"ติ๋ง .......ติ๋ง"
และแล้ว ในที่สุดหยาดฝนหยดหนึ่งก็อุตส่าห์ชำแรกตัวผ่านรูหลังคารถสองแถวผุๆ ลงมาหล่นแหมะแฉะที่หัวไหล่ผมจนได้สิน่า
ความจริงไอ้รถสองแถว ไม่สิ... "ซากรถกระป๋อง" บ้านี่ควรจะเปลี่ยนได้ตั้งนานแล้ว ค่าโดยสารผมก็จ่ายมาตลอด ไม่เคยเบี้ยว จะขึ้นมาอีกสามบาทก็อุตส่าห์ไม่บ่น (หรือบ่นไปแล้วแต่ลืมไม่รู้)
ไม่รู้แมร่งเอางบไปทำอะไรกันหมด
รถข้างนอกก็ติด คนข้างในก็แน่น เบียดเสียดยัดเยียดกันทั้งที่นั่งที่ยืนจนแทบจะไม่มีที่หายใจอยู่แล้ว
ทำไมต้องมาพร้อมใจกันกลับบ้านเวลานี้ด้วยฟะ นี่มันก็จะปาเข้าจะสองทุ่มแล้วนะครับพี่น้อง ไม่รู้จักรีบกลับบ้านไปดูแลลูกเต้าซะมั่ง
แล้ว.......อ่าวว ๆ ....ๆ ...ๆๆๆ ...... เฮ้ยๆ อย่า...เพิ่ง....
..........................
ผมถอนใจเฮือกหนึ่งพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆด้วยความเซ็ง
....เมื่อเสียงติ๋งๆเมื่อครู่เปลี่ยนมาเป็นเสียงซู่ซ่า ราวกับใครยกน้ำตกไทรโยคมาตั้งอยู่ตรงเบื้องหน้า พร้อมกับละอองน้ำซึ่งสาดกระเซ็นเข้ามาจนแทบจะหลบไม่ทัน (ถึงจะหลบทันก็คงไม่มีที่อยู่ดี)
....... โอ้ เทวดาหนอเทวดา....ทำไมต้องมาบันดาลให้ฝนตกตอนนี้ด้วยวะเนี่ย !!!!
ร่มก็ไม่ได้พกมา ...ต้องเดินตากฝนเข้าซอยไปอีกเหรอวะเนี่ย
อ้าว แล้วไอ้เด็กนักเรียนพวกนี้มันจะกรูขึ้นมากันทำไมวะ นี่มันยังแออัดไม่พออีกเรอะไง ปัดโธ่เว้ย ตัวก็เปียกปอนหยั่งกะลูกหมาตกน้ำ แหนะๆ ยังจะมาเสยผมอีก หล่อตายล่ะมรึง
มันกระเด็นใส่หน้ากรูรู้มั้ยเนี่ย .....แล้วอื่อหือ....เบียดเข้าสิไปนั่น แฉะเสื้อกรูอีก ให้ตายเหอะเสื้อแอร์โรว์ตัวใหม่กรู
.....และ...ราวกับว่าวันนี้ชีวิตผมยังบัดซบไม่พอ สองแถวเจ้ากรรมดันจอดครับ แล้วตาลุงคนเก็บตังแกก็หายเข้าไปที่หน้ารถข้างเบาะคนขับ
แล้วกลับมาพร้อมกับแผ่นพลาสติกใสผืนใหญ่ แกกับไอ้หนุ่มคนขับรถกำลังช่วยกันเอาผ้าใบมากางสองข้างตัวรถ
คือ .....พวกกรูเปียกกันแล้วคร้าบบบบ มากางตอนนี้ให้บรรยากาศมันอบอ้าวเล่นเหรอคร้าบบ
(.........ถ้าใครเคยนั่งรถสองแถว คงจะรู้กันดีว่าไอ้ผ้าใบนี่ พอแปะขนาบสองข้างรถแล้วมันจะอบขนาดไหน )
คราวนี้ก็เลยต้องทน ทั้งความเปียกชื้นจากฝน ทั้งไออบจากผ้าใบ ทั้งไอร้อนจากไฟนีออนเหนือหัว ไหนจะกลิ่นไออับชื้นจากเสื้อผ้าเปียกๆ(ที่โชกไปด้วยเหงื่อหรือฝนก็มิอาจทราบได้)
ของไอ้เด็กเวรพวกนี้อีก ทำเอาตอนนั้นนึกอยากจะลงไปโบกแท็กซี่กลับบ้านให้มันรู้แล้วรู้รอด ....แต่คิดอีกทีแมร่งเปลืองตัง สู้ทนๆยืนต่อไปอีกแป๊บเดียวก็ถึง
" ตื๊ด...ตื๊ด..ตื๊ด.........ตื๊ดด...... " อ่าวเฮ่ย เสียงมือถือใครดังวะ โคตรเห่ยบรมไร้รสนิยมสิ้นดี นี่มันมลภาวะทางอากาศ ทางกลิ่น ทางสัมผัส ยังไม่พออีกใช่มะ
ยังจะมีมลภาวะทางเสียงพ่วงแถมมาอีกเหรอฟะเนี่ย ....โอวแม่เจ้า แพคเกจครบเซ็ต .......แน๊ ดังตั้งนานยังไม่ยอมรับอีก ......................เอ แต่จะว่าไปเสียงมันก็คุ้นๆว่ะ
.......เฮ้ยย อะไรสั่นๆวะ .. อ่าว มือถือกรูเองนี่หว่า ใครมันเจือกโทรมาตอนนี้ฟะ (ปกติก็ไม่ค่อยมีคนโทรมาอยู่แล้ว) แล้วกรูจะรับยังไงฟะเนี่ย เบียดกันอยู่อย่างงี้
ช่างมัน ทำเนียนไม่รู้ไม่ชี้ไปแล้วกัน ...............เฮ้ยยยย ๆๆๆ ว่าแต่นั่นมันซอยบ้านกรูนี่หว่า รถแมร่งจะรีบซิ่งไปสวรรค์วิมานชั้นไหนฟะ ทีตะกี๊ติดหยั่งกะเต่าคลาน ....กดกริ่งแล้วนะเฟ่ย
......ผมต้องกดกริ่งย้ำๆอีกสองที กว่าจะรู้สึกได้ว่ารถเบรค
รถจอดเลยซอยบ้านผมไปประมาณสองซอย ผมค่อยๆแทรกตัวผ่านฝูงชนตัวเปียกซ่กออกมาอย่างยากเย็น ....ให้ตายเถอะ
กลิ่นชื้นๆ ของเสื้อผ้าที่ชุ่มฝนนี่ เป็นอะไรที่ผมเกลียดจริงๆ
ฝนข้างนอกยังไม่มีทีท่าว่าจะเบาลงเลย ผมจำต้องเดินตากฝนอย่างเซ็งๆกลับไปยังซอยบ้าน ................. เอาวะ อย่างน้อยก็หลุดพ้นมาจากนรกปลากระป๋องมาได้
ยังไม่ทันจะดีใจได้นาน ... รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็แล่นสวนมา ทำเอาน้ำขังริมฟุตบาทกระเด็นเปื้อนเสื้อผมซะงั้น
ผมถอนหายใจ
.............แอร์โรว์ กรู...........
ผมกลับถึงบ้านในสภาพทุลักทุเล ราวกลับเพิ่งกลับมาจากสมภูมิเวียดกงก็ไม่ปาน หลังจากเทน้ำขังออกจากรองเท้า (ไม่บอกก็รู้ว่าลุยน้ำเข้ามา) และถุงข้าวแกงอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว (โชคยังดีที่ยังมีถุงพลาสติก
ห่อกับข้าวไว้อีกชั้น) ก็จัดการเช็คโทรศัพท์ซะหน่อยว่าใครโทรมา
....... นึกว่าสาวที่ไหน ที่แท้แม่น่ะเอง ....งั้นไว้กินข้าวเสร็จก่อนค่อยโทรละกัน (ไอ้เลว)
หลังจากซัดข้าวแกงอย่างอิ่มหนำพร้อมกับดูละครตบจูบควบคู่ไปด้วย ...ผมก็เอนหลังอย่างสบายใจพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาแม่
"ฮัล....."
ยังไม่ทันจะพูด"ฮัลโหล"เสร็จ แม่ก็พูดชิงตัดหน้าขึ้นมาก่อน ... ซึ่งก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรนัก
" ฮัลโหลลูกเอ๋ เป็นไงมั่งลูก สบายดีมั้ย "
" เอ่อ .........ก็เรื่อยๆอะแม่ " ผมตอบอย่างซังกะตายเมื่อนึกถึงเรื่องมะกี๊นี้ " แต่วันนี้ฝน.... "
กำลังจะบ่นให้แม่ฟัง แม่ก็พูดชิงตัดหน้าขึ้นมาซะก่อน
" ห๊ะ ที่กรุงเทพตกด้วยเหรอลูก ที่นี่ก็ตกจ้ะ.... ช่วงนี้ตกทุกวันเลย " แม่พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหยั่งกะถูกหวย
" ..จ้ะแม่ " ผมตอบไปอย่างงั้นๆ ตายังคงจับจ้องไปยังฉากตัวร้ายกรี๊ดใส่นางเอกในทีวี
" รู้มั้ยว่า แปลงต้นกล้าที่แม่ปลูกไว้มันโตวันโตคืนเลยหละ ........ตอนแรกนึกว่ามันจะแห้งตายไปซะแล้ว " แม่พูดโดยแทบไม่หยุดหายใจ
" ต้องขอบคุณเทวดาจริงๆนะเนี่ยที่ประทานฝนลงมาให้ .......ตอนนี้น้ำเต็มห้วยแล้ว ชาวบ้านดีอกดีใจกันใหญ่เลยล่ะลูก "
" จ้ะ..แม่ " ผมตอบ พลางมองเหม่อออกไปข้างนอก นึกถึงตอนเป็นเด็กเคยลงไปช่วยแม่หว่านเมล็ดในไร่ ก่อนจะเฝ้ารอฝนตกอย่างใจจดใจจ่อ
" อ้อ.....ว่าแต่เมื่อกี๊ ลูกมีเรื่องอะไรจะเล่าให้แม่ฟังเหรอลูก "
" ....อะ เอ่อ " ผมอ้ำๆอึ้งๆ " ไม่มีอะไรจ้ะแม่ "
" เหรอลูก ....งั้นแค่นี้ก่อนละกัน เดี๋ยวจะเปลืองเงินค่าโทรซะเปล่า "
และโดยไม่รอให้ผมบอกลา แม่ก็วางไปก่อนเหมือนทุกที ..ด้วยความเคยชินของแกที่ว่าโทรทางไกลมันแพง
ผมกดวางโทรศัพท์ ยังคงมองออกไปข้างนอก แสงจากหลอดไฟ ทำให้เห็นเม็ดฝนเม็ดเล็กๆเกาะอยู่ที่หน้าต่าง บ้างก็เกาะอยู่นิ่งๆ บ้างก็ค่อยๆไหลราวกับจะวิ่งแข่งกันลงสู่ข้างล่าง
เสียงฝนซ่าๆยังคงไม่ซาไป ................ได้กลิ่นจางๆโชยมาจากข้างนอก
...........กลิ่นชื้นๆของดินยามชุ่มฝน .... เป็นอะไรที่ผมชอบจริงๆ
...........แล้ว.......
....จะว่าไปเสียงฝน .....มันก็ฟังเพราะดีเหมือนกันนะ
จากคุณ :
ซงย้ง
- [
27 ก.ค. 51 00:14:33
]