วันฝนตก อากาศอบอ้าวเต็มที ฉันกลับถึงบ้านราวๆ สี่ทุ่มตามปกติ หยิบน้ำเย็นจากตู้เย็นมากิน เปิดทีวี เปิดโน้ตบุค แล้วซุกลงกับโซฟาตัวนุ่มอย่างเคย
ไม่มีอะไรต่างจากทุกวัน
เปิดเว็บพันทิปขึ้นมาอ่านกระทู้ตามปกติ กะว่าให้หายเหนื่อยแล้วจะไปค้นอะไรออกมากินเป็นอาหารมื้อดึก
จู่ๆ บนหน้าจอก็มีแถบไฟกะพริบของโปรแกรมเมสเซนเจอร์ บอกว่ามีใครคนหนึ่งเรียกเข้ามา ชื่อที่ทำให้ฉันต้องเบิกตากว้าง..
"นอนดึกจังค่ะ"
คนพิมพ์มาไม่ใช่ผู้หญิงหรอก แต่เป็นผู้ชายที่ใช้คำคะขาของผู้หญิงได้อย่างไม่มีขัดเขินแม้แต่น้อย ไม่ใช่ในความหมายของแต๋วเตยใดๆ แต่แบบผู้ชายเจ้าคารมต่างหาก
เจ้าชู้อย่างร้ายกาจซะด้วย
"ฮ้าาา เพิ่งจะสี่ทุ่มครึ่งเอง" ฉันพิมพ์ตอบ
"อ้ะ" เขาตอบมาทันควัน "ลืมไป แค่สองชม.นี่นา"
เจ้าตัวส่งตัวการ์ตูนหน้าทะเล้นมาด้วย
ฉันถอนใจเฮือก กี่ปีแล้วที่ฉันมาอยู่ที่นี่ เขายังจำไม่ได้อีกหรือไงนะว่าเวลามันเร็วกว่าที่เมืองไทยกี่ชั่วโมง
"ตัวเองทำไมมีกล้องล่ะวันนี้" เขาถามมาอีก คงเห็นโลโก้บนโปรแกรมเมสเซนเจอร์ ที่โชว์ว่าฉันมีเวบแคม
"ก็มีทุกวันอ่ะ" ฉันออกจะงง
"ตอนกลางวันคุยกันไม่มีนี่" ตอนกลางวัน? อ้อ เขาคงหมายถึงการแชทเมื่อตอนกลางวันของวันใดวันหนึ่งในเดือนที่แล้ว.. นี่เราไม่ได้คุยกันมานานขนาดนี้เชียว..
แต่ก็จะให้คุยกันบ่อยแค่ไหนล่ะ ในเมื่อฉันเป็นแค่เพื่อนไกลๆ ที่ไกลทั้งระยะทางและความใกล้ชิด เพราะเอาเข้าจริง ฉันก็ไม่ได้เจอเขามาหกปีแล้วล่ะซี แม้จะยังติดต่อกันทางโทรศัพท์หรืออีเมลอยู่บ้าง
"อ๋อ ตอนกลางวันคอมที่แล็บอ่ะ แต่อันนี้ของเราไง มีกล้อง" ฉันตอบไป
"เค้าไม่มีอ่ะ" เคยได้ยินผู้ชายแทนตัวเองว่า 'เค้า' มั้ยคะ อีตาคนนี้น่ะ ทำได้อย่างไม่มีเขินซักนิดเดียว
"เด๋ววันหลังต้องซื้อมั่ง" เขาส่งหน้ายิ้มมาให้
"อยู่เวรหรอ" ฉันถามตามอัตโนมัติ ถ้าใครมีเพื่อนเป็นหมอ เห็นมันออนไลน์ตอนกลางคืน ก็ต้องคิดว่าอยู่เวรไว้ก่อน จริงไหมคะ
"ม่าย ตอนนี้อยู่นรา กลับมาทำงานแล้วววว" เจ้าตัวส่งรอยยิ้มกว้างขวางมาอีก
"อ๋อ งั้นอยู่บ้านพักละซิ" ฉันเดาอีก เพราะฝ่ายนั้นเป็นนายทหาร เป็นแพทย์ทหารคนเดียวประจำหน่วยรบพิเศษหน่วยหนึ่งในจังหวัดนราธิวาส
เขาเพิ่งเรียนจบ ลงไปทำงานได้แค่สองเดือน ระหว่างนี้ฉันแทบไม่เห็นเขาออนไลน์ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน
"เหอๆ อยู่ในกองพันเลย ไม่มีบ้านพักหรอก"
"อ้าว แล้วอยู่ยังไง" ฉันไม่เข้าใจนัก
"ก็กางมุ้งนอน"
"ถามจริง" ฉันกะพริบตา เพิ่งรู้รายละเอียดการใช้ชีวิตที่นั่นของเขาก็วันนี้เอง ทั้งที่ไปอยู่มาตั้งสองเดือน แต่เขาก็ไม่เคยเล่าเสียที แต่ก็นะ..เราไม่ได้เจอกันในเมสเซนเจอร์เลยนี่..
"นอนกับชายอีกสี่สิบก่าคนด้วยนะ" เขาส่งหน้าขยิบตามาให้
"กรี๊ดดดด เร้าใจ" ฉันเพิ่งรู้ตัวว่ายิ้มกับจอคอมพิวเตอร์ก็เป็น ก่อนจะถามเพื่อความแน่ใจ
"กองพันไม่มีบ้านรับรองพิเศษอะไรงี้เหรอ ทำไมให้หมอกางมุ้งนอน"
ฉันเองก็โตขึ้นมาในค่ายทหาร แต่ค่ายทหารที่ฉันรู้จักคือหมู่บ้านอันประกอบด้วยบ้านเดี่ยวหลายหลังเรียงรายเป็นระเบียบ สนามหญ้าเขียวชอุ่มอยู่ทุกฤดูกาล มีเด็กๆ ลูกนายทหารขี่จักรยานเล่นกัน มีแต่เสียงหัวเราะรื่นรมย์
แต่ไม่รู้ทำไม.. ฉันเริ่มรู้สึกว่า ที่ๆ เขาไปอยู่.. มันคงไม่ใช่อย่างที่ฉันเคยอยู่หรอก..
"เอ้า หมอทหารนะคร้าบ มีมุ้งนอนก็บุญแล้ว" เขายิ้มมาอีก
ฉันถอนใจกับรอยยิ้มนั้น ไม่ว่ากี่ปี เขาก็ยังเป็นเขาคนเดิม ที่สามารถยิ้ม ทำตัวให้รื่นเริงอยู่ได้ทุกสถานการณ์
ไม่ว่าจะแค่กางมุ้งนอนในกองพัน หรือนอนโรงแรมห้าดาวริมทะเลสวย เขาก็ยังยิ้มกว้างเหมือนเดิมอยู่ดี ฉันรู้
"เจอระเบิดมั่งยัง" ฉันกลั้นใจพิมพ์ "เราเห็นข่าวเค้าประกาศหยุดยิง จริงป่าวอ่ะ"
"เหอๆๆๆ" เขาตอบมาทันที "เงียบอยู่สามวัน จากนั้นทั้งยิงกะระเบิดกระจาย ตอนนี้กะลังแรงมั่กๆๆๆๆ"
"อ้าว" ฉันงงไป "ไหงงั้นอ่ะ แล้วตอนนั้นใครมาออกข่าว"
"ก็อย่างที่รู้ๆ กันแหละ" ท่าทางเขาก็ไม่อยากนินทานาย และฉันก็เข้าใจเขา รวมทั้งสิ่งที่เขาพยายามจะบอกดี
"แล้วแถวที่อยู่ตอนนี้อันตรายป่าวอะ" ฉันถาม "เพิ่งอ่านข่าวหมวดตี้ น่าสงสารจัง"
"ก็นิดนึงนะ แต่เค้าไม่ค่อยออกไปไหน ถ้าไม่จำเป็น" เขาส่งรอยยิ้มมาอีก
"ระวังตัวนา อย่าเข้าไปจีบสาวในเมืองบ่อยนัก" ฉันแซว ส่งรอยยิ้มกลับไปให้บ้าง
"ไม่กล้าจีบหรอก ไม่รู้คนไหนสวยไม่สวย ปิดหน้ากันหมด" เป็นงั้นไป
"ตัวเองกินข้าวยัง เค้าเพิ่งกิน" เขาถามมา
"ยังเลย แต่เด๋วคงกินมาม่า ขี้เกียจออกไปซื้อ" ฉันพิมพ์ตอบอย่างเกียจคร้าน
"อ้าว เมื่อกี้เค้าก็กินมาม่า" ใจตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
"นี่อดอยากขนาดหมอยังต้องกินมาม่าเลยหรอ"
"ป่าว 555 คือไปส่งคนไข้มาแป๊บเดียว กลับมาเค้าเก็บข้าวไปแว้ววว เลยต้องกินมาม่าแทน" เจ้าตัวส่งหน้าร้องไห้มาด้วย
"ใครเก็บ" ฉันไม่เข้าใจวีถีชีวิตนั้นโดยสิ้นเชิง "อยู่แบบทหารเกณฑ์เลยป่าวเนี่ย หมอก็ไม่เว้นหรอ"
"คือข้าวทุกมื้อจะมีพ่อครัวทำให้ไง แล้วกินเป็นโต๊ะๆ" เขาอธิบาย "มีโต๊ะนายทหาร แต่เค้ากินกันหมดแล้ว เราเข้าไปช้าเองล่ะ"
โถ แล้วพ่อครัวก็ช่างใจร้าย จะเก็บข้าวไปทำไมคะ ก็หมอยังไม่ได้กิน ฉันเคืองวูบขึ้นมาทันที
"คนไข้นี่ทหารในกองพันหรอ หรือคนนอก" ฉันก็ยังไม่เข้าใจงานที่เขาทำอยู่ดีแหละ
"ม่ายช่าย เป็นนักโทษ" เอ้า หนักเข้าไปอีก "แล้วหอบรับทาน เลยต้องดูแลกันหน่อย"
"แล้วนี่ทำไรอยู่" ฉันมองนาฬิกา ที่เมืองไทยก็สามทุ่ม คงนั่งแชทกะสาวๆ ล่ะซี
"ทำงานเอกสารอยู่คับ" เขาส่งหน้าเหน็ดเหนื่อยกลับมาด้วย จนฉันชักรู้สึกผิดที่มองเขาในแง่ร้าย ก่อนที่เขาจะพิมพ์ต่อมาอีกว่า
"ตัวเองไปกินข้าวจิ เด๋วเค้าขอทำงานแป๊บนุง ละเด๋วคุยกันนะค้า" สาบานได้ว่านี่คือภาษาพูดของร้อยตรีนายแพทย์วัยยี่สิบกลางๆ ถึงมันจะน่ารักคิกขุไปหน่อย แต่ก็เหมาะกับเจ้าตัวอยู่หรอก..
ฉันลุกไปทำอาหารกินด้วยหัวใจเบาหวิวอย่างบอกไม่ถูก ห้ามตัวเองเต็มที่ไม่ให้เป็นสุขกับบทสนทนานั้นมากไปกว่าที่ควรจะเป็น เขาเป็นเพื่อน เป็นคนที่ไม่เคยเป็นอะไรได้มากไปกว่าเพื่อน
ไม่ว่าฉันจะรักเขามากเพียงใด
แต่ความรักแบบลูกหมาในวัยเด็กของฉันได้ผ่านพ้นไปแล้ว ผ่านพ้นไปโดยที่ฉันไม่เคยได้ความรู้สึกแบบเดียวกันจากเขา นอกจากความเป็นเพื่อน ความเป็นเพียงเพียงเท่านั้น ที่เขายังคงมีให้ฉันเสมอ แม้ว่าจะผ่านมาถึงสิบสองปีเต็มแล้วตั้งแต่เรารู้จักกัน
ณ วันนี้ฉันมีคนที่ฉันรักและรักฉัน แล้วก็กำลังจะสร้างอนาคตด้วยกัน เขาเองก็คงมี แม้ว่าจะไม่ยอมเล่าให้ฉันฟังจนแล้วจนรอดก็ตาม
เราสองคนต่างก็เติบโตขึ้น และเดินจากจุดเล็กๆ ที่เคยยืนร่วมกันนั้นมาไกลเหลือเกิน ไม่ต่างอะไรกับการตัดกันของเส้นตรง ที่จะมีได้เพียงจุดเดียว แม้ในระยะอนันต์
แม้ว่าฉันและเขาจะก้าวผ่านจุดตัดนั้นมาแสนไกล ย่ำไปบนเส้นทางที่ตัวเองเลือก โดยไม่มีทางเดินย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิมได้อีก แต่ฉันก็ยังดีใจเสมอ ที่เคยได้ยืนอยู่ในจุดหนึ่งรวมกับเขา จุดที่เป็นของเราเพียงสองคนเท่านั้น..
ความคิดของฉันสะดุดลงเมื่อหน้าจอคอมพิวเตอร์มีข้อความกะพริบขึ้นมาอีกครั้ง
"กินเสร็จอ๊ะยัง งานเค้าเสร็จละนะ" รอยยิ้มกว้างขวางตามมาทันทีราวกับเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว
"เกือบแล้ว" ฉันยิ้มตอบไปบ้าง ก่อนจะถาม "อยู่โน่นเหงามั้ย"
"เหงาตอนกลางคืน" เขาตอบมาทันที "เข้าใจละว่าตอนตัวเองไปที่นู่นใหม่ๆ เหงายังไง"
"ไม่เหมือนกันซะหน่อย" ฉันยิ้ม แม้ว่ามันจะยังมีรอยเหงาๆ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นรอยยิ้ม
"ขอโทดน้าที่ตอนนั้นไม่ค่อยได้เขียนจอมอไป" เขาส่งหน้าอายๆ มาให้ "เขียนไม่เก่ง"
"ปะโธ่เอ๊ย" ฉันส่ายหัวกับตัวเอง ทั้งที่ใจวูบอย่างอธิบายไม่ได้ "ตั้งกะสิบปีที่แล้ว ยังจะจำได้อีก แก่เนอะ"
"เค้าขอโทดจิงๆ ตอนนั้นตะเองคงเหงาใช่มะ" สำนึกได้ช้าไปสิบปีเชียว แต่ก็ยังดีน่ะ
"ไม่ยกโทษให้" ฉันส่งหน้าโกรธๆ กลับไป
เขาส่งหน้าร้องไห้โฮมาสามหน้าติดๆ กัน ก่อนจะพิมพ์ตามมาว่า
"กลับมาคราวหน้าเด๋วพาไปเลี้ยงข้าว นะ น้า"
"ชั้นไม่ใช่น้าเทอ" ฉันพิมพ์พลางยิ้มกับคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
"เมื่อไหร่จะได้กลับมาทำงานในกรุงเทพล่ะ" ฉันถาม
"ใกล้ๆ เกษียณไง มากินตำแหน่งลอยในกระทรวง" คำตอบทันควัน
"ถามจริงๆ"
"ก็เนี่ยแหละจริงจริ๊งที่สุดแล้ว" เขาตอบมา "หมอทหารนะคะ ยังไงก็ต้องอยู่ชายแดน เพราะต้องรักษาทหารหนิ"
"ทหารในเมืองก็มี" ฉันเถียง บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงอยากให้เขากลับมาอยู่ในที่ปลอดภัย ทั้งที่..มันก็เป็นชีวิตที่เขาเลือกเองแท้ๆ..
"ทหารในเมืองเค้ามีโรงบาลเยอะแยะไป" เขายิ้มมาอีก "ตัวเองก็รู้ ว่าเราเลือกมาอยู่ที่นี่เอง ไม่มีใครบังคับ แล้วทำไมเราต้องอยากกลับไปด้วยล่ะ"
"แล้วทำไมจะต้องเลือกลงไปด้วยล่ะ" ฉันถามเลียนแบบเขาบ้าง รู้ดีว่าผลการเรียนของเขาคือระดับท็อปของรุ่น เขาจะเลือกไปเรียนต่อเฉพาะทางเสียก็ได้ หรือเลือกไปลงจังหวัดที่สุขสบายกว่านี้ก็ได้
"เลือกไปที่อื่นก็ได้ คะแนนก็ดีนี่นา"
"ถ้าคิดกันอย่างนี้ทุกคน แล้วใครจะเลือกที่นี่ล่ะ ระเบิดกันทุกวัน แต่หมอแทบไม่มี" นี่คือคำตอบของเขา "เพราะไม่มีใครเลือก เราถึงเลือกมา"
นาทีนั้นฉันเพิ่งรู้สึกว่า ถ้าฉันอยู่ใกล้ๆ เขา ฉันก็คงจะตรงเข้าไปกอดเขาไว้ อย่างที่อยากทำมานานเหลือเกิน หากครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพราะความเสน่หา แต่ด้วยความนับถือและเต็มตื้นทั้งหัวใจ อย่างที่ฉันไม่เคยรู้สึกกับ 'เขา' คนเดิมที่ฉันเคยรู้จักมาตลอดแม้แต่ครั้งเดียว
เด็กหนุ่มหัวเกรียน ตัวสูง ที่มีดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสวยคนนั้นได้เติบโตขึ้น กลายเป็นชายหนุ่มเต็มวัย ที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อประเทศชาติอยู่เต็มสองมือ และแน่นอนว่าเต็มเปี่ยมในหัวใจ
"ไม่เหนื่อยหรอ" ฉันถามหลังจากเงียบไปนาน
"เหนื่อยซี่" เขายิ้มมาอีก "แต่มีงานอะไรมั่งไม่เหนื่อย"
"แต่ก็มีงานที่เหนื่อยน้อยกว่าไง" ฉันอดเถียงไม่ได้
"เอาน่ะ แค่นี้ พอแล้ว" เขาส่งหน้ายิ้มขยิบตามาให้ "ถ้าเราพอใจ มันก็ไม่เหนื่อยนะจ๊ะ"
นั่นแหละเขา.. นั่นแหละเขาคนที่ฉันรักเหลือเกิน และไม่เคยเสียใจ หรือแม้แต่หยุดถามตัวเองเลยว่าทำไมฉันถึงรักเขาได้ถึงเพียงนี้
จู่ๆ ฉันก็พิมพ์อะไรที่ไม่เกี่ยวตอบไป อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
"เคยรักใครซักคนมากๆ มั้ย"
(มีต่อค่ะ)
จากคุณ :
โยษิตา
- [
25 ก.ค. 51 01:49:04
]