Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    เศษไม้ใต้ต้นลำพู...

    เศษไม้ใต้ต้นลำพู...
    หากชีวิตหนึ่งขอคำอธิฐานได้จริง คิดว่าตัวคุณเองอยากจะขอในสิ่งใดบนโลกใบนี้....
    ......เสียงเรือขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดส่งเสียงมาแต่ไกล แล้วก็ใกล้เข้ามา ...ผิวน้ำ ถูกแหวกออกเป็นร่อง แล้วคลื่น ก็คลี่ออก ไปกระทบฝั่งระรอกแล้วระรอกเล่า ทิ้งไว้เพียงแนวต้นจาดริมแม่น้ำ ยืนมั่นคงเป็นแนวกั้นระรอกน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า...ปลาตีนวิ่งแตกตื่นตามคลื่นน้ำ และเสียงที่มาพร้อมๆ กัน ณ.ใต้ถุนสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเรียกว่า “บ้าน”...
    สูงขึ้นมาจากพื้นโคลนแต่ก็ยังคงได้กลิ่นโคลนดิบๆ ลอยมาเข้าจมูก กลิ่นนั้นไม่ได้ทำให้ เกิดความลำคาญหรือ น่ารังเกียจแต่ตรงกันข้าม กลิ่นนั้นกลับปลุกชีวิตของผู้คนในชุมชนเล็กๆ รวมทั้งเจ้าของบ้านให้ตื่นมารับกับความจริง...ว่าพวกเขายังมีตัวตน และ สิ่งรอบข้างนั้น ก็ยังมีจริงและ คงดำรงอยู่คู่กันไป…
    ตรอกเล็กๆ หลายตรอกที่แยกออกจากถนนเส้นหลัก ยังคงทอดเป็นแนวยาวเข้าไปในหมู่บ้านของแรงงานราคาถูก ...ในหมู่บ้านเต็มไปด้วยเด็ก และพูดคุยกันด้วยภาษาพม่า...แม้แต่ร้านค้าที่ขายของ ก็คงมีแต่เพียงภาษาพม่าในการบอกราคาสินค้า ฉันเหมือนเดินหลงทางเข้าไปในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งซุกตัวหลบหลีกภูมิลำเนาที่แท้จริงของตัวเองห่างออกมาหลายร้อยกิโล คงมีอีกหลายร้อยหลายพันชีวิต ที่ต้องอาศัยบนพื้นพี่เล็กๆ เช่นนี้ในการดำรงชีวิตของตัวเอง และ เพื่ออีกหลายชีวิตที่บ้านของเขาเหล่านั้นไกลออกไปอีกประเทศ
    เมื่อเดินเข้าไปในตรอกนั้นสิ่งแรกที่จะได้เห็น ก็คือผู้ชายนุ่งสะโหร่งและผู้หญิงนุ่งผ้าถุง เดินปะแป้งทานาคาหน้าเหลืองนวลเดินไปมาในตรอก สายตาผู้คนที่มองมาคงกำลังสงสัยว่าผู้มาเยือนเป็นใคร แต่ฉันก็เดิน เร็วไว เพราะก็ไม่มั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น....
    ฉันเดินวกไปวนมาในตรอกจนกระทั่ง มาทะลุพื้นที่โล่งๆ หลังหมู่บ้าน เป็นลานที่ถมด้วยดินเหนียวพื้นที่กว้างเท่าสนามฟุตบอล สุดเขตพื้นที่ตรงนั้นคือ กำแพงวัดเก่าที่มีอายุ ราวร้อยปี และ สุดขอบลานดินเหนียวอีกด้าน มีเล้าเป็ดเล็กๆ ทำขึ้นมาจากไม้ไผ่ สานเป็นระแนง บริเวณเล้าเป็ดล้อมรอบด้วยตาข่ายอีกชั้น...ถัดไป ก็เป็น ท้องน้ำ และ เนินโคลนโผล่พ้นผิวดินหลังจากที่น้ำลดลงช่วงกลางวัน...
    จากขอบลานดินเหนียวตรงนั้นถัดจากเล้าเป็ด มีสะพานไม้ทำเป็นแนวยาวต่อออกไปยังแม่น้ำ...บ้านหลังเล็กๆ ที่ที่ฉันตั้งใจมาเยี่ยมเยือน ....และนี้เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกของฉันบอกตัวเองว่า คิดถึงบ้านที่สุด ถึงแม้บ้านหลังเล็กนี้ไม่ใช่บ้านของฉัน แต่ทำไมฉันถึงมีความรู้สึก รักและ คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อกับแม่จับใจ...
    ฉันเดินไต่บนไม้กระดานที่บางซ้อนกัน ง่ายๆ อย่างทุลักทะเล พร้อมๆ กับมือทั้งสองข้าง ถือของฝากพะรุงพะรัง เดินผ่านเล้าเป็ด เดินผ่านกาละมังซักผ้า....เดินผ่านห้องครัวเล็กๆ(เจ้าของบ้านใช้ทำอาหาร และ กิจกรรมที่แม่บ้านจะทำเพื่อให้คนในบ้านได้อิ่มและสะอาด) แล้วก็ถึงตัวบ้าน บ้านที่ดูจากข้างนอกดูเล็ก และ แคบ เมื่อเข้าไปถึงในตัวบ้าน แทบจะเป็นเรื่องที่น่าทึ่งที่สุด ว่าบ้านที่ในความคิด...ที่ฉันคิดว่าเล็กขนาดอยู่ได้ เพียง 2-3 คน สำหรับกิจกรรม ของครอบครัวแล้ว ในนั้นยังแบ่งซอยห้องเล็กๆ ให้แรงงานพม่าเช่าได้อีก ประมาณ 10 คน ซึ่งขนาดห้องที่แบ่งให้เช่านั้นเล็กเท่า ที่นอน 5 ฟุต …
    แล้วถึงตรงนี้ฉันยิ่งรู้สึกได้ถึงห้องนอนเล็กๆ ที่บ้านของฉัน และ รู้สึกยิ่งไปกว่านั้นว่าฉันช่างโชคดีกว่าหลายชีวิต ในที่นี้นัก

    พี่สาวของฉันเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ และ ยังคงใช้ชีวิตร่วมกับผู้เช่าเหล่านั้นมาร่วมปี จิตใจของฉันในตอนนั้นมันรู้สึกเศร้าลึกๆ อยากจะบอกพี่สาวว่ากลับบ้านเราเถอะนะ...แต่ก็พูดไม่ได้เพราะพี่สาวไม่ได้อยู่เพียงคนเดียวแต่ยังคงมีอีก 3 ชีวิต ลูกน้อยตัวเล็กๆ 2 คน และ พี่เขยอีกหนึ่งคน....
    พี่สาวทอดสายตาไร้จุดหมายออกไปยังท้องน้ำตรงหน้าด้วยใบหน้าที่ยอมรับกับการเลือกใช้ชีวิตในวันนี้ และยังคงไม่อาจได้คาดหวัง ว่าชีวิตที่ต้องไปเผชิญภายนอกบ้านหลังนี้จะเป็นเช่นไร ... เด็กๆ ดูผ่ายผอม มันยิ่งทำให้ฉันอยากจะมีเวษมนต์วิเศษในตอนนั้น เสกทุกอย่างที่ควรจะเป็นรางวัลให้กับชีวิตไร้เดียงสานี้ ได้อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ ได้กินในสิ่งทีควรจะได้กิน และ ได้มีความสุขอย่างที่ครอบครัวเราจะมี..
    บนบ้านมีมุมเล็กๆ หลายมุม ซึ่งก็เล็กจริงๆ เวลาเดินต้องเดินเบาๆ เมื่อใดที่คลื่นจากเรือหางยาววิ่งผ่าน “บ้าน”ก็จะโยกไหวโอนเอนไปมา แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะพังทะลาย ยังคงยืนมั่นคง..
    เรานั่งคุยกันที่บริเวณที่ถูกเรียกว่าห้องนอน ห้องรับแขกห้องกินข้าวและ ห้องทุกอย่างที่เราอยากจะให้เป็น...เพราะความจริงมันสุดจะจินตนาการว่าอยากจะให้ตรงนั้นเป็นสวรรค์หรือ พื้นที่ธรรมดา...ถัดออกไป เป็นระเบียงบ้าน ไม่มีหลังคา ระเบียงบ้านถูกต่อด้วยเศษไม้ยื่นออกไปจากตัวบ้านกว้างประมาณ 1 เมตร คานไม้อันหนึ่งพาดตรงกิ่งต้นลำพู เมื่อใดที่ลมพัดมา ต้นลำพูก็ไหวตามแรงลม ระเบียงบ้านก็จะไหวเอนตามไปด้วย เหมือนการเต้นรำตามสายลม และคลื่น (ช่างอ่อนไหวจริงนะเจ้าบ้านหลังน้อย..)
    ใต้โคนต้นลำพู หรือแม้กระทั่งตามกิ่งเล็กๆ ของต้นลำพู มีปูไต่ขึ้นมาพักอาศัย หลายสิบ หรือาจจะถึงร้อยตัว ...และถึงตอนนี้ที่ฉันได้เห็นปู ฉันก็นึกถึงบ้านของปูจริงๆ และ ก็นึกถึงบ้านของพี่สาวของฉัน ณ. เวลานั้น แล้วฉันก็รู้สึก ถึงความเข้าใจผิด ในการสำคัญตนเกี่ยวกับบ้าน ....บ้านในความหมายที่พี่สาว หรือแม้แต่ปูตัวน้อย อาศัยอยู่ในตอนนี้ อาจเป็นได้ว่า มันได้ปลูกสร้างลงไปอยู่ที่ในหัวใจ มากกว่าบนต้นลำพูอย่างที่ปูกำลังเกาะ ไม่ใช่บนพื้นโคลนใต้ต้นลำพูอย่างที่พี่สาวได้สร้างและปักเสาลงไป...แต่เป็นที่ๆเขาอยู่แล้วมีความสุข...ความสุขอาจมิใช่เพียงภายนอก…
    พี่สาวเล่าถึงการต่อเติมบ้านในอนาคตอย่างแจ่มใสเพื่อหวังได้เก็บค่าเช่าที่แรงงานพม่าสัญญาจะจ่าย(ซึ่งก็จ่ายบ้างค้างบ้างและ ที่หนักๆ ก็ไม่จ่ายเลยอยู่ฟรี) ....และมีหวังจากคำมั่นของสามีซึ่งแม้แต่พี่สาวเอง ก็คงไม่มั่นใจในคำมั่นนั้น...แต่ในเวลานี้ฉันช่างชอบสายลมอ่อนๆที่พัดเอากลิ่นโคลนมาขับกล่อมให้ฉันได้เอนกายบนระเบียงบ้านใต้ต้นลำพูนั้น แล้วฉันก็หลับไป....
    ....เสียงเรือหางยาวค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั้งเหมือนมาจอดอยู่ข้างๆหู ....แล้วฉันก็ได้รู้ว่าฉันกำลังตื่นอยู่ ...แล้วเสียงนั้นก็ลอยผ่านไป พร้อมกับลูกคลื่นซัดบ้านและ ต้นลำพูโงนเงนอีกครั้ง ฉันลืมตาตื่นขึ้นใต้ต้นลำพูมองขึ้นลอดช่องเล็กๆ ของใบลำพูสานทับกันไปมาไม่เป็นแนวอย่างไร้ระเบียบแต่ฉันกลับชอบความไร้ระเบียบของใบไม้เหล่านั้นถัดจากใบลำพูก็มองเห็นชายคาบ้านที่มุงด้วยใบจาดส่วนปลายสุดของใบจาดไหวตามแรงลมช่างรื่นรมณ์สัมผัสถึงสำเนียงขับกล่อม และ บรรยากาศเย็นสบายดีจัง...แสงแดดอ่อนๆส่องลอดใบลำพูลงมาโดนใบหน้าและ เข้าตา หลังม่านใบลำพูนั้นฉันยังคงมองเห็นความงามบนท้องฟ้า และ มีเมฆสีขาว ก้อนเล็ก ก้อนใหญ่กระจุยกระจาย ตามกระแสลมบนท้องฟ้า ทำให้ได้รับรู้ ....ใต้ฟ้าเรายังมีชีวิต กับความจริงให้เรียนรู้และ ต่อสู้ในแบบวิถีของใครต่อใครที่ได้เลือก ..
    น้ำทะเลเริ่มหนุนขึ้นมาตามแม่น้ำสายหลักแห่งนี้ “แม่น้ำท่าจีน” สายเลือดที่กำลังล้มป่วยหนักจากความรุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจ ของประเทศ แต่ยังคงเกื้อหนุน ชีวิตเล็กๆ ที่อาจมีค่าเท่าเม็ดฝุ่น ถ้าจะเทียบกับคำว่า ห้องโถงของประเทศ...
    ขีวิตเล็กๆ เหล่านี้ ถือได้ว่าเป็นปลาน้อยที่ลอยตามกระแสน้ำ...เมื่อไหร่ที่แม่น้ำแห่งนี้ได้ล้มป่วยและไม่อาจรักษา ปลาน้อยเหล่านี้คงได้จากไปก่อนสิ่งอื่นใด....
    เด็กๆ เริ่มส่งเสียงร้องงอแง เพราะหิว ข้าว และ นม เป็นเวลาย่ำค่ำ ซึ่งหากเป็นบ้านอีกหลังที่พ่อแม่ ฉันและ พี่สาวเคยอาศัย ซึ่งตั้งอยู่ไกลออกไป ราว 700 กว่ากิโล ในยามนี้คงจะได้กลิ่นควันไฟตลบอบอวลในหมู่บ้าน เพราะถึงเวลาหุงหาอาหารหลังกลับจากการทำงาน ... พี่สาวบอกว่าของที่ฉันนำมาฝากพี่สาววันนี้ สามารถช่วยประทังชีวิตพี่สาวได้ เป็นอาทิตย์ แต่สำหรับเด็กๆ คงต้องกินนม ซึ่งนั่นเป็นสิ่งเดียวที่พี่สาวกังวล เพราะพี่สาวไม่มีงาน ไม่มีอาชีพทำ ....ได้เพียงแต่ฝากความหวัง...หวังให้ชีวิตได้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆกับการเจริญวัยของเด็ก...
    ฉันขอตัวกลับเพราะมันเริ่มจะเย็นมาก รถโดยสารอาจจะหมดซะก่อน จึงลาพี่สาวกลับมา พร้อมกับสูดกลิ่นโคลนและ บอกลาต้นลำพู ต้นนั้น......”แล้วฉันจะกลับมาเยี่ยมอีกครั้ง...หากพี่สาวยังอยู่ที่ตรงนี้….” ต้นลำพูไหวเอนตามแรงลมเหมือนรับรู้...
    ฉันเดินตัดตรอกเล็กๆ ที่คิดว่าน่าจะใกล้ที่สุดตามที่พี่สาวบอก ออกมาประมาณ 5 นาทีก็ถึงถนนสายหลัก แต่ต้องยืนรอรถโดยสารประมาณ เกือบชั่วโมง เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถ แล้วหันหลังกลับมามองหมู่บ้านเล็กๆในตรอกนั้น....มันช่างแตกต่างกันจังเลยนะชีวิตของคนเรา ไม่ว่าจะสังคม การดำรงชีพ และ รวมทั้งความหวังของแต่ละคน....สายตาฉันยังคงมองย้อนกลับไปตรงตรอกที่ฉันเดินกลับออกมาในขณะที่รถโดยสารก็กำลังขับมุ่งสู่ตัวเมือง หากแต่ความรู้สึก มันกลับสวนทางอย่างแปลกประหลาดใจในความคิด....


    คำอธิฐานใต้ต้นลำพูมีจริงไหมนะ?
    "ขอให้โลกนี้ไร้ซึ่งพรมแดนอย่างแท้จริง"

    จากคุณ : สายลมเปลี่ยนทิศ... - [ วันภาษาไทยแห่งชาติ 19:33:26 A:202.149.25.241 X: TicketID:166738 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom