น้อยที่สุด แต่นี่หล่อนขนใส่ทั้งเสื้อแขนยาวสีเข้ม ปิดถึงคอ กับกางเกงขายาวสีโทนเดียวกัน ดูทึบทะมึนอยู่ในความมืด
หล่อนเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะสบถในลำคอเมื่อเดินผ่านรั้วต้นไม้ไปโดยไม่เห็นผม ผมได้ยินเสียงนั้นไม่ชัดหรอก แต่ก็เดาได้ทันทีว่าหล่อนไม่พอใจที่ผมหายไป
จะเพราะอะไรก็ตาม สัญชาตญาณบอกผมทันทีว่าเจ้าหล่อนคนนี้ไม่ได้หวังดีกับผมแน่ๆ ระยะทางจากตรงนี้ถึงห้องพักผมยังอีกไกล ผมควรจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ตรงหน้านี้อย่างไรดี..
ความหมกมุ่นอยู่กับความคิดทำให้ผมลืมระวังตัว เพียงขยับตัวนิดเดียว เท้าก็ไปเหยียบกิ่งไม้เล็กๆ บนพื้นจนหักดังเป๊าะ ลมหายใจผมหยุดลงกะทันหัน ใจหายวาบ
เสียงนั้นไม่ดังอะไรนัก แต่เมื่ออยู่ในความมืดของค่ำคืนที่เงียบสงัด ก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงกลองไทโกะยามมีงานเทศกาล
หญิงสาวในชุดสีเข้มหันกลับมาทันที ผมได้ยินหล่อนส่งเสียงบางอย่างในคอก่อนจะพุ่งเข้ามายังพุ่มไม้ที่ผมซ่อนตัวอยู่
นี่ผมจะทำยังไงดี..
ก่อนจะรู้ตัว มีดในมือผมก็ปาดผ่านลำคอหล่อนพอดี เงียบเชียบและอ่อนโยนราวกับการขยับปีกของผีเสื้อ ความคมของมันทำให้ตัดเส้นเลือดแดงที่คอขาดอย่างง่ายดาย เลือดข้นๆ ไหลเป็นท่อประปาแตก อุ่นวาบอยู่ในมือผม ให้ความรู้สึกหฤหรรษ์อย่างบอกไม่ถูก หัวใจผมเต้นแรง สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงทั่วร่างกายและสมองอย่างกระฉับกระเฉง เมื่อเห็นร่างนั้นลมลงไปดิ้นปัดๆ อยู่ต่อหน้า กลิ่นคาวโลหิตคลุ้ง
ช่างเป็นภาพและกลิ่นที่ชวนให้เริงรื่นเสียจริง ผมคิดพลางฮัมเพลงออกมาเบาๆ คิดเสียว่าเป็นเพลงกล่อมเจ้าหล่อนนอนก็แล้วกัน
"Kimi ga ita natsu wa tooi yume no naka
Sora ni kietetta uchiage hanabi.."
ฤดูร้อนที่เคยมีเธอ อยู่ในความฝันที่แสนไกล
ดั่งดอกไม้ไฟ สว่างไสว ก่อนจะจางหายไปในราวฟ้า
ผมยังทันเห็นดวงตาตื่นตระหนกคู่นั้น มันวาบวับขึ้นแวบหนึ่งก่อนจะดับแสงลงไป ไม่ต่างจากดอกไม้ไฟจริงๆ เสียด้วย ผมเห็นมันชัดเจนแม้จะอยู่ใต้ร่มไม้ในคืนเดือนดับ
เพียงครู่เดียวใจที่เต้นแรงของผมก็สงบลง ผมคุกเข่าลงใกล้ดวงหน้าที่คลุมด้วยมาส์ก ดวงตาสีเข้มที่เบิกกว้างมองตรงมาที่ผมนั้นไร้แวว หากก็ก่อความรู้สึกอ่อนโยนในหัวใจผมอย่างบอกไม่ถูก ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบหนังสือพิมพ์กีฬาออกมาจากถุงพลาสติกในมือ ค่อยคลี่หน้าหนึ่งคลุมให้หล่อนอย่างแผ่วเบา
อย่างน้อยหล่อนก็เป็นเหยื่อคนแรกของผมที่เป็นผู้หญิง..
(มีต่อค่ะ)
จากคุณ :
โยษิตา
- [
22 ก.ค. 51 22:54:59
]